วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ท่านนบีอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิเป็นประจำด้วยการอ่านดุอา “อัลลอฮุมะฮดินีย...จริงหรือ? // อะสัน หมัดอะดั้ม 15/8/62

ท่านนบีอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิเป็นประจำด้วยการอ่านดุอา “อัลลอฮุมะฮดินีย...จริงหรือ?
มีการอ้างหะดิษต่อไปนี้ ในหนังสืออัลมัจมัวะ ของอิหม่ามนะวาวีย์(ร.ฮ) คือ
قَالَ الْمُصَنِّفُ رَحِمَهُ اللَّهُ تَعَالَى ( وَالسُّنَّةُ فِي صَلَاةِ الصُّبْحِ أَنْ يَقْنُتَ فِي الرَّكْعَةِ الثَّانِيَةِ لِمَا رَوَى أَنَسٌ رَضِيَ اللَّهُ تَعَالَى عَنْهُ { أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَنَتَ شَهْرًا يَدْعُو عَلَيْهِمْ ثُمَّ تَرَكَهُ ، فَأَمَّا فِي الصُّبْحِ فَلَمْ يَزَلْ يَقْنُتُ حَتَّى فَارَقَ الدُّنْيَا }
ผู้เรียบเรียงหนังสือ ร.ฮ. (หมายถึงอัชชิรอซีย์ เจ้าของหนังสืออัลมุฮัซซับ) ได้กล่าวว่า และตามสุนนะฮในละหมาดศุบฮิ ให้เขาอ่านกุนูตในรอ็กอัตที่สอง เพราะมีสิ่งที่ที่รายงานโดยอะนัส (ร.ฎ) ว่า (รายงานจากอะนัส ว่า แท้จริง นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อ่านกุนูตหนึ่งเดือน ดุอาสาปแช่ง พวกเขา(บรรดาผู้ที่สังหารบรรดาสาวกของท่านที่บ่อมะอูนะฮ )ต่อมาท่านก็ได้ละทิ้ง สำหรับละหมาดศุบฮินั้น ท่านคงอ่านต่อไปจนกระทั้งจากโลกนี้ – อัลมัจญมัวะ ชัรหมุฮัซซับ 3/473-474
..........
วิจารณ์
หะดิษข้างต้นที่ระบุว่า นบี ศ็อลฯอ่านกุนูตตลอดชีวิต เป็นหะดิษเฎาะอีฟ
ดังที่ สัยยิดสาบิก(ร.ฮ)กล่าวว่า

فَفِيْ سَنَدِهِ أَبُوْ جَعْفَرٍ الرَّازِيُّ وَ هُوَ لَيْسَ بِالْقَوِيِّ وَ حَدِيْثُهُ لاَ يَنْهَضُ لِْلإِحْتِجاَجِ بِهِ إِذْ لاَ يُعْقَلُ أَنْ يَقْنُتَ رَسُوْلُ اللهِ صلّى الله عليه و سلّم فِي الْفَجْرِ طُوْلَ حَياَتِهِ ثُمَّ يَتْرُكُهُ الْخُلَفاَءُ مِنْ بَعْدِهِ بَلْ أَنَّ أَنَساً نَفْسَهُ لَمْ يَكُنْ يَقْنُتُ فِي الصُّبْحِ كَماَ ثَبَتَ ذَلِكَ عَنْهُ
และในสายรายงานของมัน (ของหะดิษอะนัส) มีอบูญะฟัรอัรรอซีย์ เขาเป็นบุคคลที่หลักฐานไม่แข็งแรง และหะดิษของเขานำมาเป็นหลักฐานไม่ได้ เพราะไม่สมเหตุสมผล/ไม่กินกับปัญญา ที่ว่ารซูลุลลอฮ สอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิตลอดชีวิต ของท่าน แล้วบรรดาเคาะลิฟะฮหลังจากท่านกลับละทิ้งมัน ยิ่งไปกว่านั้นท่านอะนัสเอง ซึ่งเป็นผู้รายงานหะดิษนี้ ก็ไม่ได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮ ดังปรากฏรายงานดังกล่าวจากเขา – ดูฟิกฮอัสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 199
.........
สรุป

1.ข้างต้นเป็นหะดิษเฎาะอีฟ เพราะในสายรายงานมี อบูยะฮฟัรรอัรอซีย์ หลักฐานไม่แข็งแรง หะดิษของเขาเอามาเป็นหลักฐานไม่ได้
2. เป็นไปไม่ได้ที่ท่านรอซูล ศ็อลฯอ่านกุนูตตลอดชีวิต แต่บรรดาเคาะลิฟะฮ แม้แต่ ท่านอะนัสเองก็ได้ละทิ้งไม่ได้ปฏิบัติ
อิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ) ได้กล่าวถึงคำพูดของอัชชิรอซีย์ต่อไปว่า

} وَمَحِلُّ الْقُنُوتِ بَعْدَ الرَّفْعِ مِنْ الرُّكُوعِ لِمَا رُوِيَ أَنَّهُ { سُئِلَ أَنَسٌ هَلْ قَنَتَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي صَلَاةِ الصُّبْحِ ؟ قَالَ : نَعَمْ ، وَقِيلَ : قَبْلَ الرُّكُوعِ أَوْ بَعْدَهُ ؟ قَالَ بَعْدَ الرُّكُوعِ } وَالسُّنَّةُ أَنْ يَقُولَ : اللَّهُمَّ اهْدِنِي فِيمَنْ هَدَيْتَ وَعَافَنِي فِيمَنْ عَافَيْتَ
และสถานที่ของการกุนูต หลังจากขึ้นจากขึ้นจากรุกัวะ เพราะสิ่งที่ถูกรายงานว่า แท้จริง อะนัส ได้ถูกถามว่า รซูลุลลอฮ ศ็อลฯ อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิไหม ? เขา(อะนัส)กล่าวตอบว่า ครับ และถูกกล่าวว่า “ก่อนรุกัวะ หรือหลังจากมัน? เขา(อะนัส) กล่าวตอบว่า หลังจากรุกัวะ) และ (อัชชิรอซียกล่าวว่า) และสุนนะฮ ให้กล่าวว่า “อัลลอฮุมะฮดินีย์ ฟีมันฮะดัยตะ ,วะอาฟินีย์ ฟีมันอะฟัยตะ..จนจบ - อัลมัจญมัวะ ชัรหมุฮัซซับ 3/474
.................
วิจารณ์
รายงานข้างต้นจากอะนัส ไม่ได้ระบุว่า การอ่านกุนูตอะไร และไม่ได้ระบุว่า เป็นการกุนูตในละหมาดซุบฮิเป็นประจำ ยิ่งไปกว่านั้นมีรายงานว่า ท่านอะนัส บิน มาลิก เองได้ปฏิเสธเรื่องนี้

مَا رَوَاهُ الْخَطِيبُ مِنْ طَرِيقِ قَيْسِ بْنِ الرَّبِيعِ عَنْ عَاصِمِ بْنِ سُلَيْمَانَ ، قُلْنَا لِأَنَسٍ : إِنَّ قَوْمًا يَزْعُمُونَ أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَمْ يَزَلْ يَقْنُتُ فِي الْفَجْرِ ، قَالَ : كَذَبُوا إِنَّمَا قَنَتَ شَهْرًا وَاحِدًا يَدْعُو عَلَى حَيٍّ مِنْ أَحْيَاءِ الْمُشْرِكِينَ ، وَقِيسٌ وَإِنْ كَانَ ضَعِيفًا لَكِنَّهُ لَمْ يُتَّهَمْ بِكَذِبٍ
คือ หะดิษที่รายงานโดย อัลเคาะฏีบ จากสายรายงานของ กัยส์ บิน อัรรอเบียะ จาก อาศิม บิน สุลัยมาน มีใจความ 
ว่า “ พวกเรา กล่าวแก่ท่านอะนัสว่า “คนกลุ่มหนึ่ง เข้าใจว่า ท่านนบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อ่านกุนูตเป็นประจำในละหมาดฟัจญรฺ (ละหมาดซุบฮิ) ท่านอะนัสกล่าวว่า “พวกเขาโกหก” ความจริง ท่านอ่านกุนูต เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น โดยดุอาสาปแช่งกลุ่มชนหนึ่ง จากกลุ่มชนมุชริกีน และ (ผู้รายงานที่ชื่อว่า) กัยสฺ แม้เขาจะเป็นผู้ที่หลักฐานอ่อน แต่ ไม่เคยได้รับการตำหนิว่าเป็นคนโกหก - ดู ตุหฟะตุลอะหวะซีย์ ชัรหุอัตติรมิซีย์ บทว่าด้วย การอ่านกุนูตในละหมาดฟัจญัร หน้า 362

ส่วนกุนูตที่ให้อ่านดุอาว่า “อัลลอฮุมะฮดินีย์ ฟีมันฮะดัยตะ ,วะอาฟินีย์ ฟีมันอะฟัยตะ..จนจบ เป็นกุนูตในละหมาดวิตร ไม่ใช่ในละหมาดศุบฮิ คือ
عَنْ أَبِي الْحَوْرَاءِ قَالَ قَالَ الْحَسَنُ بْنُ عَلِيٍّ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا عَلَّمَنِي رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَلِمَاتٍ أَقُولُهُنَّ فِي الْوِتْرِ قَالَ ابْنُ جَوَّاسٍ فِي قُنُوتِ الْوِتْرِ اللَّهُمَّ اهْدِنِي فِيمَنْ هَدَيْتَ وَعَافِنِي فِيمَنْ عَافَيْتَ وَتَوَلَّنِي
หะซันได้กล่าวว่า รซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ได้สอนฉัน บรรดาคำพูดให้ฉันกล่าวมัน ในละหมาดวิตร ...อัลลอฮุมะฮดินีย์ ฟีมันฮะดัยตฺ ..จนจบ –รายงานโดย อบูดาวูดและท่านอื่นๆ
อะสัน หมัดอะดั้ม
15/8/62






มีการอ้าง อบูบักบ้าง อุมัรบ้าง อุษมานบ้าง และอาลีบ้าง ว่าอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ ตลอดชีวิตเพื่อหาความชอบธรรม

มีการอ้าง ว่าบรรดาเคาะลิฟะฮอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ เป็นประจำตบตาชาวบ้าน
มีการอ้าง อบูบักบ้าง อุมัรบ้าง อุษมานบ้าง และอาลีบ้าง ว่าอ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิ ตลอดชีวิตเพื่อหาความชอบธรรม พี่น้องผู้อ่านโปรดระวัง มีคนกลุ่มหนึ่งใช้สันดานการเมืองเพื่อจะเอาชนะกันในเรื่องศาสนา โดยไม่คำนึงข้อเท็จจริง โปรดอ่านอย่างมีสติ รับข้อมูลอย่างมีสติ
ขอยกตัวอย่างรายงานเศาะเฮียะที่ยืนยันว่าเคาะลิฟะฮ ไม่ได้อ่านกุนูตในละหมาดศุบฮิเป็นประจำตลอดชีวิตตามที่คนบางกลุ่มอ้างกัน
كان عمر بن الخطاب إذا حارب قنت (اي في غير الوترأيضا) وإذالم يحارب لم يقنت
ปรากฏว่า อุมัร บิน อัลค็อฏฏ็อบ เมื่อเขาทำสงคราม เขาอ่านกุนูต(หมายถึงในอื่นจากละหมาดวิตรฺอีกเช่นกัน) และเมื่อเขา ไม่ทำสงคราม เขาก็ไม่อ่านกุนูต -รายงานโดยอัฏฏอหาวีย์สายรายงานหะซัน -ดู อาษัรอัสสุนัน 1/20 และ เอียะลาอุสสุนัน หน้า 100 ที่แนบมา)
............
นำมาให้ดูเป็นตัวอย่างให้พี่น้องพิจารณา เพราะสงครามกุนูต ยังคงคุกครุ่น ทั้งๆที่มันจบไปนานแล้วแต่มีผู้ก่อไฟสร้างฟิตนะฮ ทำลายสังคมชาวซุนนะฮจนแตกยับเยิน ไม่รู้จักจบ จนต้องออกมาชี้แจงบ้าง เพื่อเป็นคู่ขนานให้ผู้อ่านพิจารณา
อะสัน หมัดอะดั้ม
9/8/62


#แวดวงของการกุนูตซุบฮิ (ตอนที่ 1 - 8 ) 7 พฤศจิกายน 2018 - 18 พฤศจิกายน 2018 ///// อาจารย์ ฟารีด เฟ็นดี้


ฟารีด เฟ็นดี้

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=950871668447514&id=100005740689770


การเข้าใจหลักเกณฑ์ทางวิชาการที่เป็นพื้นฐานนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะจะทำให้เราได้เข้าใจถึงรากเง้าของแต่ละปัญหา และทำให้เข้าใจถึงเป้าหมายของถ้อยคำที่ถูกระบุอยู่ในตำรา ขณะเดียวกันก็ทำให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ในคำอธิบายของบรรดาอุลามาอ์
การกุนูตซุบฮิ (ขอวงเล็บไว้ว่า เฉพาะกุนูตในละหมาดซุบฮิ ไม่เกี่ยวกับกนูตในวิตร์หรือกุนูตนาซิละห์) เป็นการขัดแย้งของบบรรดาอุลามาอ์ตั้งแต่ในยุคต้น และปัญหานี้ได้ถูกตรวจสอบตามกระบวนการทางวิชาการไว้เรียบร้อยแล้ว และต่างก็รับรู้กันในหมู่ผู้ใฝ่หาความรู้ว่า กุนูตซุบฮิ เป็น “บิดอะห์” คือ ไม่ถูกบัญญัติมาตั้งแต่ในยุคของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และในยุคของบรรดาค่อลีฟะห์
เพียงแต่คนที่อ่านบทสรุปของอุลามาอ์โดยไม่รู้ที่มาที่ไป หรือไม่มีพื้นฐานทางวิชาการก็อาจจะเข้าใจบทสรุปของอุลามาอ์ผิดเพี้ยน หรืออาจจะมึนงง และสับสนอยู่บ้างในบางกรณี เช่นสับสนว่า ปัญหานี้จะอิงก๊าร (ปฏิเสธ/คัดค้าน) ได้หรือไม่ และบางคนก็กล่าวว่า กุนูตเป็นคิลาฟก่อวีย์, และคิลาฟก่อวีย์นั้น ห้ามคัดค้านทุกรูปแบบ และบางคนก็แย้งว่า ศอฮาบะห์และบรรดาอุลามาอ์ก็อิงก๊ารในเรื่องกุนูตซุบฮิ แล้วอะไรคือข้อเท็จจริงของเรื่องนี้, เราจะติดตามที่มาที่ไปของปัญหานี้เป็นขั้นตอนตามกระบวนการทางวิชาการ ดังนี้
ในแวดวงของปัญหานั้นถูกจำแนกเป็นสองชนิดคือ ชนิดเห็นต่าง (ตะเนาวุอ์) และชนิดขัดแย้ง (ตะฏอด) ซึ่งปัญหาทั้งสองชนิดนี้จะมีลักษณะต่างกัน และผลลัพธ์ของปัญหาก็ต่างกันอีกด้วย คือ
**ปัญหาชนิดเห็นต่าง (ตะเนาวุอ์) เป็นปัญหาที่มีตัวบทยืนยันความถูกต้องทั้งสองฝ่าย และบางปัญหาสามารถประสานเข้าด้วยกันได้ เนื่องจากปัญหาชนิดนี้มีรากเง้าเหมือนกัน แต่อาจจะต่างกันที่ลักษณะ,จำนวน,ปริมาณ,หรือวิธีการ อย่างนี้เป็นต้น และปัญหาชนิดนี้ไม่สามารถจะอิงก๊ารซึ่งกันและกัน
**ส่วนปัญหาชนิดขัดแย้ง (ตะฏอด) นั้นเป็นปัญหาที่มีรากเง้าต่างกัน ไม่สามารถประสานทั้งสองเข้าด้วยกันได้ และความถูกต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องยืนยันอย่างหนึ่งและอิงก๊ารอีกอย่างหนึ่ง
การพิจารณาว่า กุนูตซุบฮิเป็นปัญหาชนิดเห็นต่าง (ตะเนาวุอ์) หรือเป็นปัญหาขัดแย้ง (ตะฏอด) นั้น ไม่ใช่การพิจารณาที่ปลายปัญหาเป็นหลักว่า ฝ่ายหนึ่งว่าเป็นบิดอะห์ และอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นซุนนะห์ จึงเป็นปัญหาชนิดตะฏอด แต่บรรดาอุลามาอ์เขาพิจารณาตั้งแต่ต้น คือพิจารณาที่รากเง้าของปัญหา โดยพิจารณาว่า “ญินส์” และ “นัวอ์” ของปัญหานั้นๆ เป็นอย่างไร

หากปัญหานั้นมี “ญินส์” เดียวกัน อย่างนี้คือ ปัญหาชนิด “ตะเนาวุอ์” แต่หากปัญหานั้นมี “ญินส์” ต่างกัน อย่างนี้คือปัญหาชนิด “ตะฏอด”

การพิจารณารากเง้าของปัญหากุนูตซุบฮินั้น ปรากฏว่า ฝ่ายหนึ่งยืนยันการกุนูต และอีกฝ่ายหนึ่งปฏิเสธการกุนูต อย่างนี้คือการปฏิเสธ “อิงก๊าร” ญินส์ ซึ่งกันและกัน และไม่สามารถประสานเข้าด้วยกันได้
และเมื่อพิจารณาที่ผลลัพธ์ของปัญหาก็พบว่า มีผลลัพธ์ที่ขัดกันอีกด้วยคือ ฝ่ายหนึ่งว่าเป็นซุนนะห์ และอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็น บิดอะห์
ดังนั้นปัญหาการกุนูตนี้ ไม่ว่าจะพิจารณาที่รากเง้าของปัญหา หรือพิจารณาที่ผลลัพธ์ของปัญหา, ต่างก็ขัดกัน (ตะนากุฏ) ไม่สามารถประสานเข้าด้วยกันได้ กุนูตซุบฮิจึงเป็นปัญหาชนิดขัดแย้ง “ตะฏอด” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปัญหาคิลาฟียะห์
เมื่อเราทราบว่า การกุนูต เป็นปัญหาชนิด “ตะฎอด” ดังนั้นจึงจำเป็นต้องยืนยันทัศนะหนึ่ง และอิงก๊าร (ปฏิเสธ) อีกทัศนะหนึ่ง เนื่องจากความถูกต้องมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ดังนี้
وَأَمَّا اخْتِلَافُ التَّضَادِّ ، فَهُوَ الْقَوْلَانِ الْمُتَنَافِيَانِ ، إِمَّا فِي الْأُصُولِ ، وَإِمَّا فِي الْفُرُوعِ عِنْدَ الْجُمْهُورِ الَّذِينَ يَقُولُونَ : الْمُصِيبُ وَاحِدٌ
“ส่วนการขัดแย้งชนิด ตะฏอด นั้นคือ สองทัศนะค้านกัน บางครั้งก็ในเรื่องพื้นฐานและบางครั้งก็ในเรื่องปลีกย่อย ตามทัศนะของญุมฮูรที่กล่าวว่า ความถูกต้องมีหนึ่งเดียว”
هُوَ مَا حُمِدَ فِيهِ إِحْدَى الطَّائِفَتَيْنِ ، وَذُمَّتِ الْأُخْرَى
“การขัดแย้งชนิดตะฏอด นั้นจะต้องชื่นชมฝ่ายหนึ่งและตำหนิอีกฝ่ายหนึ่ง”

