วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563

#ชี้เเจง_เขาชัยฏอน_โผล่ที่ซาอุฯ_จริงหรือ

 #ชี้เเจง_เขาชัยฏอน_โผล่ที่ซาอุฯ_จริงหรือ


ตอบโต้การใส่ไคล้ที่มีต่อท่านอิหม่าม อัล-มุญัดดิด ชัยคุลอิสลาม มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ในประเด็น "นัจญดฺ เขาของชัยฏอน"

_______________________________________

عن ابن عمر رضي الله عنهما أنه سمع رسول الله صلى الله عليه وسلم و هو مستقبل المشرق يقول : ألا إن الفنتة هاهنا، ألا إن الفتنة هاهنا، ألا إن الفتنة هاهنا، من حيث يطلع قرن الشيطان [رواه الشيخان]

มีรายงานจากท่านอิบนุอุมัร رضي الله عنهما ว่า : แท้จริงท่านได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺﷺได้กล่าวขณะที่ท่านหันหน้าไปทางทิศตะวันออกว่า :

"พึงทราบเถิดว่า แท้จริงฟิตนะฮฺอยู่ที่นี่ พึงทราบเถิดว่า แท้จริงฟิตนะฮฺอยู่ที่นี่ พึงทราบเถิดว่า แท้จริงฟิตนะฮฺอยู่ที่นี่ โดยที่เขาของชัยฏอนจะปรากฎขึ้นที่นั่น

[บันทึกโดยท่านอิมามบุคอรีและท่านอิมามมุสลิม]

وعن ابن عمر رضي الله عنهما قال : ذكر النبي صلى الله عليه وسلم فقال : اللهم بارك لنا في شامنا ، اللهم بارك لنا في يمننا ، قالوا : وفي نجدنا ، قال : اللهم بارك لنا في شامنا ، اللهم بارك لنا في يمننا ، قالوا : يا رسول الله وفي نجدنا فأظنه قال الثالثة : هناك الزلازل والفتن ، وبها يطلع قرن الشيطان . رواه البخاري والترمذي وأحمد .

และมีรายงานจากท่านอิบนุอุมัร رضي الله عنهما ท่านกล่าวว่า : ท่านนบีﷺกล่าวว่า :

"โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองชามของเราด้วยเถิด โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองเยเมนของเราด้วยเถิด"

พวกเขา(บรรดาศ่อฮาบะฮฺ)ได้กล่าวว่า : แล้วในเมืองนัจญด์ของเราล่ะ ?

ท่านนบีﷺได้กล่าวต่อว่า : "โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองชามของเราด้วยเถิด โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองเยเมนของเราด้วยเถิด"

พวกเขา(บรรดาศ่อฮาบะฮฺ)ได้กล่าวว่า : โอ้ท่านร่อซูลั้ลลอฮฺ แล้วในเมืองนัจญดฺของเราล่ะ ?

(และฉันก็คาดว่าท่านนบีได้กล่าวในครั้งที่สามว่า) : ที่นั่นมันมีแผ่นดินไหวและฟิตนะฮฺ และเขาของชัยฏอนก็โผล่ขึ้นที่นั่น"

[บันทึกโดยอิหม่ามบุคอรี , อัตติรมีซี เเละอะหมัด]

ซึ่งมีคนบางกลุ่มใช้หะดีษข้างต้นยัดเยียดข้อกล่าวหาให้กับท่านอิมามมุญัดดิด มุฮัมมัด อิบนุอับดิลวะฮฺฮาบ رحمه الله ว่าเป้าหมายของหะดีษนี้หมายถึงท่าน เนื่องจากว่าบ้านเกิดของท่านนั้นอยู่ที่แคว้นนัจญดฺ ซึ่งเราสามารถชี้แจงและตอบโต้พวกเขาได้ในหลายประเด็นดังนี้