นี่คือหลักเกณฑ์ทางวิชาการที่ชี้ให้เห็นว่าการไม่ตำหนิฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนั้นคือ ปัญหาชนิด “ตะเนาวุอ์” ส่วนปัญหาชนิด “ตะฏอด” นั้นจะต้องยอมรับอย่างหนึ่งและปฏิเสธ (อิงก๊าร) อีกอย่างหนึ่งด้วย
***แต่การยืนยันว่าทัศนะหนึ่งถูกต้อง ขณะเดียวกันก็รับรองว่าอีกทัศนะหนึ่งก็ถูกต้องด้วย อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ในกรณีที่ปัญหานั้นเป็นชนิดตะฏอด เช่นการยืนยันว่า กุนูตเป็นบิดอะห์ ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าเป็นซุนนะห์ด้วย อย่างนี้ไม่มีในหลักเกณฑ์ทางวิชาการ เพราะการขัดแย้งชนิด “ตะฏอด” จะต้องเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดเท่านั้นตามทัศนะของญุมฮูร และการยันยันว่าถูกต้องทั้งคู่ โดยไม่อิงก๊ารอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น มันคือการเห็นต่างชนิด “ตะเนาวุอ์” ไม่ใช่ “ตะฏอด” ดังนี้
أما اختلاف التضاد فهو : القولان المتنافيان : إما في الأصول ، وإما في الفروع عند الجمهور الذين يقولون (( المصيب واحد )) ، وإلا فمن قال (( كل مجتهد مصيب )) فعنده هو من باب اختلاف التنوع لا اختلاف التضاد
“การคัดแย้งชนิดตะฏอดนั้นคือ สองทัศนะที่ค้านกัน บางครั้งก็ในเรื่องพื้นฐานและบางครั้งก็ในเรื่องปลีกย่อย ตามทัศนะของญุมฮูรที่กล่าวว่า ((ความถูกต้องมีหนึ่งเดียว)) นอกจากผู้ที่กล่าวว่า ((ผู้วินิจฉัยทุกคนมีความถูกต้อง)) นั้นหมายถึงการเห็นต่างกันในชนิด “ตะเนาวุอ์” ไม่ใช่ชนิด “ตะฏอด”


.
บางคนก็กล่าว่า “กุนูตเป็นคิลาฟก่อวีย์ห้ามอิงก๊าร” และบางคนก็โพทานาว่า “คิลาฟก่อวีย์ห้ามอิงก๊ารทุกรูปแบบ” ซึ่งเราฟังดูแล้วก็รู้สึกแปลกว่า พวกเขากำลังจะทำให้ปัญหาชนิด “ตะฏอด” กลายเป็นปัญหาชนิด “ตะเนาวุอ์” หรืออย่างไร และบางคนก็แสดงท่าทีเช่นนั้น คือยอมรับทั้งสองฝ่าย ไม่อิงก๊ารฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งเป็นเรื่องแปลก

บางคนถือกฎว่า คิลาฟก่อวีย์ห้ามอิงก๊าร แต่ศอฮาบะห์และบรรดาอุลามาอ์กลับอิงก๊ารต่อปัญหานี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เราพูดไม่ได้หรอกว่าศอฮาบะห์ผิดหรือกฎผิด หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาเข้าใจผิดกันเอง
ติดตามในครั้งต่อไป เราจะทยอยชี้แจงไปเรื่อยๆ อินชาอัลลอฮ์

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=952374398297241&id=100005740689770
เราพยายามย้ำเตือนและแนะนำมาหลายต่อหลายครั้ง ให้พวกเขาเรียนรู้และทำความเข้าใจในการแยกแยะชนิดปัญหากันก่อน แต่พวกเขาก็ไม่ใส่ใจ บ่ายเบี่ยงที่จะกล่าวถึง และพูดกลบเกลื่อนว่า แค่เป็นการเล่นคำและพาให้ชาวบ้านมึน ทั้งๆที่เรื่องเหล่านี้เป็นข้อมูลวิชาการ ที่แพร่หลายในแวดวงวิชาการ และเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับนักเรียนในศาสตร์ฟิกฮ์
พอไม่มีพื้นฐานและไม่เข้าใจในการจำแนกชนิดปัญหาเช่นนี้ ฉะนั้นเมื่อไปอ่านฟัตวาหรือคำชี้แจงหรือบทสรุปใดๆ ของอุลามาอ์ ก็เข้าใจผิดต่อการแสดงท่าทีในแต่ละปัญหา และบางคนก็เอาปัญหาคนละชนิดที่แตกต่างกันมาเปรียบเทียบกันอีกด้วย ความวุ่นวายจึงเกิดขึ้นไม่รู้จบ จากปัญหานั้นมาปัญหานี้เรื่อยๆ ไปดั่งที่ปรากฏ ณ.เวลานี้
เช่นเอาปัญหา ปิดหน้าเปิดหน้าสตรี,การนุ่งผ้าสั้นยาวเลยตาตุ่ม,การปล่อยมือหรือกอดอกหลักงเงยจากรุกัวอ์ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัญหาชนิด “ตะเนาวุอ์” แต่ก็ถูกนำไปเปรียบเทียบและเป็นข้ออ้างอิงให้แก่ปัญหา กุนูตซุบฮิ ที่เป็นการขัดแย้งชนิด “ตะฏอด”
เมื่อเราชี้แจงให้ทราบว่า กุนูตซุบฮิ เป็นบิดอะห์ และเป็นปัญหาชนิดขัดแย้ง “ตะฏอด” ซึ่งจำเป็นต้องยืนยันอย่างหนึ่งและอิงก๊ารอีกอย่างหนึ่ง จะยอมรับทั้งคู่ไม่ได้ เพราะความถูกต้องนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ตามแนวทางของสะละฟุสซอและห์ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่พวกเขากลับเฉไฉ และมโนเอาเองว่า ข้อมูลที่เรานำเสนอนั้นมาจากอุลามาอ์ท่านนั้นหรือท่านนี้ แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์บนพื้นฐานการมโนของตนเอง
ทั้งๆที่เรื่องนี้คือจุดยืนของชาวสะลัฟ และบรรดาญุมฮูรอุลามาอ์ ซึ่งต่างก็ยืนยันตรงกันว่า การขัดแย้งชนิด “ตะฏอด” นั้นเกิดขึ้นได้ทั้งในเรื่องรากฐานและในเรื่องปลีกย่อย และจำเป็นต้องเลือกอย่างหนึ่งอย่างใด จะยอมรับทั้งคู่ไม่ได้ เพราะความถูกต้องนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว ดังที่ซัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
قال شيخ الإسلام ابن تيمية " " :(أما أنواع الاختلاف فهي في الأصل قسمان (اختلاف تنوع واختلاف تضاد. واختلاف التنوع أنواع، منه ما يكون كل واحد من القولين أو الفعلين حتماً مشروعاً كما في القراءات التي اختلف فيها الصحابة وكذلك كل واحد من المختلفين مصيب بلا تردد. وأما اختلاف التضاد فهو القولان المتنافيان، أما في الأصول وأما في الفروع عند الجمهور الذين يقولون المصيب واحد وإلا فمن كان عند كل مجتهد مصيب فعنده هو من باب اختلاف التنوع )
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า “” ส่วนชนิดต่างๆของการขัดแย้งนั้นมันอยู่ในรากฐานสองประการนี้คือ ชนิด ตะเนาวุอ์ และ ชนิด ตะฏอด และการเห็นต่างชนิดตะเนาวุอ์นั้นมีหลายรูปแบบ ส่วนหนึ่งก็คือ คำพูดหรือการกระทำของทั้งสองฝ่ายเป็นไปตามบทบัญญัติอย่างชัดเจน ดั่งเช่นลักษณะการอ่านอัลกุรอานที่บรรดาศอฮาบะห์เห็นต่างกัน อย่างนี้แหละที่ถือว่าผู้เห็นต่างแต่ละฝ่ายนั้นมีความถูกต้องไม่มีการโต้แย้งหรือคัดค้านแต่อย่างใด
ส่วนการขัดแย้งชนิดตะฏอดนั้นคือ สองทัศนะค้านกัน บางครั้งก็ในเรื่องรากฐานและบางครั้งก็ในเรื่องปลีกย่อย ตามทัศนะของบรรดาญุมฮูรที่พวกเขากล่าวว่า ความถูกต้องนั้นมีหนึ่งเดียว นอกจากผู้ที่กล่าวว่า ผู้วินิจฉัยทุกคนมีความถูกต้อง ซึ่งมันเป็นชนิด ตะเนาวุอ์””

เมื่อเราพูดว่า ตะเนาวุอ์ ก็ให้ความหมายว่า “การเห็นต่าง” และเมื่อพูดคำว่า ตะฏอด ก็ให้ความหมายว่า “การขัดแย้ง” ทั้งนี้เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นภาพชัดเจนว่าทั้งสองชนิดนี้ไม่เหมือนกัน หรือใครจะให้ความหมายว่า เห็นต่างแบบรวมกันได้ กับ เห็นต่างแบบรวมกันไม่ได้ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่อย่าทิ้งจุดประสงค์ของการจำแนกปัญหาทั้งสองชนิดนี้ออกจากกัน ดั่งที่บรรดาญุมฮูรอุลามาอ์ได้จำแนกไว้ ตามที่ ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ได้ยืนยันไว้ข้างต้น
บรรดาผู้ที่กล่าวว่า เอาอุลามาอ์ หรือ ตามปราชญ์ ก็ควรใส่ใจและให้ความสำคัญต่อการจำแนกชนิดของปัญหานี้ ไม่ใช่กระโดดข้ามหัวปราชญ์เสียเองตั้งแต่เริ่มแรก
เท่านั้นยังไม่พอ บางคนก็หันไปเสนอแนวคิดในทางตรรกว่า
“ผิดของเรา แต่ถูกของเขา”
ถ้อยคำอย่างนี้ในทางตรรกศาสตร์นั้น เป็นตรรกวิบัติ ตามทฤษฏีย้อนแย้งหรือทฤษฏีปรปักษ์ที่สวนทางกัน (ตะนากูฏ) ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะถูกทั้งคู่หรือผิดทั้งคู่ เพราะผลของทฤษฎีปรปักษ์นั้น จะต้องมีถูกอันหนึ่งและผิดอันหนึ่ง เพราะหากยืนยันความถูกต้องก็ต้องปฏิเสธความผิดพลาด และหากยืนยันว่าผิดพลาดก็ต้องปฏิเสธความถูกต้องด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วจะหาความผิดพลาดและความถูกต้องบนโลกนี้ไม่เจอ
เช่นเดียวกับกฎของฟิกฮ์ ในเรื่องการขัดแย้งชนิด “ตะฏอด” ที่ถือว่าความถูกต้องนั้นมีหนึ่งเดียว จะเอามาปนกันไม่ได้ และอิสลามก็ไม่ยินยอมที่จะเอาถูกและผิดมาปนกันดั่งที่กล่าวแล้ว
ดังนั้นการยืนยันว่า กุนูตซุบฮิเป็นบิดอะห์ ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าเป็นซุนนะห์ด้วย จึงเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้องทั้งหลักตรรกศาสตร์และหลักวิชาการทางศาสนา
#ที่กล่าวแล้วนี้คือการยอมรับหรือปฏิเสธต่อปัญหาและฮุก่มของปัญหานั้นๆให้ชัดเจนว่าเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด #ส่วนการฮุก่มตัวบุคคลในปัญหาการขัดแย้งนั้นเป็นอีกกรณีหนึ่ง
ต้องย้ำว่า ตัวปัญหา, หลักฐานของปัญหา ฮุก่มของปัญหา ผู้วินิจฉัย ผู้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัย ทั้งผู้รู้หลักฐานและคนไม่รู้ เป็นคนส่วนกัน อย่าได้เอามาเหมารวมกัน เช่นจุดยืนของเชคบิน บาซ ที่ท่านยืนยันว่า การกุนูต ซุบฮิ เป็นบิดอะห์, ไม่ได้ถูกตราเป็นบัญญัติศาสนา แต่ท่านก็ไม่ฮุก่มตัวอิหม่ามชาฟีอีว่า เป็นผู้อุตริในศาสนา ดั่งที่ท่านได้ให้คำตอบว่า
أن هذا ليس تبديعاً للشافعي ولكن من باب تحري الأرجح من الأقوال، من باب تحري الأرجح لأن من قال: إنه بدعة احتج بحديث طارق بن أشيم الأشجعي ومن زعم أنه سنة ومستحب احتج بأحاديث أخرى فيها ضعف
“นี่ไม่ใช่เป็นการให้ข้อหาอิหม่ามชาฟีอีว่าเป็นผู้ทำบิดอะห์ ทว่ามันอยู่ในหมวดของการพิจารณาให้น้ำหนักที่ถูกต้องที่สุดในบรรดาทัศนะต่างๆ เพราะคนที่กล่าวว่า กุนูตซุบฮิเป็นบิดอะห์นั้นก็อ้างอิงหลักฐานฮะดีษของท่านฏอริก บิน อัชยัม อัลอัชยะอีย์ ส่วนคนที่อ้างว่าเป็นซุนนะห์และสมควรทำนั้นก็อ้างหลักฐานฮะดีษต่างๆที่มันฏออีฟ”
หรืออย่างเช่น เชคซอและห์ อัลอุษัยมีน ที่กล่าวถึงคำพูดเหมารวมโดยไม่แยกแยะว่า
إذا اختلف الفقهاء في سنة فقال بعضهم : هي سنة وقال آخرون : ليست بسنة فليس لازم قول الذين يقولون : إنها ليست بسنة أن يبدعوا الآخرون لا يبدعونهم أبدا لأننا لو بدعنا المخالف لنا في هذه الأمور لزم أن يكون كل الفقهاء في مسائل الخلاف مبتدعة لأن الذي يقول لي : أنت مبتدع أقول له وأنت مبتدع فيبقى الفقهاء كلهم في مسائل الخلاف أهل بدعة ( اللقاء الشهري 3/69)
“เมื่อนักวิชาการด้านฟิกฮ์ได้ขัดแย้งกันในเรื่องของซุนนะห์ใดๆ โดยที่บางคนกล่าวว่า มันเป็นซุนนะห์ และอีกคนก็กล่าวว่า มันไม่ใช่ซุนนะห์ มันก็ไม่ใช่ว่าคนที่กล่าวว่า ไม่ใช่ซุนนะห์นั้นจะไปให้ข้อหาบิดอะห์กับคนอื่น เพราะถ้าหากเราให้ข้อหาบิดอะห์กับคนอื่นในเรื่องอย่างนี้ ดังนั้นบรรดานักฟิกฮ์ที่วินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาการขัดแย้งทุกคนก็จะต้องเป็น ผู้ที่อุตริ โดยจะมีผู้กล่าวแก่ฉันว่า ท่านเป็นผู้อุตริ และฉันก็จะกล่าวแก่เขาว่า ท่านก็เป็นผู้อุตริเหมือนกัน แล้วบรรดานักฟิกฮ์ทุกคนที่วินิจฉัยเกี่ยวกับปัญหาการขัดแย้งก็จะกลายเป็น นักอุตริ เสียทั้งหมด”
เราเคยแนะนำและเขียนซาร์ดให้เห็นแล้วว่า ปัญหาหนึ่งๆ นั้นมีองค์ประกอบคือ ตัวปัญหา, หลักฐานของปัญหา, ผู้วินิจฉัยปัญหา, ฮุก่มของปัญหา และผู้ปฏิบัติตาม ทั้งที่เป็นคนรู้และคนไม่รู้หลักฐาน ดังนั้นผู้ที่อ่านคำฟัตวาของอุลามาอ์ หรืออ้างว่ายึดบทสรุปของอุลามาอ์ จึงต้องมีพื้นฐานทางวิชาการในการจำแนกแยกแยะ เพื่อจะได้เข้าใจว่า อุลามาอ์เขากล่าวถึงกรณีใด เขาอิงก๊ารในจุดใดและไม่อิงก๊ารในจุดใด ไม่ใช่เหมารวมทั้งหมดโดยพูดว่า “ห้ามอิงก๊าร” ซึ่งการไม่รู้จักแยกแยะ โดยเอาฟัตวาของอุลามาอ์มาพูดเหมารวมอย่างนี้มันเกิดความเสียหาย
บางคนก็ว่า “เราไม่ใช่อุลามาอ์ เราเอาที่อุลามาอ์สรุป” ถามว่าท่านเข้าใจพื้นฐานของปัญหาตามที่อุลามาอ์เขาสรุปหรือไม่ และเมื่อท่านไม่ทราบพื้นฐานของปัญหาแล้วจะเข้าใจบทสรุปของอุลามาอ์ถูกต้องได้อย่างไร นี่แหละเป็นที่มาของการเอาปัญหาแต่ละชนิดมาเปรียบเทียบลากโยงกันมั่วไปหมด
ส่วนเจ้าของวาทะที่ว่า “คิลาฟก่อวีย์ห้ามอิงก๊ารทุกรูปแบบ” นั้นก็คงจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ แม้ว่าจะลบข้อความออกไปจากหน้าเฟส แต่การชี้นำให้คนอื่นเข้าใจผิดไปแล้ว มันมีบัญชี ณ.ที่อัลลอฮ์ 




https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=953089004892447&id=100005740689770
กุนูตซุบฮิ ไม่ใช่ปัญหาอิจติฮาดียะห์ แต่เป็นปัญหาคิลาฟียะห์ !!!
ที่เราต้องกล่าวประโยคข้างต้นนี้ เนื่องจากบางคนยังสับสน โดยแยกไม่ออกระหว่างปัญหาประเภท อิจติฮาดียะห์ และปัญหาคิลาฟียะห์ เหมือนดั่งความสับสนของพวกเขาต่อการแจกแจงชนิดของปัญหาว่าเป็นปัญหาชนิดตะเนาวุอ์หรือตะฏอด ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
ทั้งๆที่เราก็ให้คำแนะนำกันอยู่หลายครั้งว่า ให้ระวังถ้อยคำที่ทับซ้อนกันอยู่ ด้วยเกรงว่าจะเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
คำว่า ” มัซอะละห์ อิจติฮาดียะห์” กับคำว่า “คิลาฟียะห์อิจติฮาดียะห์” และคำว่า “มะซาอิ้ลอัลอิจติฮาด” หรือ “มะซาอิลลุ้ลคิลาฟ” และ “ยะซุฆุ้ลอิจติฮาด” เป็นถ้อยคำที่ถูกใช้ในตำราและในคำฟัตวาของบรรดาอุลามาอ์ ซึ่งหากเราไม่เข้าใจและไม่รู้จักการแยกแยะ ก็จะทำให้เราเข้าใจผิดในวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่อุลามาอ์เขากล่าวไว้ แล้วก็เอาฟัตวาของอุลามาอ์ต่อปัญหาประเภทหนึ่งไปใช้เป็นข้ออ้างกับปัญหาอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเราได้เห็นการกระทำที่ผิดพลาดเช่นนี้แพร่หลายอยู่ในหลายบทความตามหน้าเฟสบุ๊ค
เราเทียบเป็นภาษาไทยให้เข้าใจง่ายๆ สักสองกรณีคือ
1 – ปัญหาที่ไม่มีตัวบทระบุ และต้องอาศัยการวินิจฉัย (มัสอะละห์อิจติฮาดียะห์)
2 – ปัญหาที่มีตัวบทระบุ และอนุญาตให้ทำการวินิจฉัย (มัสอะละห์คิลาฟียะห์อิจติฮาดียะห์)
ปัญหาทั้งสองนี้เป็นคนละประเภทและแตกต่างกัน แต่มีคำใกล้เคียงที่ใช้ทับซ้อนกันอยู่คือ คำว่า อิจติฮาดียะห์ เมื่อไม่สังเกตให้ดีก็จะทำให้เข้าใจผิดได้ คืออุลามาอ์เขากล่าวถึงปัญหาอย่างหนึ่ง แต่เรากลับไปเข้าใจอีกอย่างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น เมื่ออ่านพบคำว่า مسائل الإجتهاد ก็ต้องทำความเข้าใจให้ดีว่าเขากล่าวถึงปัญหาที่มีตัวบทหรือปัญหาที่ไม่มีตัวบท
ปัญหาอิจติฮาดียะห์คือปัญหาที่ไม่มีตัวบทมาระบุ หรือไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน มาระบุถึงความถูกต้องทัศนะหนึ่งทัศนะใด ซึ่งเราได้อธิบายประเด็นนี้มาหลายครั้ง
บางคนกล่าวว่า ผู้ที่แยกปัญหาอิจติฮาดียะห์ กับปัญหาคิลาฟียะห์ ออกจากกันนั้นคือท่านเชค ซอและห์ อาลิ เชค เท่านั้น แต่ความจริงแล้วในแวดวงของอุลามาอ์นั้น ต่างก็รับรู้และเป็นที่ทราบกันดีอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะ ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์
أن ابن تيمية رحمه الله له تفريق خاص بين مسائل الاختلاف ومسائل الاجتهاد، ورتب على هذا التفريق جواز (الإنكار في مسائل الخلاف، وعدم الإنكار في مسائل الاجتهاد)، والفارق بين النوعين من المسائل أن مسائل الاختلاف هي التي يكون أحد القولان فيها مؤيد بالنص في مقابل آخر ضعيف، أما مسائل الاجتهاد فهي التي لم يرد فيها دليل يجب العمل به، يقول ابن تيمية -رحمه الله-: " مسائل الاجتهاد من عمل فيها بقول بعض العلماء لم ينكر عليه ولم يهجر ومن عمل بأحد القولين لم ينكر عليه وإذا كان في المسألة قولان: فإن كان الإنسان يظهر له رجحان أحد القولين عمل به وإلا قلد بعض العلماء الذين يعتمد عليهم في بيان أرجح القولين"
“แท้จริง อิบนุ ตัยมียะห์นั้น ท่านมีการจำแนกเฉพาะ ระหว่างปัญหาการขัดแย้งและปัญหาการวินิจฉัย และขั้นตอนของการจำแนกเช่นนี้เป็นที่อนุญาต (อิงก๊ารต่อปัญหาการขัดแย้งแต่ไม่อิงก๊ารต่อปัญหาที่อนุญาตให้วินิจฉัย) และความแตกต่างระหว่างปัญหาสองประเภทนี้คือ ปัญหาคิลาฟคือปัญหาที่หนึ่งในทัศนะของทั้งสองฝ่ายมีตัวบทมาสนับสนุนโดยอีกฝ่ายหนึ่งนั้นฏออีฟ ส่วนปัญหาอิจติฮาดคือปัญหาที่ไม่มีตัวบทระบุถึงความจำเป็นในการปฏิบัติตาม ซึ่ง อิบนุตัยมียะห์ ได้กล่าวว่า : “ปัญหาอิจติฮาดนั้น ใครที่ติดตามทัศนะของอุลมามาอ์คนหนึ่งคนใดก็จะไม่ถูกคัดค้าน,ไม่ถูกโดดเดี่ยว และผู้ใดที่ปฏิบัติตามหนึ่งในทัศของทั้งสองก็จะไม่ถูกต่อต้าน และหากในปัญหานั้นมีสองทัศนะ โดยที่ผู้คนได้ประจักษ์ชัดแล้วว่าหนึ่งสองทัศนะนั้นมีน้ำหนักก็ให้ปฏิบัติตามนั้น แต่สำหรับผู้ไม่ทราบความชัดเจนด้วยตัวเองก็ให้ถือตามอุลามาอ์ที่เขามั่นใจในการชี้แจงทัศนะที่มีน้ำหนักมากกว่าจากทั้งสองทัศนะ”

เราทราบว่า ท่านชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ได้แยกปัญหา อิจติฮาดียะห์และปัญหาคิลาฟียะห์ออกจากกัน โดยเฉพาะตัวท่านเองก็เตือนให้ระวังในการนำเอาปัญหาทั้งสองนี้ไปปนกัน, ท่านกล่าวว่า
وإنما دخل هذا اللبس من جهة أن القائل يعتقد أن مسائل الخلاف هي مسائل الاجتهاد، كما اعتقد ذلك طوائف من الناس
“ความสับสนที่เกิดขึ้นนี้ จากการที่มีผู้เข้าใจว่า ปัญหาคิลาฟ ก็คือ ปัญหาอิจติฮาด ดั่งที่มีคนหลายกลุ่มได้เชื่อเช่นนั้น”
والصواب الذي عليه الأئمة أن مسائل الاجتهاد ما لم يكن فيها دليل يجب العمل به وجوباً ظاهراً
“แต่ที่ถูกต้องตามที่บรรดาปวงปราชญ์ได้ยึดถือนั้นคือ ปัญหาอิจติฮาด คือปัญหาที่ไม่มีหลักฐานที่บ่งถึงความจำเป็นในการปฏิบัติอย่างชัดเจน “ อัลฟะตาวา อัลกุ๊บรอ ญุซที่ 6 หน้าที่ 96
ดังนั้นเมื่ออุลามาอ์เขากล่าวถึงปัญหา อิจติฮาดียะห์ จึงหมายถึง ปัญหาที่ไม่มีตัวบทมาระบุ หรือไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน มาระบุถึงความถูกต้องทัศนะหนึ่งทัศนะใด
#ถามว่า การกุนูตซุบฮิ เป็นปัญหาอิจติฮาดียะห์ที่ไม่มีตัวบทมาระบุเช่นนั้นหรือ ?
คำตอบคือ ไม่ใช่เช่นนั้น เนื่องจากปัญหาการกุนูตซุบฮิ เป็นปัญหาที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีหลักฐานมายืนยันทัศนะของตนเอง ดังนั้นบรรดาอุลามาอ์จึงได้จัดให้ปัญหากุนูตซุบฮิเป็นประเภทปัญหา คิลาฟียะห์ ไม่ใช่ปัญหาอิจติฮาดียะห์ เช่น คำฟัตวาของ อัลลุจนะห์ อัลดาอิมะห์ ฯ ของซาอุดี้ ที่กล่าวว่า
فتخصيص صلاة الصبح بالقنوت من المسائل الخلافية الاجتهادية
“การเจาะจงเฉพาะกุนูตในละหมาดซุบฮินั้น มันเป็นปัญหาคิลาฟียะห์ อิจติฮาดียะห์” (ฟัตวาหมายเลข 2222)
หรือคำฟัตวา จากดารุ้ลอิฟตาฮ์ ของลิเบีย ว่า
فإن القنوت في الفجر من المسائل الخلافية الاجتهادية
“แท้จริงการกุนูตในละหมาดซุบฮินั้นเป็นปัญหาคิลาฟียะห์อิจติฮาดียะห์”
ท่านอาจสงสัยว่า เมื่อกุนูตซุบฮิเป็นปัญหาคิลาฟียะห์ แล้วทำไม จึงมีคำว่า อิจติฮาดียะห์พว่งท้ายมาด้วย ?
คำตอบก็คือ คำว่า อิจติฮาดียะห์ที่ต่อท้ายนี้ ไม่ได้หมายถึงปัญหาอิจติฮาดียะห์ที่ไม่มีตัวบท แต่เป็นคำที่แจ้งลักษณะ (ซิฟะห์) ของคำว่าคิลาฟียะห์ ที่สื่อความหมายว่า ปัญหาคิลาฟียะห์ที่มีการอิจติฮาด หรือ ปัญหาคิลาฟียะห์ ที่ยอมให้ทำการอิจติฮาดได้ ดั่งถ้อยคำต่อไปนี้ว่า
فمسألة القنوت في صلاة الفجر من مسائل الخلاف التي يسوغ فيها الاجتهاد
“ฉะนั้น การกุนูตในละหมาดซุบฮิ เป็นหนึ่งในปัญหาคิลาฟที่อนุญาตให้ทำการอิจติฮาด”
และบางครั้ง จะพบว่าบรรดานักวิชาการจะกล่าวถึงปัญหาในหมวดหมู่คิลาฟียะห์ โดยกล่าวว่ามันเป็น อิจติฮาดียะห์ จึงทำให้บางคนเข้าใจผิดไปว่า มันเป็นปัญหาที่ไม่มีหลักฐาน และเมื่อเกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้แล้ว ก็ไปนำคำฟัตวาที่เกี่ยวกับปัญหาอิจติฮาดียะห์ (ที่หมายถึงปัญหาที่ไม่มีหลักฐาน) มาสวมทับปัญหาคิลาฟียะห์อิจติฮาดียะห์ (ปัญหาที่มีหลักฐานทั้งสองฝ่ายซึ่งยอมให้มีการอิจติฮาด)

ความเข้าใจที่คาดเคลื่อนเช่นนี้กำลังแพร่ระบาดอยู่ตามหน้าเฟส


อ่านต่อครั้งต่อไป อินชาอัลลอฮ์




https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=953570951510919&id=100005740689770

นอกจากจะเข้าใจผิดในการจำแนกชนิดปัญหา (ตะเนาวุอ์-ตะฏอด) และการจำแนกประเภทปัญหา (อิจติฮาดียะห์-คิลาฟียะห์) และเอาคำฟัตวาของอุลามาอ์เกี่ยวกับปัญหาอิจติฮาดียะห์มาสวมทับปัญหาคิลาฟียะห์แล้ว ที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือ นำเอาคำฟัตวาของอุลามาอ์ มาสรุปอย่างผิดเพี้ยน ดังนี้
ﻭﻋﻠﻰ ﻫﺬﺍ، ﻓﺈﻥ ﻣﻔﻬﻮﻡ ﺍﻹﻧﻜﺎﺭ ﺍﻟﻤﻨﻔﻲ ﻓﻲ ﺍﻟﻤﺴﺎﺋﻞ ﺍﻻﺟﺘﻬﺎﺩﻳﺔ ﻫﻮ : ﺍﻹﻧﻜﺎﺭ ﺑﺎﻟﻴﺪ، ﺃﻭ ﺍﻟﺘﺸﻨﻴﻊ ﻋﻠﻰ
ﺍﻟﻤﺨﺎﻟﻒ، ﺃﻭ ﺍﻟﻘﺪﺡ ﻓﻲ ﺩﻳﻨﻪ ﻭﻋﺪﺍﻟﺘﻪ، ﻛﺮﻣﻴﻪ ﺑﺎﻟﺒﺪﻋﺔ ﺃﻭ ﺍﻟﻔﺴﻖ، ﻭﻫﺠﺮﻩ ﻣﻦ ﺃﺟﻠﻬﺎ، ﻓﺈﻥ ﻫﺬﺍ ﻛﻠﻪ
ﻳﻄﺒﻖ ﻋﻠﻰ ﻣﻦ ﺃﺗﻰ ﻣﻨﻜﺮﺍً ﻓﻲ ﻣﺴـﺄﻟﺔ ﻏﻴﺮ ﺍﺟﺘﻬﺎﺩﻳﺔ ﺳـﻮﺍﺀً ﻛﺎﻥ ﺫﻟﻚ ﻓﻲ ﻣﺴـﺄﻟﺔ ﺇﺟﻤـﺎﻋﻴﺔ ﺃﻡ
ﺧﻼﻓﻴﺔ … ﻭﻛﻞ ﺷﻲﺀٍ ﺑﺤﺴﺒﻪ، ﻭﻻ ﻳﺘﻨﺎﻓﻰ ﻓﻲ ﻫﺬﺍ ﻣﻊ ﺑﻴﺎﻥ ﺍﻟﺮﺍﺟﺢ ﻣﻦ ﺍﻟﺮﺃﻳﻴﻦ ، ﻭﻫﺬﺍ ﻛﺎﻥ
ﻓﻌﻞ ﺍﻟﺼﺤﺎﺑـﺔ ﺭﺿﻲ ﺍﻟﻠﻪ ﻋﻨﻬﻢ

“และสำหรับเรื่องนี้ แท้จริงแล้วความเข้าใจเกี่ยวกับการอิงการ(คัดค้าน)ที่ถูกปฏิเสธในประเด็นอิจติฮาดียะห์ คือ การคัดค้านด้วยมือ(กำลัง) หรือ การตำหนิอย่างรุนแรงต่อผู้ที่เห็นต่าง หรือ ว่าร้ายในศาสนาของเขา และในความยุติธรรมของเขา เช่น ว่าร้ายเขาด้วยกับการทำบิดอะฮฺ หรือ ฝ่าฝืน และออกห่างจากเขาอันเนื่องจากประเด็นอิจติฮาด ดังนั้นแล้วสิ่งที่กล่าวมานี้ทั้งหมดจะถูกปฏิบัติใช้กับคนที่กระทำสิ่งที่ผิดในประเด็นที่ไม่ใช่ประเด็นอิจติฮาดียะห์ ไม่ว่าประเด็นนั้นจะอยู่ในประเด็นอิจมาอฺ หรือ คิลาฟก็ตาม และทุกๆอย่างก็ขึ้นอยู่กับสภาพของมัน และมันก็ไม่ได้ขัดแย้งกันในเรื่องนี้(ประเด็นอิจติฮาด) กับการชี้แจงทัศนะที่มีน้ำหนักจากสองทัศนะ และสิ่งนี้แหละที่บรรดาศอฮาบะห์ปฏิบัติกัน”หนังสือ “ลาอิงการ ฟีมะซาอิลิ้ลอิจติฮาด” หน้าที่ 154
....................................

อยากให้ผู้แปลได้ทบทวนทำความเข้าใจในเนื้อหาของข้อความข้างต้นใหม่ เพราะในข้อความมีทั้งคำว่า “อิจติฮาดียะห์” และคำว่า “คิลาฟียะห์” ระบุอยู่ทั้งสองคำ จะได้เข้าใจว่าอะไรคือเป้าหมายที่เจ้าของข้อความเขาต้องการ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเอาข้อความข้างต้นนี้มาแสดงแล้วก็สรุปว่า “ดังนั้นการเข้าใจว่าการอิงการ คือ การชี้แจงหลักฐานการให้น้ำหนักว่าอันไหนถูกต้อง แบบนี้ไม่เรียกว่าอิงการตามนัยยะของอุลามาอฺครับ”
เราก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงได้เลยเถิดกันขนาดนี้ หรือว่าพวกเขารีบร้อนโดยไม่ทำความเข้าใจในเนื้อหาที่ยกมาให้ดีเสียก่อนว่า อุลามาอ์เขากล่าวถึงปัญหาประเภทใด, กรณีใด และคำว่า “ไม่เรียกว่าอิงก๊ารตามนัยยะของอุลามาอ์” คือการทึกทักแล้วสรุปเอาเอง ไปดูอุลามาอ์ตัวจริงเขาอธิบายให้ฟังดีกว่า
قال شيخ الإسلام ابن تيمية : يُنكَر الخلاف بمعنى بيانِ ضعفِه؛ عند من يقول المصيب واحد وهم عامةُ السَّلف والفقهاء
بيان الدليل على بطلان التحليل، لابن تيمية ص 210

“ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า : การคิลาฟนั้นจะถูกอิงก๊ารด้วยความหมายของการชี้แจงความบกพร่องของมัน ตามที่มีผู้กล่าวว่า ความถูกต้องนั้นมีหนึ่งเดียว พวกเขาคือบรรดาซะลัฟโดยทั่วไปและบรรดานักนิติศาสตร์อิสลาม”
อิบนุตัยมียะห์แจ้งว่า การชี้แจงความบกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่งก็ถูกเรียกว่าอิงก๊ารเช่นเดียวกัน, แล้วทำไมผู้รู้ของเราบางคนถึงสรุปเอาเองให้ผิดเพี้ยนไปจากคำชี้แจงของอุลามาอ์ หรือว่าพวกเขาไม่เคยอ่านข้อความของเราที่แนะนำให้รู้จักการจำแนก ประเภทปัญหา,ชนิดปัญหา,ผู้วินิจฉัยปัญหา,หลักฐานของปัญหา, วิธีการวินิจฉัยปัญหา, ฮุก่มของปัญหา, การให้น้ำหนักปัญหา, ผู้ปฏิบัติตามปัญหานั้น ทั้งผู้ที่รู้หลักฐานและผู้ที่ไม่รู้หลักฐาน เพื่อจะได้เข้าใจว่า ตรงไหนต้องอิงก๊าร และตรงไหนไม่อิงก๊าร และจะอิงก๊ารด้วยวิธีใด ไม่ใช่พูดเหมารวมไปหมดว่า “ห้ามอิงก๊าร” ซึ่งมันไม่ถูกต้อง
หากถามว่า การกุนูตในละหมาดซุบฮินั้น มีการอิงก๊ารไหม ?
คำตอบคือ มีการอิงก๊ารกันตั้งแต่ในยุคศอฮาบะห์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันดังนี้
فلما كشفنا وجوه هذه الآثار المروية عن النبي صلى الله عليه وسلم في القنوت فلم نجدها تدل على وجوبه الآن في صلاة الفجر لم يأمر به فيها وأمرنا بتركه مع أن بعض أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم قد أنكره أصلا كما حدثنا علي بن معبد و حسين بن نصر وعلى بن شيبة عن يزيد بن هارون
قال حدثنا أبو مالك الأشجعي سعد بن طارق قال : قلت لأبي (( يا أبت إنك صليت خلف رسول الله صلى الله عليه وسلم وخلف أبي بكر وخلف عمر وخلف عمر وخلف عثمان وخلف علي رضى الله عنهم ههنا بالكوفة قريبا من خمس سنين أفكانوا يقنتون في الفجر ؟ فقال أي بني محدث))

“เมื่อเราได้เผยให้เห็นในแต่ละด้าน เกี่ยวกับตัวบทที่ถูกรายงานมาจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ในเรื่องการกุนูตนั้น เราก็ไม่พบตัวบทใดที่บ่งชี้ถึงความจำเป็นต่อการกุนูตในละหมาดซุบฮิ ไม่มีคำสั่งใช้ให้ทำ แต่ใช้ให้ทิ้งมัน ขณะที่มีศอฮาบะห์ของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมบางท่าน ได้ “อิงก๊าร” ดั่งที่ อาลี บิน มะอ์บัด, ฮุซัยน์ บิน นัศร์ และอาลี บินชัยบะห์ ได้เล่าให้เราฟัง จากยะซีด บินฮารูณ กล่าวว่า
“อบูมาลิก อัลอัชญะอีย์ ซะอด์ บิน ฏอริก กล่าวว่า : ฉันได้ถามพ่อของฉัน โดยกล่าวว่า : ((โอ้พ่อจ๋า ท่านได้ละหมาดตามหลังท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และอบูบักร์,อุมัร,อุสมาน และละหมาดตามหลังท่านอาลี ที่เมืองกูฟะห์ ประมาณห้าปี พวกเขาเหล่านั้นได้ทำการกุนูตในละหมาดซุบฮิไหม พ่อตอบว่า ลูกเอ๋ย มันเป็นของใหม่ )) จากหนังสือ شرح معاني الآثار_الطحاوي – 2 หน้าที่ 249