ประเด็นที่ 1

เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักปราชญ์ว่าตัวบทหลักฐานต่างๆเกี่ยวกับเรื่องการยกย่องให้เกียรติสถานที่บางแห่งหรือกลุ่มชนบางกลุ่มชนมากกว่ากลุ่มชนอื่น ที่ได้มีการระบุไว้ในอัล-กุรอานหรือในหะดีษนั้น มันไม่ได้หมายถึงว่ามันจะเป็นการยกย่องคนทุกคนที่มาจากสถานที่แห่งนั้นหรือมาจากกลุ่มชนกลุ่มนั้นว่ามีความประเสริฐมากกว่ามนุษย์คนอื่นๆ และในทำนองเดียวกัน ตัวบทหลักฐานต่างๆที่ได้มีระบุไว้ถึงการตำหนิสถานที่บางแห่งและความชั่วร้ายที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่า(ไม่ว่าจะในกรณีใดๆก็ตาม)มันจะเป็นการตำหนิ หรือลดเกียรติทุกๆคนที่มาจากสถานที่แห่งนั้น

และหลักฐานในเรื่องนี้คือ ดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่ว่า :

ความว่า : โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

[อัลหุญุร๊อต:13]

และมีรายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ رضي الله عنه ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺﷺได้กล่าวว่า :

"แท้จริงอัลลอฮฺนั้นมิได้ทรงมองไปยังรูปลักษณ์ของพวกเจ้าและทรัพย์สินของพวกเจ้า แต่ทว่าพระองค์จะทรงมองไปยังหัวใจของพวกเจ้าและการงานต่างๆของพวกเจ้า"

[บันทึกโดยท่านอิมามมุสลิม]

ดังนั้นสิ่งที่จะใช้เป็นบรรทัดฐานวัดความดีความชั่วนั้น มันคือหัวใจและการกระทำ มันไม่ได้วัดกันที่เผ่าพันธุ์หรือชาติกำเนิด และมันก็ไม่ได้วัดกันที่เพศหรือสีผิว และการยืนยันเรื่องนี้นั้นเป็นสิ่งที่เห็นพ้องต้องกันในหมู่มวลนักปราชญ์

ท่านอิมามมาลิก رحمه الله ได้รายงานไว้ใน "อัลมุวัฏเฏาะอฺ" ว่า มีรายงานจากท่านยะหฺยา อิบนุสะอีดว่า: ท่านอะบุดดัรดาอฺได้เขียนจดหมายเชิญชวนท่านซัลมานอัลฟาริซียฺให้มายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์(ดินแดนชาม) แล้วท่านซัลมานก็ได้เขียนจดหมายกลับไปหาท่านอะบุดดัรดาอฺว่า : แท้จริงแผ่นดินนั้นไม่ได้ทำให้ใครสะอาดบริสุทธิ์ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่จะทำให้มนุษย์สะอาดบริสุทธิ์ได้นั้นคือการกระทำของเขาเอง.

ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ رحمه اللهได้กล่าวว่า :

"และมันเป็นก็ไปตามที่ท่านซัลมานอัลฟารีซียฺได้กล่าวไว้ เพราะว่าแท้จริงเมืองมักกะฮฺ(ขออัลลอฮฺทรงปกปักรักษามัน)นั้นเป็นดินแดนที่ทรงเกียรติที่สุด ทั้งๆที่ในตอนยุคต้นๆของอิสลามมันเคยเป็นเมืองแห่งกุฟรฺและเมืองของศัตรูสงคราม ซึ่งการพำนักอยู่ที่นั่นเป็นที่ต้องห้าม และทั้งๆที่เมืองชามในสมัยของท่านนบีมูซา عليه السلام ก่อนที่ท่านจะพาชาวบนีอิสรออีลออกมา มันเคยเป็นบ้านเมืองของกลุ่มชนที่เคารพสักการะดวงดาว กลุ่มชนที่ทำชิริก กลุ่มชนที่มีความยโสโอหังและฝ่าฝืน และอัลลอฮฺตะอาลาได้กล่าวกับชาวบนีอิสรออีลเกี่ยวกับเมืองนี้ไว้ว่า :

ความว่า : ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นที่อยู่ของผู้ละเมิดทั้งหลาย

[อัล-อะอฺรอฟ:145]

เพราะแท้จริงการที่ผืนแผ่นดินมันจะเป็นเมืองแห่งกุฟรฺหรือเมืองแห่งความสันติหรือเมืองแห่งอีหม่าน หรือเป็นเมืองแห่งความสงบสุขหรือเมืองแห่งสงคราม หรือการที่จะเป็นเมืองแห่งการเชื่อฟังหรือฝ่าฝืน หรือเป็นเมืองแห่งบรรดาผู้ศรัทธาหรือบรรดาผู้ฝ่าฝืนนั้น มันก็เป็นเพียงลักษณะที่ชั่วคราว ไม่ใช่ลักษณะที่ติดตัวตลอดไป บางทีมันอาจจะเปลี่ยนแปลงจากลักษณะหนึ่งไปเป็นอีกลักษณะหนึ่งก็ได้ มันก็เหมือนกับการที่ชายคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงตัวของเขาเองจากการกุฟรฺไปสู่การอีหม่านและความรู้ และในทำนองเดียวกันมันก็อาจเป็นไปในทางตรงกันข้าม