ท่านชัยค์ ซอและห์ อิบนุ อุษัยมีน กล่าวว่า
ذكره ابن القيم في زاد المعاد، وهذا إنكار منه للقنوت في الفجر مع أنه دعاء، والدعاء مشروع كل وقت، لكن تقييده بعبادة معينة والنبي صلى الله عليه وسلم لم يقيده بها يكون بدعة
“อิบนุลกอยยิม ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ “ซาดุ้ลมะอ๊าด” ว่า, นี่คือการอิงก๊ารจากกเขา (ศอฮาบะห์) ในเรื่องการกุนูตซุบฮิ พร้อมกับแจ้งว่ามันคือดุอาอ์ และการดุอาอ์นั้นถูกบัญญัติเป็นศาสนาทุกเวลา แต่ทว่าการเจาะจงกระทำในเวลาใดที่ชัดเจน ขณะที่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ไม่เคยเจาะจงไว้นั้น มันเป็นบิดอะห์”
การปฏิเสธกุนูตซุบฮิ แล้วยืนยันว่ามันเป็นบิดอะห์นั้น คือการอิงก๊ารดั่งที่ศอฮาบะห์ได้กระทำ และบรรดาอุลามาอ์ต่างก็ยืนยันด้วยคำว่าอิงก๊าร เช่นเดียวกัน ดังนี้
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนิ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
أَنَّ مِنْ تَأَمَّلَ الْأَحَادِيثَ عَلِمَ عِلْمًا يَقِينًا أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَمْ يُدَاوِمْ عَلَى الْقُنُوتِ فِي شَيْءٍ مِنْ الصَّلَوَاتِ لَا الْفَجْرِ وَلَا غَيْرِهَا ; وَلِهَذَا لَمْ يَنْقُلْ هَذَا أَحَدٌ مِنْ الصَّحَابَةِ ; بَلْ أَنْكَرُوهُ
“จากการพิจารณาฮะดีษต่างๆแล้วก็รู้ได้อย่างมั่นใจว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมนั้น ไม่เคยทำกุนูตเป็นประจำในการละหมาดแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นละหมาดซุบฮิหรือละหมาดอื่นๆ ทั้งนี้เพราะไม่มีศอฮาบะห์คนใดถ่ายทอดเรื่องนี้มา แต่พวกเขากลับอิงก๊ารมัน” มัจมัวอ์ อัลฟะตาวา 21/154
وأما قنوت الفجر : فالراجح عدم مشروعيته لعدم وجود دليل صريح صحيح في شرعيته ، بل أنكره بعض الصحابة ولم يفعله أحد منهم، كما أنكره جمهور العلماء
“ส่วนการกุนูตในละหมาดซุบฮินั้น : ที่มีน้ำหนักที่สุดคือไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติไว้ เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่ถูกต้องในการตราบัญญัติ ทว่าศอฮาบะห์บางท่านได้ “อิงก๊าร” และก็ไม่มีศอฮาบะห์ท่านใดกระทำมัน และเช่นเดียวกับที่บรรดาปวงปราชญ์ได้ อิงก๊าร มัน”

#ไหนละ ที่บอกว่าไม่อิงก๊าร, ห้ามอิงก๊าร !!
แล้วอย่างนี้จะให้เรายอมรับว่าไม่อิงก๊ารได้อย่างไร ในเมื่อศอฮาบะห์ และบรรดาอุลามาอ์เขาได้อิงก๊ารกัน

ปัญหาก็คือ ท่านแยกออกไหมว่า การอิงก๊ารที่กล่าวมาข้างต้นนี้ คือการอิงก๊ารแบบไหน,ในกรณีใด หรือพอแยกแยะไม่เป็นก็ใช้คำพูดเหมารวมว่า “ห้ามอิงก๊าร” หรือสรุปเอาเองแบบผิดเพี้ยนว่า “ไม่ใช่การอิงก๊ารตามนัยยะของอุลามาอ์” อย่างนี้ไม่ใช่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงหรอกหรือ

หรือการที่ผู้รู้ของเราบางคนสร้างวาทะกรรมเท็จขึ้นมาว่า “ไม่ตรงกับตัวเองก็ด่าหมด-ด่ากัน” แล้วก็ตอบโต้ใส่ไคล้บนวาทกรรมเท็จที่ตนเองสร้างขึ้นมาหลอกชาวบ้าน หรือคำว่า อิงก๊าร ของเขาคือการด่ากัน !!
การด่ากันนั้นมันเป็นข้อห้ามตามพื้นฐานของศาสนาอยู่แล้ว ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
سِباب المسلم فسوقٌ، وقتاله كفرٌ
“การด่ามุสลิมนั้นเป็นความชั่ว และการสู้รบกับมุสลิมเป็นกุฟร์” ศอเฮียะห์บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 46
มีหรือที่ผู้รู้ของเราด่ากันให้เข้าใจศาสนา !!
หรือมันเป็นแค่คำลวง (ไม่ตรงกับตัวเองก็ด่าหมาด-ด่ากัน) ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
หรือมีชาวบ้านเขาชกต่อยกัน หรือทะเลาะกันด้วยความรุนแรงในเรื่องนี้
ชาวบ้านน่าสงสาร เพราะเขาคือคนไม่รู้ และไม่มีใครถือสาเอาโทษคนไม่รู้หรอก
แต่คนที่รู้หลักฐาน รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดแล้วปฏิเสธหลักฐาน,ปฏิเสธความถูกต้อง อย่างนี้จำเป็นต้องอิงก๊าร และอุลามาอ์เขาอิงก๊ารด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
#ส่วนการที่จะไม่อิงก๊ารใดๆเลยโดยอ้างว่า “ไม่มีการอิงก๊ารในปัญหาอิจติฮาด” ( لا انكار في مسائل الإجتهاد ) นั้น จะเอามาอ้างแบบเหวี่ยงแหไม่ได้ เพราะคำนี้ถูกอธิบายว่า หมายถึงปัญหา “อิจติฮาดียะห์” คือปัญหาที่ไม่มีหลักฐานมาระบุคือ
يجب الإنكار على من ترك الدليل لقول أحد من العلماء كائنا من كان ونصوص الأئمة على هذا وأنه لا يسوغ التقليد إلا في مسائل الاجتهاد التي لا دليل فيها يرجع إليه من كتاب ولا سنة فهذا هو الذي عناه بعض العلماء بقوله : لا إنكار في مسائل الإجتهاد وأما من خالف الكتاب والسنة فيجب الرد عليه كما قال ابن عباس والشافعي ومالك وأحمد
“จำเป็นต้องอิงก๊ารต่อผู้ที่ทิ้งหลักฐานแล้วไปยึดเอาคำพูดของคนหนึ่งคนใดจากบรรดาอุลามาอ์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และตัวบทของบรรดาปวงปราชญ์ในเรื่องนี้ เพราะไม่อนุญาตให้ตามแบบไม่รู้หลักฐาน นอกจากปัญหาต่างๆที่ต้องวินิจฉัย ซึ่งไม่มีหลักฐานบ่งชี้ในเรื่องนั้น ไม่ว่าจากอัลกุรอานหรือจากซุนนะห์ นี่แหละที่นักวิชาการบางท่านได้กล่าวถึงด้วยคำพูดที่ว่า ไม่มีการอิงก๊ารในปัญหาต่างๆที่ต้องวินิจฉัย ส่วนผู้ที่แย้งกับอัลกุรอานและซุนนะห์นั้น จำเป็นต้องตอบโต้เขา ดั่งที่ อิบนุ อับบาส, ชาฟีอี, มาลิก และ อะห์หมัด ได้กล่าวไว้” ฟัตฮุลมะญีด หน้าที่ 395
การไม่อิงก๊ารต่อปัญหาที่ไม่มีตัวบทมาระบุ ก็เป็นที่เข้าใจตรงกันในบรรดาอุลามาอ์ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีหลักฐานโดยตรงมาอ้างอิง อย่างเช่นจุดยืนของ ชัยค์ บิน บาซ ดังต่อไปนี้
ان من منهج ابن باز – رحمه الله – عدم الإنكار على المخالف في المسائل الاجتهادية، وهي التي لا نص فيها، لأن أمرها واسع، أما المسائل التي عليها أدلة واضحة من الكتاب والسنة والإجماع، فإنه يجب الإنكار فيها، ولا يجوز متابعة المخطئ فيها بحجة أن المسألة خلافية

“แท้จริง มันฮัจของ ชัยค์ บิน บาซ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮ์ นั้นคือ ไม่อิงก๊ารต่อคู่ขัดแย้งในปัญหาอิจติฮาดียะห์ คือปัญหาที่ไม่มีตัวบทมาระบุ เพราะเรื่องราวของมันเปิดกว้าง ส่วนปัญหาซึ่งมีตัวบทระบุอย่างชัดเจน จากอัลกุรอาน,ซุนนะห์ และอิจมาอ์ นั้น จำเป็นต้องอิงก๊ารในเรื่องดังกล่าว และไม่อนุญาตให้ติดตามผู้ที่ผิดพลาดด้วยการอ้างอิงหลักฐานต่อปัญหาคิลาฟียะห์”
อ่านต่อตอนต่อไป อินชาอัลลอฮ์



https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=954148764786471&id=100005740689770
เราได้ชี้แจงมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ปัญหาประเภท “อิจติฮาดียะห์” หรือปัญหาที่แต่ละฝ่ายต่างก็ไม่มีตัวบทโดยตรงมาระบุ ดังนั้นบรรดานักวิชาการจึงใช้ความอุตสาหะวิริยะของตนในการวินิจฉัย ซึ่งปัญหาประเภทนี้จะไม่มีการอิงก๊ารระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้วินิจฉัยหรือผู้ถือปฏิบัติก็ตาม
ขณะเดียวกันก็มีนักวิชาการบางท่านกล่าวว่า لا انكار في مسائل الخلاف (ไม่มีการปฏิเสธในปัญหาการขัดแย้ง) ซึ่งเป็นคำยืนยันว่าปัญหาประเภท “คิลาฟียะห์” ก็ห้ามอิงก๊ารเหมือนกับปัญหา”อิจติฮาดียะห์” ด้วย แต่ถ้อยคำนี้ถูกปฏิเสธจากบรรดานักวิชาการโดยส่วนใหญ่ เนื่องจากปัญหาคิลาฟียะห์นั้น มีการอิงก๊าร แต่จะอิงก๊ารด้วยวิธีใดก็ขึ้นอยู่กับสภาพและข้อเท็จจริงของแต่ละปัญหา ซึ่งชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ได้ชี้แจงว่า
"وقولهم مسائل الخلاف لا إنكار فيها ليس بصحيح ، فإن الإنكار إما أن يتوجه إلى القول بالحكم أو العمل.
أمّا الأول فإذا كان القول يخالف سنة أو إجماعاً قديماً وجب إنكاره وفاقاً. وإن لم يكن كذلك فإنه يُنكر بمعنى بيان ضعفه عند من يقول المصيب واحد وهم عامة السلف والفقهاء .
وأما العمل فإذا كان على خلاف سنة أو إجماع وجب إنكاره أيضاً بحسب درجات الإنكار.
أما إذا لم يكن في المسألة سنة ولا إجماع وللاجتهاد فيها مساغ لم ينكر على من عمل بها مجتهداً أو مقلداً
"بيان الدليل على بطلان التحليل" (ص 210-211)

“คำพูดของพวกเขาที่ว่า ปัญหาคิลาฟไม่มีการอิงก๊ารนั้นไม่ถูกต้อง เพราะการอิงก๊ารนั้นบางครั้งก็เป็นไปในด้านคำพูดที่ชี้ถึงฮุก่มหรือบางครั้งก็ในด้านการปฏิบัติ
ในประการแรก ถ้าหากคำพูดนั้นค้านกับซุนนะห์หรือการลงมติเอกฉันท์ดั่งเดิมก็จำเป็นต้องอิงก๊ารมัน ซึ่งเป็นไปตามทัศนะที่สอดคล้องกันของปวงปราญช์ แต่ถ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันก็จะถูกอิงก๊ารในความหมายของการชี้แจงข้อบกพร่อง ตามที่มีผู้กล่าวว่า ความถูกต้องนั้นมีหนึ่งเดียว พวกเขาคือชาวสะลัฟโดยทั่วไปและบรรดานักนิติศาสตร์อิสลาม
ส่วนในทางปฏิบัตินั้น หากมันค้านกับซุนนะห์หรืออิจมาอ์ก็จำเป็นต้องอิงก๊ารมันเช่นเดียวกัน ตามแต่ลำดับขั้นของการอิงก๊าร
แต่ถ้าปัญหานั้นไม่มีซุนนะห์หรืออิจมาอ์มาระบุ และการวินิจฉัยในเรื่องนั้นก็เป็นที่อนุญาต มันก็จะไม่ถูกอิงก๊ารต่อผู้ที่ถือปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นผู้วินิจฉัยเองหรือผู้ที่ปฏิบัติก็ตาม”

ท่านอิบนุตัยมียะห์ ยังชี้ต่อไปอีกว่า
" مسائل الاجتهاد من عمل فيها بقول بعض العلماء لم ينكر عليه ولم يهجر، ومن عمل بأحد القولين لم ينكر عليه " انتهى من "مجموع الفتاوى" (20/207)
“ปัญหาที่มีการอิจติฮาดนั้น ผู้ที่ยึดถือตามถ้อยคำของอุลามาอ์คนใดก็จะไม่ถูกอิงก๊าร และจะไม่ถูกโดดเดี่ยวและผู้ปฏิบัติตามทัศนะหนึ่งทัศนะใดก็จะไม่ถูกอิงก๊าร”
คำชี้แจงของอิบนุ ตัยมียะห์ข้างต้นนี้ทำให้เราได้ทราบว่า ปัญหาที่ไม่มีการอิงก๊ารนั้นคือปัญหาที่ไม่มีหลักฐานจากซุนนะห์หรืออิจมาอ์โดยตรงมาระบุ ซึ่งมันคือปัญหา “อิจติฮาดียะห์” ตามที่ได้อธิบายมาก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วนปัญหาที่มีหลักฐานมาระบุ หรือที่เรียกว่า “คิลาฟียะห์” นั้นต้องมีการอิงก๊าร แต่จะอิงก๊ารด้วยวิธีใดก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละปัญหา คือ
1 – ถ้าปัญหานั้นขัดแย้งกับตัวบทจากอัลกุรอาน,ฮะดีษ หรืออิจมาอ์ อย่างนี้จำเป็นต้องอิงก๊ารตามสภาพที่เป็นจริง
2 – หากปัญหานั้นไม่ค้านกับตัวบท อย่างนี้ก็จะถูกอิงก๊าร เช่นเดียวกัน แต่อยู่ในความหมายของการชี้แจงข้อบกพร่อง
ดังนั้น ปัญหาคิลาฟียะห์ จึงเป็นปัญหาที่ต้องมีการอิงก๊าร และคำพูดที่ว่า ปัญหาคิลาฟียะห์ ไม่มีการอิงก๊าร นั้นเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง เพราะปัญหาที่ไม่อิงก๊ารคือ ปัญหาประเภท “อิจติฮาดียะห์” ไม่ใช่ “คิลาฟียะห์”
เหตุที่บรรดาผู้คนเกิดความสับสนก็คือ เอาปัญหาทั้งสองประเภทนี้ไปปนกัน และชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ก็ชี้ให้เห็นถึงเหตุของปัญหานี้ว่า
وإنما دخل هذا اللبس من جهة أن القائل يعتقد أن مسائل الخلاف هي مسائل الاجتهاد، كما اعتقد ذلك طوائف من الناس
“ความสับสนที่เกิดขึ้นนี้ จากการที่มีผู้เข้าใจว่า ปัญหาคิลาฟ ก็คือ ปัญหาอิจติฮาด ดั่งที่มีคนหลายกลุ่มได้เชื่อเช่นนั้น”
والصواب الذي عليه الأئمة أن مسائل الاجتهاد ما لم يكن فيها دليل يجب العمل به وجوباً ظاهراً
“แต่ที่ถูกต้องตามที่บรรดาปวงปราชญ์ได้ยึดถือนั้นคือ ปัญหาอิจติฮาด คือปัญหาที่ไม่มีหลักฐานที่บ่งถึงความจำเป็นในการปฏิบัติอย่างชัดเจน “ อัลฟะตาวา อัลกุ๊บรอ ญุซที่ 6 หน้าที่ 96
ท่านได้ทราบมาก่อนแล้วว่าการกุนูตซุบฮิ เป็นปัญหาชนิด ตะฏอด (ขัดแย้ง) และเป็นปัญหาประเภท คิลาฟียะห์ ซึ่งมีการอิงก๊าร ของศอฮาบะห์และบรรดาอุลามาอ์ ดั่งที่ได้แสดงให้เห็นในตอนที่แล้ว ซึ่งการอิงก๊ารของศอฮาบะห์และบรรดาอุลามาอ์นั้น เป็นดั่งที่ท่านอิบนุตัยมียะห์ได้กล่าวไว้ คือ ในความหมายของการชี้แจงข้อบกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยการปฏิเสธว่า ไม่ใช่ซุนนะห์,เป็นบิดอะห์, ไม่ถูกบัญญัติ และชี้แจงข้อบกพร่องต่อหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่งว่า ไม่ถูกต้อง เป็นฮะดีษฏออีฟ อย่างนี้เป็นต้น
.
ในขณะที่ผู้รู้ของเราบางคนยังใช้คำพูดแบบเหมารวม และยืนกระต่ายขาเดียวว่า “ห้ามอิงก๊าร” หรือ “กุนูตซุบฮิเป็นคิลาฟก่อวีย์ห้ามอิงก๊าร” ดังนั้นเราจึงต้องทำความเข้าใจว่า อะไรคือคิลาฟก่อวีย์ที่ห้ามอิงก๊าร ดังนี้

คิลาฟียะห์คือปัญหาขัดแย้ง ซึ่งถูกจำแนกโดยพิจารณาว่า จะอนุญาตให้วินิจฉัยได้หรือไม่ ดังนี้
1 – ปัญหาขัดแย้งที่ไม่อนุญาตให้วินิจฉัย ( لا يسوغ الإجتهاد ) และต้องปฏิเสธ (อิงก๊าร) ต่อการคิลาฟชนิดนี้ เนื่องจากเป็นปัญหาที่ขัดแย้งกับหลักฐานอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นอัลกุรอาน,ฮะดีษ หรือ อิจมาอ์ ที่ระบุถึงฮุก่มของปัญหานั้นไว้ชัดเจนแล้ว ดังเช่นถ้อยคำของ ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ที่ได้แสดงไว้ข้างต้น
ลักษณะของปัญหาชนิดนี้ อยู่ในสองรูปแบบคือ ฏออีฟ และ ช๊าช ( ช๊าช : หมายถึงทัศนะที่แหวกแนวต่างไปจากปวงปราชญ์)
บรรดานักวิชาการได้เรียกชื่อการขัดแย้งที่ไม่อนุญาตให้วินิจฉัยนี้ หลายชื่อด้วยกันเช่น คิลาฟ : ฆ็อยรุมะอ์ตะบัร (ไม่รับพิจารณา) ฏออีฟ (อ่อน) มัรดู๊ด (ถูกปฏิเสธ) ฆ็อยรุซาอิฆ (ไม่อนุญาต) มัซมูม (ถูกตำหนิ) อย่างนี้เป็นต้น
2 – ปัญหาขัดแย้งที่อนุญาตให้วินิจฉัย ( يسوغ الإجتهاد ) คือคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายต่างมีหลักฐานยืนยันทัศนะของตนเอง หรือบางครั้งคู่กรณีมีหลักฐานเดียวกันแต่ความเข้าใจในหลักฐานต่างกัน ดังนั้นปัญหาชนิดนี้จึงไม่ถูกอิงก๊าร คือรับเป็นปัญหาที่อนุญาตให้วินิจฉัย
บรรดานักวิชาการได้เรียกชื่อการขัดแย้งชนิดนี้หลายชื่อด้วยกันเช่น คิลาฟ : มัวอ์ตะบัร (รับพิจารณา) ก่อวีย์ (แข็งแรง) มั๊กบูล (ถูกยอมรับ) ซาอิฆ (อนุญาต) มัมดัวฮ์ (ถูกยกย่อง) อย่างนี้เป็นต้น
คำที่ถูกนำมาใช้บ่อยครั้งในกรณีนี้ก็คือ คิลาฟมัวอ์ตะบัร, คิลาฟก่อวีย์, คิลาฟซาอิฆ แต่ไม่ว่าจะเรียกด้วยชื่อใดก็ตาม การขัดแย้งในหมวดนี้จะไม่ถูกอิงก๊าร หมายถึงไม่ถูกปฏิเสธการวินิจฉัย คือ ไม่ปฏิเสธ,คัดค้าน,ยับยั้ง ต่อต้าน, ห้ามวินิจฉัย หรือที่กล่าวกันว่า “ไม่มีการอิงก๊ารในคิลาฟก่อวีย์” หรือ “คิลาฟก่อวีย์ห้ามอิงก๊าร” เนื่องจากการคิลาฟชนิดนี้อนุญาตให้วินิจฉัย นั่นเอง
แต่บางคนก็หยิบเอาคำว่า “คิลาฟก่อวีย์ห้ามอิงก๊าร” ไปใช้แบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แล้วก็เกิดการย้อนแย้งในตัวเองในการอ่านตำราเมื่อพบว่า ศอฮาบะห์และบรรดาอุลามาอ์เขาอิงก๊ารกัน นี่เป็นเพราะ เราเอาถ้อยคำที่อุลามาอ์เขาใช้ในการจำแนกชนิดปัญหาว่าจะอนุญาตให้วินิจฉัยหรือไม่ คือถ้าอนุญาตให้วินิจฉัยก็ไม่อิงก๊าร และถ้าไม่อนุญาตให้วินิจฉัยก็ต้องอิงก๊าร แต่เรากลับเอาคำนี้ไปใช้ในการวางฮุก่มของปัญหา
และบางคนก็เข้าใจผิดจากการนำเอาภาษาที่ใช้เรียกการขัดแย้งชนิดนี้ว่า “คิลาฟก่อวีย์” โดยเข้าใจไปว่า คือ “ปัญหาที่มีหลักฐานแข็งทั้งสองฝ่าย” แต่ที่จริงแล้วคำนี้ถูกใช้เรียกเพื่อจำแนกชนิดปัญหาที่ตรงข้ามกันคือ ฏออีฟ หรือ ก่อวีย์ (อนุญาตให้วินิจฉัยหรือไม่อนุญาตให้วินิจฉัย) แต่เรากลับไปเข้าใจผิดว่า เป็นการรับรองหลักฐานของทั้งสองฝ่ายว่าแข็งทั้งคู่
อย่างไรก็ตาม ในปัญหาใดๆ ที่แม้ว่าจะถูกยอมรับและอนุญาตให้ทำการวินิจฉัยแล้วก็ตาม แต่เมื่อทราบภายหลังว่า ปัญหานั้นมีตัวบทหลักฐานยืนยันชัดเจนแล้ว หรือมีหลักฐานที่ระบุฮุก่มไว้ตายตัวแล้ว ปัญหานั้นก็จะถูกปัดออกไปจากหมวดหมู่ของการ พิจารณาทันที เนื่องจากไม่อนุญาตให้วินิจฉัยในปัญหาที่มีตัวบทยืนยันอยู่แล้ว เพราะในหลักของฟิกฮ์นั้น มีกฎเกณฑ์กำกับไว้ว่า لا اجتهاد مع النص หรือ لا مساغ للإجتهاد في مورد النص คือ ”ไม่อนุญาติให้ทำการวินิจฉัยในขณะที่เรื่องนั้นมีตัวบทหลักฐานชัดเจนอยู่แล้ว”
.

ตอนต่อไปจะได้กล่าวถึงการพิจารณาคิลาฟก่อวีย์ อินชาอัลลอฮ์



https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=954832641384750&id=100005740689770
ท่านชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ได้เตือนให้ระวังในการนำเอาปัญหา อิจติฮาดียะห์ กับ ปัญหาคิลาฟียะห์ ไปปนกัน เพราะความสับสนที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการที่ไม่รู้จักจำแนกและแยกแยะปัญหาทั้งสองประเภทนี้ ดังที่นำเสนอไว้ในตอนที่แล้ว
และไม่ใช่แค่เพียงท่าน อิบนุ ตัยมียะห์ เท่านั้นที่เตือนให้ระวังในเรื่องนี้ แต่อุลามท่านอื่นๆ ก็เน้นย้ำในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
من الفروق الأساسية في الحكم بين المسائل الإجتهادية والمسائل الخلافية أن المسائل الإجتهادية لا إنكار فيها باليد ولا باللسان بإقذاع وتثريب وليس لأحد أن يلزم الناس باتباعه فيها، ولكن يُتكلم فيها بالحجج العلمية فمن تبين له صحة أحد القولين تبعه ، من قلد أهل القول الآخر فلا إنكار عليه بخلاف المسائل الخلافية أخرى
“ส่วนหนึ่งจากความแตกต่างที่เป็นพื้นฐานในการตัดสินระหว่างปัญหาอิจติฮาดียะห์ และปัญหาคิลาฟียะห์ ก็คือ ปัญหาอิจติฮาดียะห์นั้น จะไม่มีการอิงก๊ารใดๆต่อปัญหาเหล่านั้น ไม่ว่าด้วยกับมือ และไม่อิงก๊ารด้วยคำพูด โดยการตำหนิด่าทอ และไม่ใช่สิทธิของคนหนึ่งคนใดที่จะไปบังคับคนอื่นให้มาปฏิบัติตามเขาในปัญหานั้น แต่ทว่าเขาจะพูดคุยกันในปัญหานั้นด้วยกับหลักฐานต่างๆทางวิชาการ ดังนั้นใครก็ตามที่ความถูกต้องของหนึ่งในสองทัศนะเป็นที่ชัดเจนสำหรับเขา เขาก็ปฏิบัติตามนั้น แต่ใครที่ยึดตามอีกทัศนะหนึ่ง ก็จะไม่มีการอิงก๊ารใดๆ ต่อเขา ซึ่งแตกต่างกับปัญหาคิลาฟียะห์”หนังสือ “ลาอิงการ ฟีมะซาอิลิ้ลอิจติฮาด” หน้าที่ 151
จะเห็นได้ว่า บรรดาอุลามาอ์ต่างก็พยายามให้เราได้ทราบถึงการจำแนก และทราบถึงความแตกต่างระหว่างปัญหาทั้งสองประเภทนี้ ไม่เช่นนั้นก็จะเอาคำฟัตวาของอุลามาอ์ต่อปัญหาหนึ่งมาอ้างอิงทับซ้อนกับอีกปัญหาหนึ่ง
#อีกประการหนึ่งก็คือ เราได้ย้ำเตือนหลายครั้งมาตั้งแต่ในช่วงแรกๆว่า ให้ระวังและสังเกต คำศัพท์ที่ถูกใช้ทับซ้อนกันอยู่ในเรื่องนี้ เพราะนอกจากปัญหาที่ไม่มีตัวบทมาระบุจะถูกเรียกว่าปัญหา “อิจติฮาดียะห์” แล้ว ปัญหาคิลาฟียะห์ ที่อนุญาตให้ทำการอิจติฮาดได้ ก็เรียกว่าปัญหาอิจติฮาด ด้วยเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ที่กล่าวว่า
كَمَا تَنَازَعَ الْمُسْلِمُونَ أَيُّمَا أَفْضَلُ التَّرْجِيعُ فِي الْأَذَانِ أَوْ تَرْكُهُ ، وَإِفْرَادُ الْإِقَامَةِ أَوْ 
إثْنَاؤُهَا وَصَلَاةُ الْفَجْرِ بِغَلَسٍ أَوْ الْإِسْفَارُ بِهَا ، وَالْقُنُوتُ فِي الْفَجْرِ أَوْ تَرْكُهُ ، وَالْجَهْرُ بِالتَّسْمِيَةِ أَوْ الْمُخَافَتَةُ بِهَا ، أَوْ تَرْكُ قِرَاءَتِهَا ، وَنَحْوُ ذَلِكَ ، فَهَذِهِ مَسَائِلُ الِاجْتِهَادِ الَّتِي تَنَازَعَ فِيهَا السَّلَفُ وَالْأَئِمَّةُ ، فَكُلٌّ مِنْهُمْ أَقَرَّ الْآخَرَ عَلَى اجْتِهَادِهِ مَنْ كَانَ فِيهَا أَصَابَ الْحَقَّ فَلَهُ أَجْرَانِ ، وَمَنْ كَانَ قَدْ اجْتَهَدَ فَأَخْطَأَ فَلَهُ أَجْرٌ ، وَخَطَؤُهُ مَغْفُورٌ لَهُ ، فَمَنْ تَرَجَّحَ عِنْدَهُ تَقْلِيدُ الشَّافِعِيِّ لَمْ يُنْكِرْ عَلَى مَنْ تَرَجَّحَ عِنْدَهُ تَقْلِيدُ مَالِكٍ ، وَمَنْ تَرَجَّحَ عِنْدَهُ تَقْلِيدُ أَحْمَدَ لَمْ يُنْكِرْ عَلَى مَنْ تَرَجَّحَ عِنْدَهُ تَقْلِيدُ الشَّافِعِيِّ ، وَنَحْوُ ذَلِكَ

“ดังที่บรรดามุสลิมได้ขัดแย้งกันว่า สิ่งใดประเสริฐกว่ากันระหว่างการตัรญีอฺในการอะซาน(การกล่าวชะฮาดะห์ทั้งสองด้วยเสียงที่เบาระดับที่คนอยู่ใกล้ๆได้ยิน หลังจากนั้นก็กล่าวด้วยกับเสียงที่ดัง) กับการละทิ้งมัน หรือ สิ่งใดประเสริฐกว่ากันระหว่าง การกล่าวคำอิกอมะห์ครั้งเดียวหรือสองครั้ง และการละหมาดซุบฮิในช่วงเช้ามืดกับช่วงที่ใกล้สว่าง #การกุนูตในละหมาดซุบฮิหรือการละทิ้งมัน และ การอ่านบิสมิ้ลลาห์เสียงดังหรืออ่านค่อยๆ หรือว่า ทิ้งการอ่านไปเลย และประเด็นที่คล้ายคลึงกันนี้
#ดังนั้นแล้วประเด็นต่างๆเหล่านี้คือประเด็นอิจติฮาด ซึ่ง ชาวสลัฟ และบรรดาอีหม่ามทั้งหลายได้มีข้อขัดแย้งกัน แล้วทุกๆคนในหหมู่พวกเขา(ชาวสลัฟและบรรดาอิหม่าม) ต่างยอมรับการอิจติฮาดซึ่งกันและกัน 
ใครที่ถูกต้องในประเด็นเหล่านั้น เขาก็จะได้รับสองผลบุญ และใครก็ตามที่วินิจฉัยแล้วผิดพลาดเขาก็จะได้รับหนึ่งความดี และความผิดของเขาจะได้รับการให้อภัย ดังนั้นใครก็ตามที่การยึดตามอีหม่ามชาฟีอีย์มีน้ำหนักสำหรับเขา เขาก็จะต้องไม่ไปอิงการ(คัดค้าน แบบเอาเป็นเอาตาย) กับคนที่การยึดตามอีหม่ามมาลิกมีน้ำหนักสำหรับเขา และใครก็ตามที่การยึดตามอีหม่ามอะฮฺหมัดมีน้ำหนักสำหรับเขา ก็จะต้องไม่ไปอิงการกับคนที่การยึดตามอีหม่ามชาฟีอีย์มีน้ำหนักสำหรับเขา และสิ่งที่คล้ายกันนี้”
“มัจมูอฺ อัลฟาตาวาอฺ” เล่ม 20 หน้าที่ 292-293

จะเห็นได้ว่าถ้อยความของ อิบนุ ตัยมียะห์ ข้างต้นนี้มีคำว่า فَهَذِهِ مَسَائِلُ الِاجْتِهَادِ แปลว่า “นี่คือปัญหาอิจติฮาด”
ถามว่า ถ้อยคำที่อิบนุตัยมียะห์สื่อนั้น หมายถึงการกุนูตเป็นปัญหา “อิจติฮาดียะห์”หรือปัญหาที่ไม่มีหลักฐานมาระบุ อย่างนั้นหรือ
คำตอบคือ มิใช่เช่นนั้น แต่เขาหมายถึง ปัญหาคิลาฟียะห์ที่อนุญาตให้ทำการอิจติฮาดได้ ตัวอย่างเช่น
فمسألة القنوت في صلاة الفجر من مسائل الخلاف التي يسوغ فيها الاجتهاد
“ฉะนั้น การกุนูตในละหมาดซุบฮิ เป็นหนึ่งในปัญหาคิลาฟที่อนุญาตให้ทำการอิจติฮาด”
(หมายเหตุ : ลิงค์ที่แนบมาให้นี้ไม่ต้องเอาไปดราม่าอีกนะว่า เอามาไม่หมดหรือแปลไม่ครบ เพราะเรานำเอามาอ้างอิงเฉพาะประเด็นที่กล่าวถึงเท่านั้น)
هناك مسائل الخلاف فيها مقبولٌ اجتهاديٌّ: كالقنوت في صلاة الفجر كُلِّ يومٍ
“มีปัญหาการขัดแย้งที่ถูกยอมรับให้ทำการอิจติฮาดได้ เช่น การกุนูตในละหมาดซุบฮิทุกวัน”
ด้วยเหตุนี้เราจึงเตือนให้ระวัง และให้สังเกตให้ดี มิเช่นนั้นแล้วก็จะเกิดความเข้าใจที่ไขว่กัน ระหว่างปัญหาอิจติฮาดียะห์ และปัญหาคิลาฟียะห์ที่อนุญาตให้อิจติฮาด และเราก็เห็นว่า มีความสับสนในการนำเอาคำฟัตวาของอุลามาอ์ที่พูดเรื่องหนึ่งมาใช้อ้างอิงอีกเรื่องหนึ่ง นั่นเป็นเพราะความไม่เข้าใจและไม่รู้จักแยกแยะนั่นเอง
เราจะจำแนกให้เห็นความแตกต่างของปัญหาทั้งสองประเภทดังนี้
1 – ปัญหาอิจติฮาดียะห์ หรือปัญหาที่ไม่มีหลักฐานระบุนั้น ห้ามอิงก๊าร
2 – ปัญหาคิลาฟียะห์ หรือปัญหาที่มีตัวบทระบุ นั้นมีการอิงก๊าร จำแนกเป็นสองชนิดคือ
2.1 ปัญหาที่ขัดแย้งกับ อัลกุรอาน ฮะดีษ หรืออิจมาอ์ (คิลาฟฏออีฟ หรือ ช๊าช) จำเป็นต้องอิงก๊าร
2.2 ปัญหาคิลาฟที่ไม่ขัดแย้งกับอัลกุรอาน ฮะดีษ หรือ อิจมาอ์ และอนุญาตให้อิจติฮาดนั้น จะถูกอิงก๊ารในความหมายของการชี้แจงข้อบกพร่อง
ที่กล่าวแล้วนี้คือการจำแนกประเภทปัญหา โดยที่ยังไม่ได้กล่าวถึง หลักฐานของปัญหา ผลของการวินิจฉัยปัญหา,ผู้วินิจฉัยปัญหา, ผู้ที่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัย ทั้งผู้ที่รู้หลักฐาน และผู้ไม่รู้หลักฐานว่า อุลามาอ์มีจุดยืนต่อกรณีต่างๆ นี้อย่างไร ซึ่งจะได้นำมากล่าวต่อไปเป็นลำดับ อินชาอัลลอฮ์
อีกประการหนึ่งคือ เมื่อเรานำเอาคำของอุลามาอ์มายืนยันว่า
يجب الإنكار على من ترك الدليل لقول أحد من العلماء كائنا من كان ونصوص الأئمة على هذا وأنه لا يسوغ التقليد إلا في مسائل الاجتهاد التي لا دليل فيها يرجع إليه من كتاب ولا سنة فهذا هو الذي عناه بعض العلماء بقوله : لا إنكار في مسائل الإجتهاد وأما من خالف الكتاب والسنة فيجب الرد عليه كما قال ابن عباس والشافعي ومالك وأحمد
“จำเป็นต้องอิงก๊ารต่อผู้ที่ทิ้งหลักฐานแล้วไปยึดเอาคำพูดของคนหนึ่งคนใดจากบรรดาอุลามาอ์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และตัวบทของบรรดาปวงปราชญ์ในเรื่องนี้ เพราะไม่อนุญาตให้ตามแบบไม่รู้หลักฐาน นอกจากปัญหาต่างๆที่ต้องวินิจฉัย ซึ่งไม่มีหลักฐานบ่งชี้ในเรื่องนั้น ไม่ว่าจากอัลกุรอานหรือจากซุนนะห์ นี่แหละที่นักวิชาการบางท่านได้กล่าวถึงด้วยคำพูดที่ว่า ไม่มีการอิงก๊ารในปัญหาต่างๆที่ต้องวินิจฉัย ส่วนผู้ที่แย้งกับอัลกุรอานและซุนนะห์นั้น จำเป็นต้องตอบโต้เขา ดั่งที่ อิบนุ อับบาส, ชาฟีอี, มาลิก และ อะห์หมัด ได้กล่าวไว้” ฟัตฮุลมะญีด หน้าที่ 395
แต่ผู้โต้แย้งก็นำเอาคำของอุลามาอ์มาคัดค้านว่า
معلوم أن مسائل الاجتهاد هي المسائل التي تستنبط من النصوص، وليس فيها نصوص بعينها، أما إذا جاء الدليل فلا اجتهاد فيه، فإذا دل الدليل على مسألة بعينها فلا يجوز الاجتهاد في ذلك، وإنما يجب أن يؤخذ بالدليل، فإن خالف الإنسان ذلك عامداً فهو في الواقع عاص، وإن لم يبلغه الدليل فله عذره حتى يبلغه الدليل
“เป็นที่รู้กันว่าประเด็นอิจติฮาดนั้น คือ ประเด็นที่ถูกนำออกมาจากตัวบทหลักฐาน โดยที่มันไม่มีได้มีตัวบทตรงๆในประเด็นนั้นๆ ส่วนถ้าหากมีหลักฐานมา ก็จะไม่มีการอิจติฮาด(การวินิจฉัย)ใดๆทั้งสิ้น แล้วเมื่อหลักฐานมันได้บ่งชี้ถึงประเด็นๆหนึ่งโดยตรง ก็ไม่อนุญาติให้ทำการอิจติฮาดในเรื่องดังกล่าว แต่จำเป็นที่จะต้องยึดหลักฐาน ดังนั้นถ้าหากว่าคนใดที่ขัดแย้งกับสิ่งดังกล่าวอย่างจงใจ ในความเป็นจริงแล้วเขาเป็นผู้ที่ฝ่าฝืน และถ้าหากว่าหลักฐานไปไม่ถึงเขา เขาก็จะได้รับข้อผ่อนผันจนกว่าหลักฐานไปถึงเขา”

เราก็ไม่เข้าใจว่า เขานำเอาข้อความนี้มาโต้แย้งทำไม ในเมื่อข้อความทั้งสองต่างยืนยันซึ่งกันและกันว่า ปัญหาที่อนุญาตให้อิจติฮาดนั้นคือปัญหาที่ไม่มีตัวบทระบุ แต่ถ้าเรื่องนั้นมีหลักฐานตรงตัวมาระบุชัดก็ไม่อนุญาตให้อิจติฮาด (คิลาฟฏออีฟ) เพราะทุกคนจำเป็นต้องยึดถือหลักฐาน
.
หรือเขาไม่เข้าใจการอ้างอิงหลักฐาน และการพิจารณาหลักฐานในปัญหาคิลาฟียะห์ที่อนุญาตให้ทำการอิจติฮาดได้ ซึ่งเราจะชี้แจงให้เห็นดังนี้
.