แต่สำหรับความประเสริฐที่มันจะอยู่ในทุกๆเวลาและทุกๆสถานที่นั้น มันขึ้นอยู่กับการอีหม่านและการงานที่ดี ดังที่อัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสไว้ว่า :

ความว่า : แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และบรรดาผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่เป็นคริสเตียนและอัศซอบิอีนนั้น ผู้ใดก็ตามที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และประกอบสิ่งที่ดีแล้ว พวกเขาก็จะได้รับรางวัลของพวกเขา ณ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา

[อัลบะเกาะเราะฮฺ:62]

และอัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสว่า :

ความว่า : และพวกเขากล่าวว่า จะไม่มีใครเข้าสวรรค์เลย นอกจากผู้ที่เป็นยิวหรือเป็นคริสเตียนเท่านั้น นั่นคือความเพ้อฝันของพวกเขา จงกล่าวเถิด(มุฮัดมัด)ว่า พวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมาหากพวกท่านเป็นผู้สัจจริง - หาใช่เช่นนั้นไม่ ผู้ใดที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮฺและขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทำความดีแล้วไซร้ เขาจะได้รับรางวัลของเขา ณ ที่พระเจ้าของเขา

[อัลบะเกาะเราะฮฺ:111/112]

และอัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสไว้อีกว่า :

ความว่า : และผู้ใดเล่าจะมีศาสนา ดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮฺ และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำดี และปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีม

[อันนิซาอฺ:125]

ดังนั้นจึงไม่สมควรสำหรับผู้ใดก็ตามที่เมื่อเขาจะดูว่าใครมีความประเสริฐ เขาก็จะไปพิจารณาที่ความประเสริฐของพื้นที่ แต่ให้เขามอบสิทธิแก่เจ้าของ การที่จะพิจารณาถึงความประเสริฐของใครนั้น ให้ดูที่อีหม่าน การงานที่ดีและคำพูดที่ดีของเขา

และเมื่อกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้ถูกยกย่องให้เกียรติเหนือกว่ากลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นการให้ความประเสริฐยกย่องเหนือกว่าเป็นรายบุคคล ดังเช่นการให้ความประเสริฐต่อยุคศตวรรษที่สองเหนือกว่ายุคศตวรรษที่สาม และดังเช่นการให้ความประเสริฐแก่คนอาหรับเหนือกว่าคนที่ไม่ใช่อาหรับ และดังเช่นการให้ความประเสริฐแก่เผ่ากุเรชเหนือกว่าเผ่าอื่นๆ ดังนั้นสิ่งนี้อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด" ...จบคำพูดของชัยคุลอิสลาม..

[مجموع الفتاوى (٤٥/٢٥-٤٧)]

ประเด็นที่ 2

ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงไม่เป็นที่อนุญาตให้เข้าใจหะดีษดังกล่าวว่าเป็นการตำหนิชาวเมืองนัจญดฺทั้งหมดในหน้าประวัติศาสตร์ มิหนำซ้ำในหะดีษนี้ก็ไม่ได้มีการตำหนิเมืองนัจญดฺอย่างสิ้นเชิง แต่ที่จริงแล้วการตำหนิและการให้ออกห่างจากเมืองนัจญดฺที่ถูกระบุไว้ในหะดีษนี้มันมีข้อจำกัดคือเมื่อมีฟิตนะฮฺและความชั่วร้ายต่างๆ มันไม่ได้บ่งชี้ถึงว่ามีการตำหนิและสั่งใช้ให้ออกห่างจากเมืองนัจญดฺในทุกยุคทุกสมัยโดยไม่มีการยกเว้นช่วงเวลาใด เพราะมันอาจจะมีประภาคารแห่งความรู้ ทางนำ ความประเสริฐและความดีงามเกิดขึ้นยุคสมัยใดยุคสมัยหนึ่งก็ได้

ท่านเชคอับดุรเราะหฺมาน อิบนุฮะซัน ได้กล่าวว่า:

"อย่างไรก็ตาม การตำหนินั้นที่จริงแล้วมันจะเกิดขึ้นกับสภาพหนึ่งโดยไม่เกิดขึ้นในอีกสภาพหนึ่ง และมันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งโดยไม่เกิดขึ้นกับอีกช่วงเวลาหนึ่ง กล่าวคือมันขึ้นอยู่กับสภาพของผู้อยู่อาศัย เพราะว่าแท้ที่จริงแล้วนั้นการตำหนิมันขึ้นอยู่กับสภาพไม่ใช่สถานที่ ถึงแม้ว่าสถานที่หลายๆแห่งนั้นมันจะมีความประเสริฐมากน้อยต่างกันไป แต่มันก็อาจจะเกิดการหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปในสถานที่ต่างๆเหล่านั้น เพราะแท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงสับเปลี่ยนหมุนเวียนในหมู่สิ่งถูกสร้างของพระองค์ แม้กระทั่งในพื้นที่ต่างๆ ดังนั้นสถานที่แห่งมะอฺศิยัตในช่วงเวลาหนึ่งนั้นมันอาจกลายเป็นสถานที่แห่งการฏออัตในอีกช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ และในทางกลับกัน สถานที่แห่งการฏออัตในช่วงเวลาหนึ่งนั้นมันอาจกลายเป็นสถานที่แห่งมะอฺศิยัตในอีกช่วงเวลาหนึ่ง"

[مجموعة الرسائل والمسائل (4/265)]

ประเด็นที่ 3

ไม่ได้มีปรากฎในถ้อยคำของตัวหะดีษที่ระบุถึงการตำหนิชาวเมืองนัจญดฺและผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั้น แต่ทว่าในหะดีษนี้เป็นการบอกถึงฟิตนะฮฺและความชั่วร้ายต่างๆที่จะเกิดขึ้นและออกมาจากเมืองนั้น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นการตำหนิผู้ที่อาศัยในเมืองนั้นอย่างสิ้นเชิงโดยไม่มีข้อยกเว้น

ได้มีการบอกถึงการเกิดขึ้นของฟิตนะฮฺต่างๆในเมืองมะดีนะฮฺมุเนาวะเราะฮฺไว้ในหะดีษของท่านนบีﷺ ดังเช่นที่ท่านนบีﷺได้กล่าวกับบรรศอฮาบะฮฺของท่านว่า :

"แท้จริงฉันได้เห็นจุดต่างๆที่เกิดฟิตนะฮฺที่มันอยู่ในระหว่างบ้านเรือนของพวกท่าน(มันมากมาย)ดั่งจุดต่างๆที่ฝนตก"

[บันทึกโดยท่านอิมามบุคอรีและท่านอิมามมุสลิม]

และไม่เป็นที่อนุญาตให้เข้าใจจากหะดีษดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการตำหนิใดๆแก่ชาวเมืองมะดีนะฮฺมุเนาวะเราะฮฺ

ท่านเชคมุฮัมมัดบะชีร อัซซะฮฺซะวานียฺ อัลฮินดียฺ رحمه الله (เสียชีวิตปีฮ.ศ.1326) ได้กล่าวว่า :

"และหะดีษบทต่างๆเหล่านี้ และหะดีษอื่นๆที่ถูกระบุไว้ในหมวดนี้ เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของฟิตนะฮฺต่างๆในเมืองมะดีนะฮฺมุเนาวะเราะฮฺ ดังนั้นหากว่าการที่ฟิตนะฮฺเกิดขึ้นในสถานที่หนึ่งสถานที่ใดแล้วมันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงว่ามันจะต้องเป็นการตำหนิผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนั้น มันก็จำเป็นที่จะต้องตำหนิชาวเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมดทุกคน แต่ทว่าไม่มีผู้ใดกล่าวอย่างนี้สักคน ทั้งๆที่มักกะฮฺและมะดีนะฮฺนั้นเคยเป็นเมืองแห่งชิริกและกุฟรฺในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วฟิตนะฮฺใดเล่าที่มันจะร้ายแรงกว่าชิริกและกุฟรฺ แต่ทว่ามันไม่มีเมืองหรือหมู่บ้านใดๆเลยที่มันไม่เคยเป็นหรือไม่ได้กลายเป็นสถานที่แห่งฟิตนะฮฺ ในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วเหตุไฉนมุอฺมินคนหนึ่งถึงกล้าตำหนิมุสลิมทั้งหมดในดุนยานี้ ? แต่ที่จริงแล้วการตำหนิบุคคลแบบเจาะจงตัวนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับการที่เขาเป็นต้นเหตุแห่งฟิตนะฮฺ ไม่ว่าจะเป็นกุฟรฺ ชิริกและบิดอะฮฺทั้งหลาย"