การพิจารณาหลักฐานปัญหาคิลาฟียะห์ที่อนุญาตให้อิจติฮาด หรือที่เรียกว่า คิลาฟ : มัวอ์ตะบัร,ก่อวีย์,หรือ ซาอิ๊ฆ นั้นอยู่บนพื้นฐานสองประการดังต่อไปนี้คือ
1 – ศอเฮียะห์ ( صحيح ) คือตัวบทที่ใช้อ้างอิงนั้นมีความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางวิชาการหรือไม่
2 – ศอเรียะห์ ( صريح ) คือมีความชัดเจนตรงตามประเด็นที่ขัดแย้งในการนำมาอ้างเป็นหลักฐานหรือไม่
การอ้างอิงหลักฐานของปัญหากุนูตซุบฮิ นั้น ปรากฏว่าการนำเสนอหลักฐานของทั้งสองฝ่ายมีความ ศอเรียะห์ ( صريح ) คือ เป็นหลักฐานที่ระบุชัดเจนถึงเรื่องและประเด็นของความขัดแย้ง โดยฝ่ายที่กล่าวว่ากุนูตซุบฮิเป็นบิดอะห์ ก็อ้างหลักฐานฮะดีษของท่าน ฏอริก บิน อัชยัม อัลอัชญะอีย์ ซึ่งเป็นตัวบทที่ระบุถึงเรื่องการกุนูตซุบฮิโดยตรงคือ
إنك صليت خلف رسول الله صلى الله عليه وسلم وخلف أبي بكر وعمر وعثمان وعلي أفكانوا يقنتون في الفجر؟ فقال: أي بني محدث
“แท้จริงท่านได้ละหมาดตามหลังรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม,อบูบักร์,อุมัร,อุสมาน และอาลี พวกเขาได้ทำการกุนูตในละหมาดซุบฮิหรือไม่ เขาตอบว่า โอ้ลูกเอ๋ยมันเป็นสิ่งใหม่ในศาสนา”
ส่วนฝ่ายที่กล่าวว่า กุนูตซุบฮิเป็นซุนนะห์ ก็อ้างฮะดีษที่อบู ญะอ์ฟัร อัรรอซีย์ รายงานอ้างถึงคำพูดของท่านอะนัส บินมาลิกที่ระบุถึงการกุนูตซุบฮิว่า
فاما في الصبح لم يزل يقنت حتى فارق الدنيا
“ส่วนการกุนูตซุบฮินั้น ท่านนบียังคงกุนูตจนกระทั่งตายจากดุนยา”
ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวว่า หลักฐานของทั้งฝ่ายนั้น ศอเรียะห์ ( صريح ) คือมีความชัดเจน ตรงเรื่อง ตรงประเด็น ในการใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานทั้งคู่
ปัญหาต่อมาก็คือ หลักฐานของทั้งสองฝ่ายนี้ศอเฮียะห์ (صحيح ) หรือไม่ นี่แหละ คือประเด็นปัญหาของความขัดแย้ง เพราะจากการตรวจสอบของบรรดานักวิชาการพบว่า หลักฐานของฝ่ายหนึ่งศอเฮียะห์ และหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่งฏออีฟ จึงเป็นประเด็นของการ อิงก๊าร หลักฐานของกันและกัน
แล้วอย่างไรเล่าที่มีผู้กล่าวว่า คิลาฟก่อวีย์ ห้ามอิงการ
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนิ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
أَنَّ مِنْ تَأَمَّلَ الْأَحَادِيثَ عَلِمَ عِلْمًا يَقِينًا أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَمْ يُدَاوِمْ عَلَى الْقُنُوتِ فِي شَيْءٍ مِنْ الصَّلَوَاتِ لَا الْفَجْرِ وَلَا غَيْرِهَا ; وَلِهَذَا لَمْ يَنْقُلْ هَذَا أَحَدٌ مِنْ الصَّحَابَةِ ; بَلْ أَنْكَرُوهُ
“จากการพิจารณาฮะดีษต่างๆแล้วก็รู้ได้อย่างมั่นใจว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมนั้น ไม่เคยทำกุนูตเป็นประจำในการละหมาดแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นละหมาดซุบฮิหรือละหมาดอื่นๆ ทั้งนี้เพราะไม่มีศอฮาบะห์คนใดถ่ายทอดเรื่องนี้มา แต่พวกเขากลับอิงก๊ารมัน” มัจมัวอ์ อัลฟะตาวา 21/154
เป็นจริงอย่างที่ท่านอิบนุ ตัยมียะห์ ได้กล่าวไว้ เนื่องจากในแวดวงการพิจารณาหลักฐานของนักฮะดีษนั้น หากหลักฐานทั้งสองอยู่ในระดับเดียวกันและมีสถานะศอเฮียะห์เท่ากัน ก็จะต้องนำหลักฐานนั้นเข้าสู่กระบวนการประสานฮะดีษทั้งสองเข้าด้วยกันก่อนเป็นอันดับแรก
และหากประสานฮะดีษทั้งสองเข้าด้วยกันไม่ได้ ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการยกเลิกข้อบัญญัติ (นาซิค-มันซูค) คือการสืบค้นภูมิหลังของฮะดีษว่า อันไหนมาก่อนมาหลัง และให้ยึดถือฮะดีษที่มาล่าสุดเป็นบัญญัติ
แต่เราก็ไม่พบแนวทางทั้งสองเกิดขึ้นในแวดวงของอุลามาอ์ฮะดีษ เนื่องจากหลักฐานของทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน เนื่องจากบทหนึ่งเป็นศอเฮียะห์ และบทหนึ่งเป็นฏออีฟ นั่นเอง
.

#เมื่อเราเรียบเรียงปัญหากุนูตซุบฮิตั้งแต่เริ่มแรกก็ทราบว่า เป็นปัญหาชนิดขัดแย้ง (ตะฏอด) อยู่ในประเภทปัญหาคิลาฟียะห์ที่อนุญาตให้อิจติฮาด (คิลาฟียะห์ อิจติฮาดียะห์) การอ้างหลักฐานของปัญหานั้นชัดเจนตรงเรื่องตรงประเด็น (ศอเรียะห์) แต่ขัดแย้งกันในความถูกต้องของหลักฐานว่าศอเฮียะห์หรือไม่
ดังนั้นการที่ผู้รู้บางคนนำเอาปัญหาอื่นๆ มาเปรียบเทียบกับปัญหากุนูตซุบฮิ จึงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า เป็นปัญหา ชนิดเดียวกัน,ประเภทเดียวกัน, การอ้างอิงหลักฐานของปัญหาเหมือนกันหรือไม่
และเราได้เห็นปัญหาที่ต่างกันหลากหลายถูกนำมาเปรียบเทียบกับการกุนูตซุบฮิ เช่นปัญหา ปิดหน้าหรือเปิดหน้าสตรี, การนุ่งผ้าสั้นหรือยาวเลยตาตุ่มโดยไม่โอ้อวด, การชี้หรือกระดิกนิ้วในการอ่านอัตตะฮิยา, การกอดอกหรือปล่อยมือเมื่อเงยจากรุกัวอ์, การนิกะห์หญิงท้องกับคู่ซินาของตนเอง,อ่านบิสมิ้ลลาฮ์ในละหมาดเสียงดังหรือค่อย อย่างนี้เป็นต้น
เราหวังว่าพวกเขาจะไตร่ตรองรายละเอียดของปัญหาเหล่านี้ให้รอบคอบก่อน ที่จะนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องกุนูตในละหมาดซุบฮิ
อ่านต่อตอนต่อไป อินชาอัลลอฮ์



https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=956302411237773&id=100005740689770

เราได้คุยกันมาเป็นลำดับ ตั้งแต่การพิจารณาชนิดของปัญหา,ประเภทปัญหา, หลักฐานและการอ้างอิงหลักฐานของปัญหา การอิงก๊ารและไม่อิงก๊ารต่อปัญหาในแต่ละขั้นตอน คงจะพอทำให้ท่านผู้อ่านได้รับความกระจ่างได้บ้าง แต่เราก็ยังจะต้องคุยต่อไปอีก ดังนี้
คืออุลามาอ์มุจตะฮิด ที่ใช้ความอุตสาหะวิริรยะของพวกเขาในการวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ดังนั้นเราจึงต้องขอดุอาอ์ให้พวกเขา และไม่ว่าผลของการวินิจฉัยจะออกมาเป็นอย่างไร ตัวของผู้วินิจฉัยก็ได้รับสิทธิ์คุ้มครอง คือไม่สามารถที่จะกล่าวตำหนิ, ติติง,ว่าร้ายต่อพวกเขาได้ เนื่องจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
إِذَا حَكَمَ الحَاكِمُ فَاجْتَهَدُ فَأَصَابَ فَلَهُ أَجْرَانِ، وَإِذَا حَكَمَ فَاجْتَهَدَ فَأَخْطَأَ فَلَهُ أَجْرٌ
“เมื่อผู้พิพากษาได้ตัดสินโดยทำการวินิจฉัยแล้วมีความถูกต้อง เขาได้รางวัลสองเท่า แต่เมื่อเขาตัดสินโดยทำการวินิจฉัยแล้วผิดพลาดเขาได้ผลบุญหนึ่งเท่า” ศอเฮียะห์บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 6805
แต่การที่ไม่ อิงก๊าร หรือไม่ตำหนิผู้วินิจฉัยนั้น ไม่ใช่เป็นการรับรองว่า ผู้วินิจฉัยมีความถูกต้องทุกคนในการวินิจฉัยนั้น เพราะความถูกต้องมีเพียงหนึ่งเดียว ดั่งที่ท่านอิหม่ามนะวาวี ได้กล่าวว่า
والأصحُّ عند الشافعيِّ وأصحابِه أن المصيبَ واحدٌ
“ที่ถูกต้อง ณ.ชาฟีอีและสหายของเขาว่า แท้จริงผู้ที่ถูกต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น” อธิบายศอเฮียะห์มุสลิม ญุซอ์ที่ 12 หน้าที่ 14
และเราก็จะไม่กล่าวว่า มุจตะฮิดคนหนึ่งคนใดเป็นผู้กระทำบิดอะห์ เหมือนดั่งที่ เชคบินบาซ ได้ฟัตวาว่า กุนูตซุบฮิ เป็นบิดอะห์ แต่เมื่อท่านถูกถามว่า ถ้าเช่นนั้นเป็นการให้ข้อหาอิหม่ามชาฟีอีว่า เป็นผู้ทำบิดอะห์หรือเปล่า ? ท่านตอบว่า
أخونا يقول: إذا أنكرنا مثل ذلك يتهموننا بأننا نبدع الشافعي ماذا نقول لهم؟
الشيخ: يعلمون أن هذا ليس تبديعاً للشافعي ولكن من باب تحري الأرجح من الأقوال، من باب تحري الأرجح لأن من قال: إنه بدعة احتج بحديث طارق بن أشيم الأشجعي ومن زعم أنه سنة ومستحب احتج بأحاديث أخرى فيها ضعف والأخذ بالشيء الثابت في الصحيح أولى وأحق عند أهل العلم مع عدم التشنيع على من قنت فإن هذه المسألة مسألة خفيفة لا ينبغي فيها التشنيع والنزاع وإنما يتحرى فيها الإنسان ما هو الأفضل والأقرب إلى السنة
https://binbaz.org.sa/…/%D8%AD%D9%83%D9%85-%D8%A7%D9%84%D9%…

มีพี่น้องของเรากล่าวว่า : เมื่อเราได้ อิงก๊าร ในทำนองนี้ พวกเขาก็กล่าวหาเราว่า เราให้ข้อหาอิหม่ามชาฟีอีว่าเป็นผู้ที่ทำบิดอะห์ แล้วเราจะตอบกับพวกเขาอย่างไร ?
เชคบินบาซ ตอบว่า : พวกเขาก็รู้ว่านี่เป็นใช่เป็นการให้ข้อหาว่าเป็นผู้ทำบิดอะห์แก่อิหม่ามชาฟีอี ทว่ามันอยู่ในบทที่ว่าด้วยเรื่องของการพิจารณาทัศนะต่างๆว่าอันไหนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือที่สุดเพราะผู้ที่กล่าวว่ามันเป็นบิดอะห์นั้นก็อ้างหลักฐานฮะดีษของ ตอริก บิน อัชยัม อัลอัชญะอีย์ และผู้ที่อ้างว่ามันเป็นซุนนะห์ และผู้ที่อ้างว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรทำก็อ้างหลักฐานฮะดีษในบทอื่น แต่มันเป็นฏออีฟ และการยึดสิ่งที่แน่ชัดในความถูกต้องนั้นดีกว่าและสมควรกว่าในทัศนะของนักวิชาการ และจะต้องไม่กล่าวหาผู้ที่ทำการกุนูต เพราะปัญหานี้มันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน จึงไม่สมควรที่จะกล่าวหาและขัดแย้งกัน แต่ผู้คนจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในเรื่องนี้ว่า อะไรที่มันดีเลิศและใกล้เคียงกับซุนนะห์มากที่สุด”
คำตอบของเชค บินบาซ ข้างต้นนี้ ชี้ให้เห็นว่า การ อิงก๊าร ทัศนะหนึ่งว่าไม่ถูกต้องด้วยคำว่า บิดอะห์ นั้นคือแง่มุมของการวิเคราะห์หลักฐาน และชี้แจงถูกผิดของหลักฐานที่ต่างฝ่ายต่างนำเสนอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้อง อิงก๊าร ต่อผู้วินิจฉัยด้วยข้อหาว่าทำบิดอะห์ อย่างนี้แหละที่บรรดานักวิชาการเขาจำแนก ระหว่างการอิงก๊าร เรื่องที่วินิจฉัยกับ กับผู้วินิจฉัยออกจากกัน
ก่อนที่จะคุยถึงเรื่องผู้ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยนั้น ขอทำความเข้าใจศัพท์ภาษาก่อนสักเล็กน้อยคือ คำว่า “ตั๊กลีด” ( تقليد ) และคำว่า “อิตติบาอ์” ( اتباع ) สองคำนี้ถูกใช้และสื่อความหมายต่างกันคือ
คำว่า ตั๊กลีด หมายถึงการปฏิบัติตามโดยไม่รู้หลักฐาน หรือไม่เข้าใจการอ้างอิงตัวบทหลักฐานของแต่ละฝ่าย ซึ่งการตั๊กลีดโดยไม่รู้หลักฐานนี้เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ในแวดวงของอุลามาอ์ เนื่องจากบรรดาปวงปราชญ์ต่างสนับสนุนให้เรียนรู้และยึดถือศาสนาด้วยตัวบทหลักฐาน
ส่วนคำว่า “อิตติบาอ์” หมายถึงการตามแบบรู้ที่มาที่ไป หรือตามแบบรู้หลักฐาน เป้าหมายของคำว่า อิตาบาอ์นี้คือการตามหลักฐาน ไม่ใช่การตามทัศนะของผู้ใด
หากถามว่าทำไมต้องแยกคำทั้งสองนี้ออกจากกันด้วย คำตอบคือบรรดาอุลามาอ์ได้จำแนกระหว่างผู้ที่รู้กับคนไม่รู้ออกจากกัน ซึ่งเมื่อกล่าวถึงคนรู้ก็จะใช้คำว่า “อิตติบาอ์” แต่เมื่อกล่าวถึงคนไม่รู้ก็จะใช้คำว่า “ตั๊กลีด”
อิบนุ้ลกอยยิมได้รายงานเรื่องนี้จากอิหม่ามอะห์หมัด ว่า
ونقله ابن القيم عن الإمام أحمد، فقال: "وقد فرق أحمد بن التقليد والاتباع، فقال أبو داود: "سمعته يقول: "الاتباع: أن يتبع الرجلُ ما جاء عن النبي صلى الله عليه وسلم وعن أصحابه، ثم هو مِن بعدُ في التابعين مخيَّر
“อิบนุลกอยยิม ได้ถ่ายทอดจาก อิหม่ามอะห์หมัด โดยกล่าวว่า ท่านอิหม่ามอะห์หมัดได้จำแนกระหว่างคำว่า ตั๊กลีด กับ อิตบาอ์ ออกจากกัน โดยท่านอบูดาวู๊ด รายงานว่า ฉันเคยได้ยินเขากล่าวว่า อิตบาอ์คือการที่คนหนึ่งได้ตามสิ่งที่มาจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ,จากศอฮาบะห์ของท่าน และคนที่มาหลังจากนั้นในหมู่ตาบีอีนซึ่งเป็นที่ยอมรับ”
وقال أيضًا: "لا تقلدني، ولا تقلد مالكًا، ولا الثوري، ولا الأوزاعي، وخُذْ من حيث أخذوا"
“และท่านยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า ท่านอย่าได้ตั๊กลีดฉัน และอย่าได้ตั๊กลีดมาลิกี หรืออัซเซารีย์,หรืออัลเอาซาอีย์ แต่จงเอาในสิ่งที่พวกเชานำมา”
إعلام الموقعين (2/ 139

ส่วนท่านชาฏิบีย์ นั้น แม้ว่าท่านจะไม่ได้แยกระหว่างคำว่า ตั๊กลีด กับ อิตติบาอ์ ออกจากกัน แต่ท่านก็จำแนกคำว่า “ตั๊กลีด” ออกเป็นสองชนิดคือ التقليد الجائز แปลว่า “การตามที่อนุญาต” และ التقليد المذموم แปลว่า “การตามที่ถูกตำหนิ” ซึ่งบรรดาอุลามาอ์ได้อธิบายว่าการจำแนกในรูปแบบทั้งสองนี้ไม่ค้านกัน เพราะการตามที่อนุญาตก็คือ อิตติบาอ์ ส่วนการตามที่ถูกตำหนิก็คือ ตั๊กลีด นั่นเอง
และ ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าท่านจะไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ชัดเจน แต่เมื่อท่านกล่าวถึงคนรู้ท่านจะใช้คำว่า “อิตติบาอ์” และเมื่อกล่าวถึงคนไม่รู้ท่านจะใช้คำว่า “ตั๊กลีด” ตัวอย่างเช่น
إنَّ مِثْلَ هَذِهِ الْمَسَائِلِ الِاجْتِهَادِيَّةِ لَا تُنْكَرُ بِالْيَدِ ، وَلَيْسَ لِأَحَدِ أَنْ يُلْزِمَ النَّاسَ بِاتِّبَاعِهِ فِيهَا ؛ وَلَكِنْ يَتَكَلَّمُ فِيهَا بِالْحُجَجِ الْعِلْمِيَّةِ ، فَمَنْ تَبَيَّنَ لَهُ صِحَّةُ أَحَدِ الْقَوْلَيْنِ تَبِعَهُ ، وَمَنْ قَلَّدَ أَهْلَ الْقَوْلِ الْآخَرِ : فَلَا إنْكَارَ عَلَيْه " انتهى من " مجموع الفتاوى" (30/80)
“ดั่งปัญหาที่เกี่ยวกับการวินิจฉัย (มัสอะละห์อิจติฮาดียะห์) นี้ที่จะไม่ถูกอิงการ(คัดค้าน)ด้วยมือ(กำลัง) และไม่ใช่สิทธิสำหรับคนหนึ่งคนใดที่จะไปบังคับผู้คนให้ปฏิบัติตามเขา ทว่าเขาจะต้องพูดคุยกันในเรื่องนั้นด้วยหลักฐานทางวิชาการ, ดังนั้นผู้ใดที่ความถูกต้องจากหนึ่งในสองทัศนะเป็นที่ชัดเจนสำหรับเขา เขาก็ปฏิบัติตามนั้น แต่ผู้ใดที่ตักลีด(ยึดตาม)อีกทัศนะหนึ่ง ก็ไม่มีการอิงการ(คัดค้าน)ต่อเขา”
ข้อความของ อิบนุ ตัยมียะห์ ข้างต้นนี้ ชี้ให้เห็นถึงคนสองจำพวกคือ คนรู้และคนไม่รู้ และเมื่อท่านกล่าวถึงผู้ที่รู้ที่สามารถจำแนกได้ว่าอะไรคือความถูกต้อง ท่านใช้คำว่า تبعه หมายถึง “เขาต้องปฏิบัติตามความถูกต้องนั้น” และเมื่อท่านกล่าวถึงคนไม่รู้ ที่ไม่สามารถแยกแยะได้ ท่านก็ใช้คำว่า قلد หมายถึงตามทัศนะหนึ่งทัศนะใดโดยไม่รู้หรือไม่เข้าใจหลักฐาน
ดังนั้นเวลาอ่านคำฟัตวาของอุลามาอ์ จึงต้องสังเกตให้ดีว่า อุลามาอ์เขากล่าวถึงคนประเภทใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของการอิงก๊าร ซึ่งจะจำแนกให้เห็นดังนี้
.