[صيانة الإنسان عن وسوسة الشيخ دحلان (ص500)]

ดังนั้นเป้าประสงค์ของหะดีษนี้คือการบอกถึงฟิตนะฮฺและการทดสอบที่ใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นในแคว้นนัจญดฺในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ และชาวเมืองนั้นจะตกเป็นเหยื่อของฟิตนะฮฺ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าชาวเมืองทุกคนนั้นจะเป็นผู้ที่กระทำและปลุกปั่นให้เกิดฟิตนะฮฺ และผู้ใดที่เข้าใจหะดีษอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเขานั้นได้ทำชั่วและอธรรม

ท่านเชคอัล-อัลบานียฺ رحمه الله กล่าวว่า :

"และพวกเขาก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่า การที่ชายคนหนึ่งมาจากเมืองบางเมืองที่ถูกตำหนินั้น มันก็ไม่ได้ส่งผลให้เขาต้องถูกตำหนิเหมือนกันกับเมืองนั้นถ้าหากว่าเขาเป็นคนดี และมันก็เช่นเดียวกันในทางตรงกันข้าม มันมีคนฝ่าฝืนและคนชั่วช้ามากน้อยเท่าไหร่ล่ะในมักกะฮฺ มะดีนะฮฺและชาม และมันมีผู้รู้และคนดีมากน้อยเท่าไหร่ล่ะในอิรัก และคำพูดของท่านซัลมาน อัลฟาริซียฺที่ได้กล่าวแก่อบุดดัรดาอฺช่างคมคายเสียนี่กะไร ในขณะที่เขาได้เชิญชวนท่านให้อพยพจากอิรักไปสู่ดินแดนชาม(โดยกล่าวว่า) : อัมมาบะอฺด , แท้จริงแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทำให้ผู้ใดสะอาดบริสุทธิ์ได้ แต่ที่จริงแล้วมนุษย์จะถูกทำให้สะอาดบริสุทธิ์ก็ด้วยกับการงานของเขาเอง"

[السلسلة الصحيحة (305/5)]

ประเด็นที่ 4

บรรดาอุลามาอฺในยุคแรกได้อรรถธาธิบายหะดีษนี้ไว้แล้ว และพวกเขาได้กล่าวว่าเป้าหมายของฟิตนะฮฺต่างๆที่ท่านนบีﷺได้บอกเกี่ยวกับมันนั้น คือฟิตนะฮฺของมุซัยละมะฮฺจอมโกหก ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นนบี และความชั่วร้ายที่เขาได้นำมันมา และบรรดานักพยากรณ์ทั้งหลายที่ติดตามเขา

ท่านอิหม่ามอัล-ฮาฟิซ อิบนุฮิบบานได้กล่าวไว้หลังจากที่ท่านได้รายงานหะดีษของท่านอับดุลลอฮฺอิบนุอุมัร ว่าท่านได้กล่าวว่า :

"หลังจากนั้นฉันก็เห็นท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺﷺชี้ไปทางทิศตะวันออก และท่านก็ได้กล่าวว่า :

"แท้จริงฟิตนะฮฺมันอยู่ที่นี่ แท้จริงฟิตนะฮฺมันอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นที่ที่เขาของชัยฏอนจะโผล่ขึ้นมา"

ท่านอบูฮาติม رحمه الله ได้กล่าวว่า : ทางตะวันออกของมะดีนะฮฺนั้นคืออัลบะหฺรอยนฺ และมุซัยละมะฮฺก็มาจากที่นั้น และการปรากฎตัวของเขานั้นคือ เหตุการณ์ร้ายแรงแรกที่เกิดขึ้นในอิสลาม

[الإحسان بترتيب صحيح ابن حبان (15/24)]

และดังที่ผู้รู้บางท่านได้อรรถธาธิบายไว้มันไว้อีกเช่นกันว่ามันคือฟิตนะฮฺต่างๆที่จะเกิดขึ้นที่อิรัก เพราะว่าอิรักนั้นมันก็ถือว่าอยู่ทางทิศตะวันออกของคนที่อยู่ในฮิญาซเหมือนกัน และเช่นเดียวกันในอิรักนั้นมันก็มี"นัจญดฺ" เพราะว่าทุกๆพื้นที่ที่มันสูงขึ้นเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆนั้น มันจะถูกเรียกว่า "นัจญดฺ" และศ่อฮาบะฮฺบางท่านก็มีความเข้าใจในหะดีษนี้ว่ามันหมายรวมถึงที่ที่อิรักด้วย

มีรายงานว่าท่านซาลิม อิบนุ อับดิ้ลลาฮฺ อิบนุ อุมัร ท่านได้กล่าวว่า :

"โอ้ชนชาวอิรักทั้งหลาย ! ไฉนพวกท่านนั้นถึงถามกันมากมายเกี่ยวกับบาปเล็กๆ ทั้งที่ๆพวกท่านนั้นก็ทำบาปใหญ่กันมากมายเหลือเกิน! ฉันได้ยินท่านอบูอับดิลลาฮฺ อิบนุอุมัรกล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺﷺกล่าวว่า : แท้จริงฟิตนะฮฺนั้นจะมาจากทางนี้ (และท่านก็ใช้มือชี้ไปทางทิศตะวันออก) โดยที่เขาทั้งสองของชัยฏอนจะโผล่ขึ้นที่นั่น และพวกท่านก็จะเข่นฆ่ากันเอง"

[บันทึกโดยท่านอิมามมุสลิม]

ดังนั้นหะดีษนี้จึงกินความรวมทุกๆ "นัจญดฺ" : ซึ่งก็คือที่ที่สูงขึ้นจากผืนดิน เมื่อเทียบกับแคว้นฮิญาซ ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของแคว้นนั้น ดังนั้นมันจึงกินความรวมทั้ง "นัจญดฺ"ของฮิญาซ และ"นัจญดฺ"ของอิรัก

ท่านอิหม่ามชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ رحمه الله ได้กล่าวว่า :

"นี่คือสิ่งที่ชาวเมืองมะดีนะฮฺมุเนาวะเราะฮฺพูดกันในช่วงเวลานั้น พวกเขาจะเรียกชาวนัจญดฺและชาวอิรักว่า "ชาวตะวันออก"

[مجموع الفتاوى (41-42/27)]

ท่านอิมามอัลฮาฟิซ อิบนุหะญัร رحمه الله ได้กล่าวว่า :

"ชาวตะวันออกในช่วงเวลานั้นเป็นชาวกุฟรฺ ดังนั้นท่านนบีﷺจึงได้บอกว่าฟิตนะฮฺจะเกิดจากพื้นที่นั้น แล้วมันก็เป็นไปตามที่ท่านบอก และฟิตนะฮฺแรกนั้นมันมาจากทางตะวันออก และมันก็เป็นสาเหตุแห่งความแตกแยกระหว่างบรรดามุสลิม และมันก็เป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ชัยฏอนรักและปีตียินดี และเช่นเดียวกัน บิดอะฮฺต่างๆนั้นก็มาจากทางทิศนั้น
และท่านอัลค็อฏฏอบียฺได้กล่าวว่า : "นัจญดฺ" อยู่ทางทิศตะวันออก และผู้ที่อยู่ที่มะดีนะฮฺ "นัจญดฺ"ของเขาก็คือทะเลทรายและพื้นที่ต่างๆของอิรัก และมันก็คือทิศตะวันออกของชาวมะดีนะฮฺ และรากศัพท์เดิมของ "นัจญดฺ" นั้นคือ ผืนดินที่มันสูงขึ้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ อัลเฆาวรฺ (الغور) ซึ่งมันคือผืนดินที่มันต่ำลง และติฮามะฮฺ(تهامة พื้นที่ราบลุ่มระหว่างชายฝั่งและภูเขา)ทั้งหมดนั้น มันก็คือ อัลเฆาวรฺ และมักกะฮฺนั้นคือติฮามะฮฺ...(จบคำพูดของท่านอัลค็อฏฏอบียฺ)