เมื่อกล่าวถึงคนไม่รู้ เรามักจะเอ่ยชื่อแทนพวกเขาด้วยภาษาชาวบ้านว่า “ไอ้โล๊ะ” และ “ไอ้ควัด” อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งคนไม่รู้
นั้นเขาได้รับการยกเว้นตามบัญญัติศาสนาเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว และจะไม่มีผู้ใดตำหนิ ถือโทษโกรธเคืองพวกเขา เพราะพวกเขาใช้ดุลยพินิจตามกำลังความสามารถที่เขามี ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่บรรดาอุลามาอ์กล่าวถึงพวกเขาว่า อย่าไปอิงก๊าร ผู้ไม่รู้ที่ต้องตั๊กลีดตามทัศนะหนึ่งทัศนะใด ดั่งเช่นคำของ อิบนุ ตัยมียะห์ที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า

وَمَنْ قَلَّدَ أَهْلَ الْقَوْلِ الْآخَرِ : فَلَا إنْكَارَ عَلَيْه
“และผู้ใดที่ตั๊กลีดตามอีกทัศนะหนึ่ง ก็จะไม่มีการอิงก๊ารต่อเขา”
ท่านชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ ได้กล่าวถึงผู้รู้และผู้ไม่รู้ในกรณีปัญหาอิจติฮาดียะห์อีกว่า
مسائل الاجتهاد من عمل فيها بقول بعض العلماء لم ينكر عليه ولم يهجر ومن عمل بأحد القولين لم ينكر عليه وإذا كان في المسألة قولان فإن كان الإنسان يظهر له رجحان أحد القولين عمل به ‘ وإلا قلد بعض العلماء الذين يعتمد عليهم في بيان أرجح القولين
“ปัญหาอิจติฮาดนั้น ผู้ใดที่ปฏิบัติตามทัศนะของอุลามาอ์บางท่าน เขาจะไม่ถูกอิงก๊ารและจะต้องไม่ถูกตัดสัมพันธ์ และผู้ใดปฏิบัติตามหนึ่งในทัศนะทั้งสองก็จะไม่ถูกอิงก๊าร ในเมื่อปัญหานั้นมีสองทัศนะ แต่เมื่อคนใดได้ประจักษ์แก่เขาถึงทัศนะที่มีน้ำหนักจากทัศนะทั้งสองก็ปฏิบัติตามนั้น แต่ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น เขาก็ตักลีดตามอุลามาอ์บางท่านที่เขามั่นใจในการชี้แจงถึงทัศนะที่มีน้ำหนักมากกว่า” มัจมัวอุลฟะตาวา เล่มที่ 20 หน้าที่ 207
ในกรณีของคนไม่รู้นั้น คงไม่มีผู้ใดค้างคาใจ และหากใครไปอิงก๊ารเขา เราก็ต้องอิงก๊ารต่อผู้ที่อิงก๊ารเขาด้วยเช่นเดียวกัน
.

คนที่รู้ตัวบทที่ใช้อ้างอิงของคู่ขัดแย้ง และทราบถึงความถูกต้องในหลักฐานที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดนำเสนอ ก็จำเป็นที่เขาจะต้องยึดความถูกต้องของหลักฐานนั้นเป็นหลัก
يجب الإنكار على من ترك الدليل لقول أحد من العلماء كائنا من كان ونصوص الأئمة على هذا وأنه لا يسوغ التقليد إلا في مسائل الاجتهاد التي لا دليل فيها يرجع إليه من كتاب ولا سنة فهذا هو الذي عناه بعض العلماء بقوله : لا إنكار في مسائل الإجتهاد وأما من خالف الكتاب والسنة فيجب الرد عليه كما قال ابن عباس والشافعي ومالك وأحمد
“จำเป็นต้องอิงก๊ารต่อผู้ที่ทิ้งหลักฐานแล้วไปยึดเอาคำพูดของคนหนึ่งคนใดจากบรรดาอุลามาอ์ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม และตัวบทของบรรดาปวงปราชญ์ในเรื่องนี้ เพราะไม่อนุญาตให้ตามแบบไม่รู้หลักฐาน นอกจากปัญหาต่างๆที่ต้องวินิจฉัย ซึ่งไม่มีหลักฐานบ่งชี้ในเรื่องนั้น ไม่ว่าจากอัลกุรอานหรือจากซุนนะห์ นี่แหละที่นักวิชาการบางท่านได้กล่าวถึงด้วยคำพูดที่ว่า ไม่มีการอิงก๊ารในปัญหาต่างๆที่ต้องวินิจฉัย ส่วนผู้ที่แย้งกับอัลกุรอานและซุนนะห์นั้น จำเป็นต้องตอบโต้เขา ดั่งที่ อิบนุ อับบาส, ชาฟีอี, มาลิก และ อะห์หมัด ได้กล่าวไว้” ฟัตฮุลมะญีด หน้าที่ 395
เชค มูฮัมหมัด บิน ซอและห์ อัลอุษัยมีน กล่าวว่า
فالواجب على مَن علِم بالدليل أن يتبع الدليل ولو خالف مَن خالف من الأئمة. إذا لم يخالف إجماع الأمة
“จำเป็นต่อผู้ที่รู้หลักฐานจะต้องปฏิบัติตามหลักฐาน ถึงแม้ว่าจะค้านกับผู้อื่นจากบรรดาอะอิมมะห์ก็ตาม หากมันไม่ได้ค้านกับมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์”

เมื่อเอ่ยถึงการพิจาณาหลักฐานและการปฏิบัติตามหลักฐาน เราก็อยากแนะนำบางคนให้เงยหน้าจากแวดวงของฟิกฮ์บ้าง แล้วหันมองหลักเกณฑ์การพิจารณาหลักฐานของนักวิชาการในศาสตร์อื่นบ้าง เช่น นักฮะดีษ เป็นต้น
หากถามว่า นักฟิกฮ์กับนักฮะดีษมีความแตกต่างกันอย่างไร ก็ขอตอบว่า นักฟิกฮ์จะพิจารณาที่ปัญหาเป็นหลัก ส่วนนักฮะดีษจะพิจารณาหลักฐานเป็นหลัก เพราะฉะนั้นคำอธิบายในปัญหาหนึ่งๆของนักวิชาการทั้งสองศาสตร์นี้อาจจะไม่ตรงกันในบางเรื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาทั้งหมดต้องไปจบที่หลักฐานทั้งสิน
أنه يجبُ الإنكارُ في المسائل الخلافيةِ غيرِ الاجتهاديةِ التى وُجد فيها نصٌ يدلّ على صحَّةِ أحدِ الآراء، ولا يجبُ الإنكارُ في المسائلَ التى لا يوجدُ فيها نصٌ صريحٌ يدلّ على صحَّةِ أحدِ الآراء فيها فالعبرةُ في الإنكار بالنصِّ لا بمذاهبَ الناسِ، فكلُّ من خالفَ النصَّ ينكرُ عليه ويردُّ قولُه
“จำเป็นต้องอิงก๊ารต่อปัญหาคิลาฟียะห์ ที่ไม่ใช่ปัญหาอิจติฮาดียะห์ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีหลักฐานระบุถึงความถูกต้องของหนึ่งในทัศนะต่างๆ แต่ไม่จำเป็นต้องอิงก๊ารต่อปัญหาซึ่งไม่มีตัวบทชัดเจนที่บ่งถึงความถูกต้องในทัศนะใดจากทัศนะต่างๆ ฉะนั้นประเด็นของการพิจารณาในการอิงก๊ารก็คือตัวบท ไม่ใช่มัซฮับต่างๆที่ผู้คนยึดถือ และใครก็ตามที่ค้านกับตัวบทก็จะต้องถูกอิงก๊าร และคำพูดของเขาก็จะต้องถูกตอบโต้”

จากที่กล่าวมาแล้วนี้ ทำให้เราต้องพิจารณาตนเองว่า เราอยู่ในสถานะไหน
1 – คนรู้
2 – คนที่เรียนรู้
3 – คนไม่รู้

ในปัญหาหนึ่งๆ นั้นคนรู้กับคนไม่รู้เท่ากันหรือ ถึงได้ใช้ฮุก่มเดียวกันคือไม่ต้องอิงก๊าร
คนไม่รู้ที่ทิ้งหลักฐานด้วยความไม่รู้ของเขา กับคนรู้ที่ทื้งหลักฐานและไม่ยึดในความถูกต้อง เท่ากันหรือ
ในบ้านเมืองเรา มีแต่คนจำพวกไอ้โล๊ะกับไอ้ควัดทั้งหมดหรือ, หรือว่าบรรดาผู้โต้เถียงกันในเรื่องนี้ก็เป็นดั่งเช่น ไอ้โล๊ะและไอ้ควัดด้วย เขาจึงได้เอาฮุก่มของไอ้โล๊ะ,ไอ้ควัด มาบังคับใช้กับผู้คนโดยรวม !! 



https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=957231371144877&id=100005740689770

ตัรญีฮ์ คือการให้น้ำหนักแก่ทัศนะที่ขัดแย้งว่า ทัศนะใดมีความถูกต้อง ซึ่งบรรดานักวิชาการได้เรียกทัศนะที่ถูกต้องว่า “รอญิฮ์” ส่วนทัศนะอื่นๆนอกจากนี้ถูกเรียกว่า “มัรญัวฮ์”
แต่ก่อนที่เราจะได้แจ้งถึงการตัรญีฮ์นั้น ขอย้ำถึงความแตกต่างของชนิดปัญหากันก่อน เพื่อป้องกันความเข้าใจที่ผิดพลาด เนื่องจากการให้น้ำหนักของปัญหาแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกันคือ
#ปัญหาการเห็นต่าง หรือปัญหาชนิด “ตะเนาวุอ์” นั้นคือปัญหาที่มีรากเง้าเดียวกัน แต่อุลามาอ์มีความเห็นต่างกันในชนิด,รูปแบบ,จำนวน,ลักษณะ หรือวิธีการ โดยทั้งสองฝ่ายต่างก็มีตัวบทที่ถูกต้องยืนยันทั้งคู่ ดังนั้นการเห็นต่างของปัญหาชนิดนี้ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า ฝ่ายใดถูกต้องหรือฝ่ายใดผิดพลาด แต่จะกล่าวว่า ฝ่ายใด “อัฟฏอล” (ดีที่สุด หรือมีความประแสริฐ) มากกว่ากัน ตัวอย่างเช่น
قال النووي: "باب التشهد في الصلاة. وفيه تشهد ابن عباس وتشهد أبي موسى الأشعري واتفق العلماء على جوازها كلها، واختلفوا في الأفضل منها"
“ท่านอิหม่ามนะวาวี ได้กล่าวไว้ในบทที่ว่าด้วยเรื่องการอ่านตะชะฮุดในละหมาดว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้มีการตะชะฮุดตามการรายงานของ อิบนิ อับบาส และการตะชะฮุดตามการรายงานของ อบีมูซา อัลอัชอะรีย์ และบรรดาอุลามาอ์ได้เห็นพ้องต้องกันในการอนุญาตให้ปฏิบัติตามอย่างหนึ่งอย่างใดจากทั้งสองได้ แต่พวกเขาเห็นต่างกันว่า อันไหน “อัฟฏอล” กว่ากัน” คำอธิบายซอเฮียะห์มุสลิม ญุชอ์ที่ 4 หน้าที่ 88
قال النووي: "أعلم أن أحاديث الباب متظاهرة على جواز إفراد الحج عن العمرة، وجواز التمتع والقران، وقد أجمع العلماء على جواز الأنواع الثلاثة مع اختلافهم في أي هذه الأنواع الثلاثة أفضل "[122
“อิหม่ามนะวาวีย์ กล่าวว่า : พึงรู้ไว้เถิดว่า บรรดาฮะดีษในบทนี้ตามที่ปรากฏนั้นบ่งถึงการอนุญาตให้ทำฮัจญ์และอุมเราะห์ในรูปแบบอิฟรอด ขณะเดียวกันก็อนุญาตให้ทำในรูปแบบ “ตะมัตตัวอ์” และกีรอน ด้วย ซึ่งบรรดาอุลามาอ์ได้มีมติเอกฉันท์อนุญาตให้ทำได้ทั้งสามรูปแบบนี้ แต่พวกเขาก็เห็นต่างกันว่า ในสามรูปแบบนี้อันไหน “อัฟฏอล” กว่ากัน” อธิบายฮะดีษศอเฮียะห์มุสลิม ญุชอ์ที่ 8 หน้าที่ 301
أن اختلاف التنوع كل من المختلفين فيه مصيب، وهذا ما أشار لـه ابن تيمية في قولـه: "وهذا القسم الذي سميناه اختلاف التنوع كل واحد من المختلفين مصيب فيه بلا تردد".
اقتضاء الصراط المستقيم (1/135)

“แท้จริงการเห็นต่างชนิด “ตะเนาวุอ์” นั้น คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความถูกต้อง นี่คือสิ่งที่ อิบนุ ตัยมียะห์ได้ชี้ให้เห็นในคำพูดของเขาว่า “ในจำพวกนี้ที่เราเรียกมันว่าการเห็นต่างชนิด “ตะเนาวุอ์” นั้นคือคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความถูกต้องโดยไม่มีการคัดค้านแต่อย่างใด”
อิบนุตัยมียะห์ ได้กล่าวเชิงตำหนิ ผู้ที่อิงก๊ารต่อปัญหาชนิดตะเนาวุอ์ ว่า
"فإذا سمع الإقامة الأخرى نفر عنها وأنكرها، ويصير كأنه سمع أذاناً ليس أذان المسلمين"
“เมื่อเขาได้ยินเสียงอะซานของคนอื่นก็ผละหนีและอิงก๊ารมัน เสมือนว่าเขาได้ยินเสียงอะซานที่ไม่ใช้การอะซานของคนมุสลิม” มัจมูอุ้ลฟะตาวา 24/250
ด้วยเหตุนี้บรรดานักวิชาการจึงกล่าวถึงผลสรุปของปัญหาชนิดนี้ด้วยคำว่า ทัศนะใด “อัฟฏอล” กว่ากัน (ฟาฏิล-มัฟฏูล) ไม่ใช่เป็นการชี้ว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิด แต่อาจจะมีนักวิชาการบางท่านใช้คำว่า “รอญิฮ์” กับปัญหาชนิดนี้ด้วย แต่ท่านก็อย่าแปลกใจและเข้าใจผิดไปว่า ทัศนะหนึ่งถูกและอีกทัศนะหนึ่งผิด เพราะพื้นฐานของชนิดปัญหามันเป็น “ตะเนาวุอ์” คือมีความถูกต้องทั้งสองฝ่ายนั่นเอง
#ส่วนปัญหาชนิด “ตะฏอด” คือการขัดแย้งที่ตรงกันข้ามเนื่องจากรากเง้าของปัญหาเป็นคนละประเภทกัน ในกรณีนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่า ทั้งสองทัศนะมีความถูกต้องทั้งคู่ แต่ความถูกต้อง,มีเพียงทัศนะเดียวเท่านั้น และทัศนะที่ถูกต้องนั้นถูกเรียกว่า “รอญิฮ์” ส่วนทัศนะอื่นๆ เรียกว่า “มัรญัวฮ์”
บางคนไม่เข้าใจ โดยคิดว่าปัญหาชนิดตะฏอดนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับปัญหาคิลาฟียะห์ จึงพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะไม่กล่าวถึงและไม่ให้ความใส่ใจในคำแนะนำของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ความจริงแล้ว คำว่า ตะฏอด ก็คือ การคิลาฟ นั่นเอง ซึ่งในแวดวงของอุลามาอ์นั้นเป็นที่รับทราบกันดี และบางครั้งพวกเขาก็ใช้คำหนึ่งคำใดนี้แทนกัน และบางครั้งก็ระบุไว้คู่กัน ตัวอย่างเช่น
خلاف تضاد سائغ (การขัดแย้งชนิดตะฏอดที่อนุญาตให้ทำการอิจติฮาด) หรือ خلاف تضاد غير سائغ (การขัดแย้งชนิดตะฏอดที่ไม่อนุญาตให้ทำการอิจติฮาด) อย่างนี้เป็นต้น
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
وأما اختلاف التضاد فهو: القولان المتنافيان: إما في الأصول وإما في الفروع عند الجمهور الذين يقولون: "المصيب واحد" وإلا فمن قال: "كل مجتهد مصيب" فعنده: هو من باب اختلاف التنوع لا التضاد"
اقتضاء الصراط المستقيم (1/134).