ท่านอัดดาวุดียฺกล่าวว่า : แท้จริง "นัจญดฺ" ก็เป็นส่วนหนึ่งจากพื้นที่ของอิรัก และมันได้มีการคิดทึกทักไปเองว่า "นัจญดฺ"นั้นเป็นสถานที่เฉพาะ แต่ว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น แต่ทว่าทุกๆสิ่งที่สูงกว่าสิ่งที่อยู่ข้างๆมัน สิ่งที่สูงขึ้นมานั้นก็จะถูกเรียกว่า "นัจญดฺ" ส่วนที่ต่ำลงไปเรียกว่า "เฆาวรฺ"

[فتح الباري (47/13)]

นักปราชญ์แห่งอิรัก มะหฺมูดชุกรียฺอัลอาลูซียฺ ได้กล่าวถึงประเทศอิรักของเขาไว้ว่า :

"และไม่ต้องแปลกใจ เพราะประเทศอิรักนั้นเป็นต้นกำเนิดและศูนย์รวมของทุกๆความหายนะและความเจ็บปวด และบรรดามุสลิมนั้นก็ยังคงได้รับความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่าจากอิรัก ดังนั้นชาวฮะรูรออฺและสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้กับอิสลามมันก็ชัดเจน และฟิตนะฮฺของพวกญะฮฺมียะฮฺพวกที่ชาวสะลัฟจำนวนมากได้ขับพวกเขาออกจากอิสลาม ที่จริงแล้วพวกเขานั้น
ได้ปรากฏตัวขึ้นที่อิรัก และพวกมั๊วอฺตะซิละฮฺและสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้กับฮะซันอัลบัศรียฺที่ได้มีรายงานกันมาอย่างมากมายนั้น... แท้ที่จริงแล้วพวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่เมืองบัศเราะฮฺ ต่อมาก็พวกรอฟิเฎาะฮฺและชีอะฮฺและความเลยเถิดของพวกเขาที่มีต่ออะหฺลุลบัยตฺ และคำพูดที่มีความร้ายแรงเลยเถิดในตัวท่านอลีและบรรดาอิมามทั้งหมด และการด่าทอบรรดาศ่อฮาบะฮฺรุ่นอาวุโส.. ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นที่รู้กันอย่างแพร่หลาย

[غاية الأماني (148/2)]

และท่านเชคฮะกีม มุฮัมมัดอัชรอฟ ซินดฺฮู رحمه الله ท่านมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ชี้แจงสิ่งที่เราได้บอกไว้ ในหัวข้อ "การชี้แจงที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการอรรถธาธิบายหะดีษ : "นัจญด์ เขาของชัยฏอน" และหนังสือเล่มนี้ก็ถูกตีพิมพ์แล้ว โดยที่ท่านเชคอับดุลกอดิร อิบนุฮะบีบุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวคำนำให้กับหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า :

"และสถานที่ที่ถูกเจาะจงโดยพวกโง่เขลาและหลงผิดในปัจจุบันนี้(หมายถึงเมืองนัจญดฺที่อยู่ประเทศซาอุดี้) ไม่มีสะลัฟหรือแม้กระทั่งค่อลัฟคนใดได้กล่าวมันไว้เลย เว้นแต่หลังจากการปรากฏขึ้นของการดะอฺวะฮฺของท่านชัยคุลอิสลาม มุฮัมมัดอิบนุอับดิ้ลวะฮฺฮาบ رحمه الله ซึ่งเป็นการดะอฺวะฮฺที่เป็นการฟื้นฟูศาสนาที่เที่ยงแท้ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้มีความเข้าใจในอะกีดะฮฺนี้ที่ถูกต้อง หรือพวกเขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่สนใจอะกีดะฮฺที่ถูกต้องนี้ และพวกเขาก็ไม่เคยได้รู้ถึงประวัติศาสตร์อิสลามที่ถูกต้องที่มันจะชี้ให้พวกเขาได้เห็นถึงฟิตนะฮฺที่ใหญ่หลวงที่มันได้ปรากฏขึ้นยังชัดเจนแจ่มแจ้งที่เมืองนัจญดฺที่แท้จริงนั้น

ประเด็นที่ 5

และผู้คนจำนวนมากได้ผิดพลาดเมื่อพวกเขาได้คิดไปเองว่าเป้าหมายของคำว่า "เขาของชัยฏอน" นั้นมันหมายถึงบุคคลคนหนึ่งแบบเจาะจงตัว เพราะว่าเป้าหมายของมันนั้นหมายถึงตำแหน่งที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและสิ่งที่เกิดขึ้นกับมัน เพราะแท้จริงท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :

"แท้จริงมัน(ดวงอาทิตย์)จะขึ้นที่ระหว่างเขาทั้งสองของชัยฏอน"

[บันทึกโดยท่านอิมามบุคอรีและท่านอิมามมุสลิม]

และหลักฐานในเรื่องดังกล่าวนี้นั้น คือรายงานของท่านอิมามบุคอรีที่ว่า : ท่านนบีﷺได้กล่าวว่า : "ฟิตนะฮฺอยู่ตรงนี้ ฟิตนะฮฺอยู่ตรงนี้ โดยที่เขาของชัยฏอนจะขึ้นที่ตรงนี้ หรือท่านนบีกล่าวว่า ส่วนแรกที่โผล่ขึ้นมาของดวงอาทิตย์ในขณะที่มันขึ้น" และความสงสัยนั้นมาจากผู้รายงาน

ท่านอิมามอัลฮาฟิซ อิบนุหะญัร ได้กล่าวว่า :

"และส่วนคำพูดของท่านที่ว่า : "กอรนุชชัมสฺ"(قرن الشمس ส่วนแรกที่โผล่ขึ้นมาของดวงอาทิตย์ในขณะที่มันขึ้น) ท่านอัดดาวุดียฺได้กล่าวว่า : สำหรับดวงอาทิตย์นั้นมันมี"กอรนฺ"จริงๆ และเป็นไปได้ว่าเป้าหมายของคำว่า "กอรฺน"นั้นหมายถึงพลังอำนาจของชัยฏอน และสิ่งที่มันใช้เพื่อล่อลวงทำให้ผู้คนหลงผิด และการให้ความหมายแบบนี้นั้นเป็นที่แพร่หลายมากที่สุด และมีผู้กล่าวว่า แท้จริงชัยฏอนมันจะเอาหัวของมันไปอยู่คู่กับดวงอาทิตย์ในขณะที่ดวงอาทิตย์ขึ้น เพื่อที่ผู้ที่สักการะบูชาดวงอาทิตย์จะได้สุญูดต่อมัน และเป็นไปได้ว่าที่ดวงอาทิตย์มันจะมีชัยฏอนตัวหนึ่ง ซึ่งดวงอาทิตย์ก็จะขึ้นระหว่างเขาทั้งสองของมัน

ประเด็นที่ 6

แล้วหลังจากนี้ยังจะมีคำกล่าวอ้างอะไรเหลืออยู่อีกไหม สำหรับผู้ที่ยกหะดีษนี้มาอ้างเป็นหลักฐานในการตำหนิท่านเชคมุฮัมมัด อิบนุอับดิ้ลวะฮฺฮาบ رحمه الله และอ้างมันเป็นหลักฐานในการตำหนิการดะอฺวะฮฺที่เป็นการฟื้นฟูศาสนาของท่าน!!??

แล้วหลักฐานอะไรอีกเล่าที่พวกที่มีเจตนาร้ายบางคน(พวกซูฟีสุดโต่งและพวกรอฟิเฎาะฮฺ)จะใช้เป็นตัวกำหนดเป้าหมายของหะดีษของท่านนบีﷺว่าหมายถึงการตำหนิหนึ่งในอุลามาอฺที่สุดโด่งดังของบรรดามุสลิม และหนึ่งในนักดาอียฺแห่งการฟื้นฟูแก้ไขที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งในยุคหลัง และผู้ที่แบกรับภาระหน้าที่ในการเชิญชวนไปสู่เตาฮีดทั้งด้านความรู้และการปฏิบัติ และบรรดาผู้รู้ก็ได้นับว่าท่านนั้นเป็นมุญัดดิด(ผู้ฟื้นฟู)แห่งยุคนั้น!!??

แบบนี้นะหรือที่หะดีษของท่านนบีจะถูกอธิบายด้วยอารมณ์และความปราถนา !

และแบบนี้นะหรือที่หะดีษของท่านนบีﷺจะถูกบิดเบือนไปเพื่อสนองต่ออุดมการณ์ทางแนวคิดและกลุ่มก๊ก!!??

ที่มา : https://islamqa.info/ar/99569

แปลเเละเรียบเรียง / อิสลามตามแบบฉบับ 
ดูน้อยลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น