“ส่วนการขัดแย้งชนิดตะฏอด มันคือ สองทัศนะที่ขัดแย้งกัน บางครั้งในเรื่องรากฐานและบางครั้งก็ในด้านปลีกย่อย ตามที่บรรดาญุมฮูรได้กล่าวว่า “ความถูกต้องมีหนึ่งเดียว” นอกจากผู้ที่กล่าวว่า “ผู้วินิจทุกคนมีความถูกต้อง” นั่นหมายถึงในบทของการเห็นต่างชนิด “ตะเนาวุอ์” ไม่ใช่การขัดแย้งชนิด “ตะฏอด”
أما اختلاف التضاد فالمصيب فيه واحد، وهذا ما أشار لـه ابن تيمية في قولـه: "وإذا اختلف الناس... على قولين متناقضين لم يكن كل مجتهد مصيباً"[105].
مجموع الفتاوى (16/138)

“ส่วนการขัดแย้งชนิด “ตะฏอด” นั้น ความถูกต้องมีเพียงหนึ่งเดียว นี่คือสิ่งที่ อิบนุ ตัยมียะห์ ได้ชี้ให้เห็นด้วยคำพูดที่ว่า “เมื่อบรรดาผู้คนได้ขัดแย้งกัน..ที่สองทัศนะตรงกันข้าม ไม่ใช่ว่าผู้วินิจฉัยทุกคนจะมีความถูกต้อง”

#เพราะฉะนั้นการแสดงท่าทีและจุดยืนต่อปัญหาทั้งสองชนิดจึงมีความแตกต่างกัน และหากเราไม่แยกปัญหาทั้งสองชนิดนี้ให้ชัดเจนก็จะทำให้เกิดความสับสน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาชนิด ตะฏอด ที่ความถูกต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะยึดเอาทั้งถูกและผิดคละเคล้ากัน

قال أبو الخطاب: "فإنه ليس للمفتي أن يفتي بالشيء وضده في حالة واحدة" التمهيد (4/335)
“อบูลค๊อตต๊อบ กล่าวว่า “ผู้ที่ฟัตวานั้นเขาจะต้องไม่ฟัตวาปัญหาใดและที่ตรงกันข้ามในสภาพเดียวกัน” อัตตัมฮีด ญุชอ์ที่ 4 หน้าที่ 335
أن المجتهد لا يجوز أن يقول في مسألة واحدة قولين مختلفين في وقت واحد بالنسبة لشخص واحد
“แท้จริงผู้ที่วินิจฉัยนั้น ไม่อนุญาตให้เขากล่าวในปัญหาหนึ่งที่มีสองทัศนะในเวลาเดียวกันต่อบุคคลคนเดียว”
المعتمد (2/310)، والتمهيد (4/357)، الإحكام للآمدي (4/200-202)، ومختصر ابن الحاجب مع شرح العضد (2/299)، وتيسير التحرير (2/232)، فواتح الرحموت (2/394).
คือไม่สามารถเอาทั้งถูกและผิดไปปนกัน เช่นปัญหากุนูตซุบฮิ ที่ฝ่ายหนึ่งพิจารณาว่าเป็นบิดอะห์ และอีกฝ่ายหนึ่งพิจารณาว่าเป็นซุนนะห์ อย่างนี้จำเป็นต้องเลือกอย่างหนึ่งอย่างใดเท่านั้น เพราะไม่สามารถยืนยันว่าเป็นบิดอะห์ด้วยและยอมรับว่าเป็นซุนนะห์ด้วยในเวลาเดียวกันได้
และเมื่อจำเป็นต้องเลือกอย่างหนึ่งอย่างใด แล้วใครจะเป็นผู้ชี้ชัดว่า ทัศนะไหนคือความถูกต้อง (รอญิฮ์)
เรื่องนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะกล่าวตามที่ใจเราต้องการ แต่บรรดาอุลามาอ์ได้ชี้แจงให้เราได้ทราบมาเนิ่นนาน จนเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางในแวดวงของอุลามาอ์
เราจะไม่นำเอาหลักเกณฑ์ทางวิชาการเกี่ยวกับขั้นตอนการ “ตัรญิฮ์” มานำเสนอ เพราะเนื่องจากไม่มีความจำเป็น แต่เราจะนำบทสรุปเกี่ยวกับเรื่องนี้ของบรรดานักวิชาการมาแจ้งให้ทราบดังนี้
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
فكيف يكون النبي صلى الله عليه وسلم يقنت دائما في الفجر أو غيرها ويدعو بدعاء راتب ولم ينقل هذا عن النبي صلى الله عليه وسلم لا في خبر صحيح ولا ضعيف بل أصحاب النبي صلى الله عليه وسلم هم أعلم الناس بسنته وأرغب الناس في اتباعها كابن عمر وغيره أنكروا حتى قال ابن عمر : ما رأينا ولا سمعنا . أفيقول مسلم : إن النبي صلى الله عليه وسلم كان يقنت دائما ؟ وابن عمر يقول : ما رأينا ولا سمعنا وكذلك غير ابن عمر من الصحابة عدوا ذلك من الأحداث المبتدعة
مجموع الفتاوى ( 23/ 103-110)

“อย่างไรเล่าที่ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จะทำการกุนูตในละหมาดซุบฮิและละหมาดอื่นๆโดยขอดุอาอ์อยู่เป็นประจำ โดยที่ไม่มีรายงานจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เลยไม่ว่าจะเป็นฮะดีษศอเฮียะห์หรือฏออีฟก็ตาม แต่ทว่าบรรดาศอฮาบะห์ของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมนั้น พวกเขารู้ในเรื่องซุนนะห์ของท่านนบีดีกว่าคนอื่นๆ และพวกเขาโหยหาในการปฏิบัติตามซุนนะห์ยิ่งกว่าคนอื่นๆ เช่นเดียวกับท่านอิบนุ อุมัร และศอฮาบะห์คนอื่นๆ ได้อิงก๊าร (ปฏืเสธ) จนกระทั่งเขากล่าวว่า : พวกเราไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยิน
หรือว่ามุสลิมจะกล่าวว่า : ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ทำการกุนูตเป็นประจำ แต่ อิบนุ อุมัร กลับพูดว่า พวกเราไม่เคยเห็นและไม่เคยได้ยิน และเช่นเดียวกันที่บรรดาศอฮาบะห์คนอื่นนอกจากอิบนุ อุมัร แล้วก็ถือว่าการกุนูตซุบฮินั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ถูกอุตริขึ้นในศาสนา”

ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนิ ตัยมียะห์ กล่าวอีกว่า
أَنَّ مِنْ تَأَمَّلَ الْأَحَادِيثَ عَلِمَ عِلْمًا يَقِينًا أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَمْ يُدَاوِمْ عَلَى الْقُنُوتِ فِي شَيْءٍ مِنْ الصَّلَوَاتِ لَا الْفَجْرِ وَلَا غَيْرِهَا ; وَلِهَذَا لَمْ يَنْقُلْ هَذَا أَحَدٌ مِنْ الصَّحَابَةِ ; بَلْ أَنْكَرُوهُ
“จากการพิจารณาฮะดีษต่างๆแล้วก็รู้ได้อย่างมั่นใจว่า ท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัมนั้น ไม่เคยทำกุนูตเป็นประจำในการละหมาดแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นละหมาดซุบฮิหรือละหมาดอื่นๆ ทั้งนี้เพราะไม่มีศอฮาบะห์คนใดถ่ายทอดเรื่องนี้มา แต่พวกเขากลับอิงก๊ารมัน” มัจมัวอ์ อัลฟะตาวา 21/154
อัชเชากานีย์ ได้กล่าวว่า
أن الحق ما ذهب إليه من قال : إن القنوت مختص بالنوازل وأنه ينبغي عند نزول النازلة أن لا تخص به صلاة دون صلاة
“ความถูกต้องก็คือทัศนะของผู้ที่กล่าวว่า : แท้จริงการกุนูตนั้นเจาะจงเฉพาะในยามเกิดภัยพิบัติ มันจึงสมควรกระทำในยามเกิดภัยพิบัติโดยไม่เจาะจงกระทำเฉพาะในละหมาดใดๆเท่านั้น” นัยลุ้ลเอาฏอร เล่มที่ 1 หน้าที่ 631
คำฟัตวาของ ลุจญ์นะห์อัลดาอิมะห์แห่งราชอณาจักรซาอุดิอาราเบีย โดยมีชัยค์ บิน บาซ เป็นประธาน และมีคณะกรรมการประกอบด้วย ชัยค์ อับดุรรอซาก อะฟีฟีย์, อิบนุ ฆ๊อดยาน, อิบนุ กุอู๊ด ได้แถลงมติว่า
أما القنوت في الصبح وفي غيرها من الصلوات الخمس فلا يشرع بل هو بدعة إلا إذا نزل بالمسلمين نازلة أما اتخاذه دائما في الصبح فهو بدعة – وإن قال به بعض أهل العلم – لأن ذلك لم يحفظ عن النبي صلى الله عليه وسلم إنما جاء في أحاديث ضعيفة
“ส่วนการกุนูตซุบฮิและในละหมาดอื่นๆ ทั้งห้าเวลานั้นไม่ถูกบัญญัติเป็นศาสนา แต่มันเป็นบิดอะห์ นอกจากเมื่อยามเกิดภัยพิบัติต่อบรรดามุสลิมเท่านั้น ส่วนการกระทำเป็นประจำในละหมาดซุบฮินั้นเป็นบิดอะห์ ถึงแม้ว่าจะมีอุลามาอ์บางท่านกล่าว (อนุญาต) ก็ตาม เพราะในเรื่องดังกล่าวนี้ไม่มีการจดจำจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แต่ที่มีการอ้างนั้นล้วนเป็นฮะดีษฏออีฟ” (คำฟัตวาของลุจญ์นะห์ 7/46)
เชคซอและห์ อิบนุ อุษัยมีน กล่าวว่า
القنوت في الفجر بدعة وهو كذلك لأن النبي صلى الله عليه وسلم لم يفعله إلا لسبب فإن فعلته بدون سبب فهذا إحداث في دين الله ماليس منه
“กุนูตในละหมาดซุบฮินั้นเป็นบิดอะห์ เนื่องจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ไม่เคยกระทำนอกจากในยามมีเหตุ และหากท่านทำโดยไม่มีเหตุมันก็คือการทำขึ้นมาใหม่ในศาสนาของอัลลอฮ์โดยไม่มีต้นแบบ” ซัรฮุบุลูฆุ้ลมะรอม บทที่ว่าด้วยเรืองการละหมาด หน้าที่ 230
ชัยค์ บิน บาซ กล่าวว่า
أما اتخاذ قنوت في صلاة الفجر بعد الركوع الثاني سنة دائمة فهذا قول بعض أهل العلم كالشافعية رحمهم الله وجماعة معهم، ولكنه قول مرجوح، الصواب أنه لا يستحب؛ لأنه ثبت من حديث سعد بن طارق بن أشيم الأشجعي قال: قلت لأبي: يا أبتِ إنك صليت خلف رسول الله صلى الله عليه وسلم وخلف أبي بكر وعمر وعثمان وعلي رضي الله عنهم أفكانوا يقنتون في الفجر؟! فقال: أي بني محدث. فهذا يدل على أنه ليس معروفاً في عهده صلى الله عليه وسلم ولا في عهد الخلفاء الراشدين في غير النوازل؛ ولهذا قال هذا الصحابي الجليل: إنه محدث، يعني الاستمرار عليه والقنوت من دون أسباب هذا هو الراجح وهو الأقوى دليلاً
“การถือว่ากุนูตในละหมาดซุบฮิหลังจากรุกัวอ์ในร๊อกอะห์ที่สองเป็นซุนนะห์ที่ทำประจำนั้น เป็นคำพูดของอุลามาอ์บางคน เช่นอุลามาอ์ในมัสฮับชาฟีอี (ร่อฮิมะฮุมุ้ลลอฮ์) และอุลามาอ์อีกกลุ่มหนึ่งที่เห็นพ้องกับพวกเขานั้นเป็นทัศนะที่ “มัรญูวฮ์” แต่ที่ถูกต้องนั้นคือไม่สมควรกระทำ เพราะมีตัวบทที่ยันยันจากฮะดีษของ ซะอด์ บิน ฏอริก บิน อัชยัม อัลอัชญะอีย์ ว่า ฉันได้ถามพ่อของฉันว่า โอ้พ่อเอ๋ย ท่านเคยละหมาดตามหลังท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม,ท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,ท่านอุสมาน และท่าอาลี (ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาพวกเขา) พวกเขาเหล่านั้นได้ทำการกุนูตในละหมาดซุบฮิหรือไม่? เขาตอบว่า โอ้ลูกเอ๋ย มันเป็นของใหม่ในศาสนา. นี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่า มันไม่เป็นที่รูจักในยุคของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และในยุคของบรรดาค่อลีฟะห์ อัรรอชีดีน นอกจากในยามเกิดภัยพิบัติเท่านั้น นี่แหละที่ศอฮาบะห์ผู้สูงส่งกล่าวว่า มันคือของใหม่ในศาสนา หมายถึงการการทำเป็นประจำโดยไม่มีเหตุ นี่คือทัศนะที่รอญิฮ์ ที่มีหลักฐานแข็งแรงที่สุด”

ตามที่ท่านได้ทราบแล้วว่า ผลของปัญหาทั้งสองชนิดคือ ตะเนาวุอ์ และ ตะฏอด มีความแตกต่างกันคือ ปัญหาชนิดตะเนาวุอ์นั้นถูกต้องทั้งคู่ แต่อุลามาอ์เขาถกกันว่า อันไหน อัฟฏอล กว่ากัน, ส่วนปัญหาชนิด ตะฏอด นั้นความถูกต้องมีเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกและยึดถือความถูกต้อง แต่บรรดาผู้คนในสังคมหนึ่งๆ นั้นต่างมีศักยภาพในการพิจารณาที่แตกกันดังนี้
1 - العامي : عليه أن يستفتي الأثق والأعلم من أهل العلم ‘ ويسئله عن الراجح فيعمل به
2 – طالب العلم المميز القادر على الترجيح : عليه العمل بما ظهر له دليله من أقوال العلماء‘ وإلا حكمه حكم العامي
3 – المجتهد : يلزمه البحث والإجتهاد وجمع الأدلة والنظر في الراجح منها ‘ فما ترجح عنده عمل وأفتى به

1 – อามีย์ (คนทั่วไป) จำเป็นแก่เขาที่จะต้องขอคำฟัตวาจากผู้ที่มีความรู้และเชื่อถือได้จากบรรดานักวิชาการ โดยถามเขาถึงทัศนะที่มีน้ำหนักที่สุดแล้วปฏิบัติตามนั้น
2 – นักศึกษาที่สามารถจำแนกได้ว่าทัศนะไหนที่มีน้ำหนักที่สุด ก็จำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามในสิ่งที่มีหลักฐานชัดเจนจากทัศนะต่างๆของอุลามาอ์ แต่หากไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาก็จะอยู่ในสถานะเดียวกับอามีย์ (คนทั่วไป)
3 – ผู้วินิจฉัย จำเป็นแก่เขาที่จะต้องค้นคว้าและทำการวินิจฉัย และรวมหลักฐานโดยพิจารณาว่าทัศนะไหนมีน้ำหนักที่สุด ก็จะต้องปฏิบัติและฟัตวาไปตามนั้น
บรรดานักวิชาการต่างให้ความสำคัญในการยึดถือตัวบทศาสนาที่ถูกต้องชัดเจน ดังนั้นปัญหาการขัดแย้งชนิด ตะฏอด ในเรื่องใดก็ตามที่ได้รับการ “ตัรญิฮ์” คือได้รับการตรวจสอบและชี้สถานะของเรื่องนั้นว่า เป็น “รอญิฮ์” (ถูกต้องชัดเจน) แล้วก็จำเป็นต้องยึดถือปฏิบัติตามศักยภาพของแต่ละคนดั่งที่กล่าวแล้วข้างต้น และหากละทิ้งสิ่งที่ “รอญิฮ์” โดยไม่มีเหตุของความจำเป็น นั้น อุลามาอ์ได้อิงก๊าร (ตอบโต้-คัดค้าน) ผู้นั้นด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
ترك الراجح و العمل بالمرجوح سَيُؤَدِّي إلى تبديل الدين و مشابهة أهل الكتاب في اتخاذ الأحبار والرهبان أرباباً من دون الله:
قال شيخ الإسلام ابن تيمية – رحمه الله: و لو فُتِحَ هذا الباب [يعني: ترك الحديث إذا صحّ بحجة كونه مخالفاً لقول المذهب أو الإمام] لَوَجَبَ أن يُعْرَضَ عن أمر الله و رسوله و يَبْقى كل إمام في أتباعه بمنزلة النبي في أمته، وهذا تبديل للدين و يُشْبِهُ ما عاب الله به النصارى في قوله: (اتَّخَذُوا أَحْبَارَهُمْ وَرُهْبَانَهُمْ أَرْبَابًا مِنْ دُونِ اللَّهِ وَالْمَسِيحَ ابْنَ مَرْيَمَ وَمَا أُمِرُوا إِلاَّ لِيَعْبُدُوا إِلَهًا وَاحِدًا لا إِلَهَ إِلاَّ هُوَ سُبْحَانَهُ عَمَّا يُشْرِكُونَ)
التوبة 31
قواعد التحديث لجمال الدين القاسمي صـ(351 )

การทิ้งรอญิฮ์ (ที่ถูกต้องชัดเจน) และปฏิบัติตามมัรญัวฮ์ (ที่อ่อนกว่า) มันจะนำไปสู่การเปลี่ยนศาสนา และเหมือนกับพวกชาวคัมภีร์ ในการยึดเอานักปราชญ์และบาทหลวงเป็นพระเจ้านอกเหนือจากอัลลอฮ์
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุตัยมียะห์ (รอฮิมะฮุ้ลลอฮ์ กล่าวว่า หากบทนี้ถูกเปิด [หมายถึงบทที่ว่าด้วยเรื่องการทิ้งฮะดีษ เมื่อมันมีความถูกต้องในการนำมาเป็นหลักฐานแต่มันไปค้านกับคำพูดของมัซฮับหรือคำพูดของอิหม่าม] มันก็จำต้องผินหลังให้คำสั่งของอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ และอิหม่ามแต่ละคนก็จะคงอยู่ในสถานะของท่านนบีในประชาชาติในการปฏิบัติตาม และนี่มันคือการเปลี่ยนศาสนา และเหมือนกับที่อัลลอฮ์ได้ทรงตำหนิพวกนะศอรอ ในคำกล่าวของพระองค์ที่ว่า “ พวกเขาได้ยึดเอาบรรดานักปราชญ์ของพวกเขา และบรรดาบาทหลวงของพวกเขาเป็นพระเจ้าอื่นนอกจากอัลลอฮ์ และยึดเอามะเซียะห์ บุตรของมัรยำ เป็นพระเจ้าด้วย ทั้งๆที่พวกเขามิได้ถูกใช้นอกจากเพื่อสักการะต่อพระเจ้าองค์เดียว ซึ่งไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่สักการะนอกจากพระองค์เท่านั้น มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์จากสิ่งพวกเขาได้ตั้งภาคี (ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 31)
ก่อวาอิดุลตะฮ์ดีส ของญะมาลุดดีน อัลกอซิมีย์ หน้าที่ 351
ที่กล่าวแล้วนี้ หวังว่าท่านคงจะเข้าใจในการให้น้ำหนักต่อปัญหาทั้งสองชนิดคือ
ปัญหาชนิด ตะเนาวุอ์ ถูกต้องทั้งคู่ แต่จะพิจารณาว่า อันไหนอัฟฏอลกว่ากัน
ส่วนปัญหาชนิด ตะฏอด ความถูกต้องมีหนึ่งเดียว และจะพิจารณาว่า อันไหนถูกอันไหนผิด
ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาและให้เรามีความเข้มแข็งในยึดถือปฏิบัติศาสนาของพระองค์ด้วยเถิด