วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

#ร่องรอยที่เกิดจากการสุญูด


✍️ ชัยค์ มุฮัมหมัด บิน ศอลิห์ อัลอุษัยมีน รอหิมาฮุลลอฮ์ กล่าวว่า :

"มันไม่ใช่เครื่องของคนดี
เเต่เครื่องหมายของคนดีมันคือรัศมีบนใบหน้า เเละความใจกว้าง เเละมารยาทที่ดีงาม เเละอื่นๆต่างหาก
เเต่ร่องรอยที่เกิดจากการสุญูดบนใบหน้านั้น มันอาจจะเกิดขึ้นบนใบหน้าของคนที่ละหมาดฟัรฎูเพียงอย่างเดียวก็ได้ เนื่องจากเขาเป็นคนผิวบาง
เเละมันอาจจะไม่เกิดขึ้นบนใบหน้าของคนที่ละหมาดเยอะ เเละสุญูดยาวนานก็เป็นไปได้"
📚 มัจมั๊วะฟ่าตาวา : เล่มที่ 13

อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ตรัสว่า:

...سِيمَاهُمْ فِي وُجُوهِهِم مِّنْ أَثَرِ‌ السُّجُودِ...

ความว่า: "...เครื่องหมายของพวกเขาอยู่บนใบหน้าของพวกเขา เนื่องจากร่องรอยแห่งการสุญูด..." (อัล-ฟัตหฺ: 29)

ท่านมุญาฮิด (ตาบิอีน - เราะหิมะฮุลลอฮฺ) ได้กล่าวว่า: มันหมายถึง คุชูอฺ(الخشوع) และนอบน้อม(التواضع)

อิบนุ อะบียฺ ฮาติม (ตาบิต-ตาบิอีน - เราะหิมะฮุลลอฮฺ) ได้กล่าวว่า: พ่อของฉัน(อิม่าม อะบู ฮาติม อัร-รอซียฺ)ได้บอกพวกเราว่า: อะลียฺ อิบนุ มุหัมมัด อัต-ตะนาฟุซียฺ ได้บอกพวกเราว่า: หุซัยนฺ อัล-ญะอฺฟียฺ ได้บอกพวกเรา จากซาอิดะฮฺ จากมันศูรฺ จากมุญาฮิด ว่า:

سِيمَاهُمْ فِي وُجُوهِهِم مِّنْ أَثَرِ‌ السُّجُودِ

ความว่า: "...เครื่องหมายของพวกเขาอยู่บนใบหน้าของพวกเขา เนื่องจากร่องรอยแห่งการสุญูด..."

เขา(มุญาฮิด)บอกว่า: "หมายถึง คุชูอฺ"

ฉัน(อะบู ฮาติม) ได้กล่าวว่า: "ฉันคิดถึงความหมายของเครื่องหมายบนใบหน้าอยู่บ่อยๆ"

แล้วเขา(มุญาฮิด)ก็กล่าวว่า:

ربما كان بين عيني من هو أقسى قلبا من فرعون

"มันอาจจะปรากฏ(รอยดำ)ระหว่างสองลูกตา ของผู้ที่หัวใจแข็งกระด้างยิ่งกว่าฟาโรห์"

ที่มา: ตัฟสีร อิบนุ กะษีร






ท่านมุญาฮิด พูดถึงชาวบิดอะฮฺ ที่พวกเขาละหมาด สุญูด กันอย่างมากมาย จนหน้าผากดำด้าน แต่หัวใจกลับแข็งกระด้างดื้อดึงต่อสัจธรรม ยิ่งเสียกว่าที่ฟิรอูนดื้อเสียอีก ซึ่งกลุ่มบิดอะฮฺที่ท่านมุญาฮิดพูดถึงนั้น ก็คือพวกคอวาริจญ์ ที่ละหมาดมาก สุญูดมาก อ่านกุรอ่านมาก แต่กลับมีจิตใจที่ชั่วร้าย เข่นฆ่ามุสลิมกันเอง และดื้อดึงต่อสัจธรรม ทั้งๆที่ท่านอิบนุ อับบาส เดินทางไปชี้นำด้วยตนเอง แต่พวกเขาก็ยังปฏิเสธสัจธรรม ทั้งยังตัดสิน 1 ใน 10 คนที่ได้รับการยืนยันว่าเข้าสวรรค์อย่างท่านอาลี กลับบอกว่าท่านอาลีเป็นชาวนรก เนื่องมาจาก 3 สาเหตุ 1)ในสงครามศิฟฟิน ไม่ตัดสินด้วยกับอัลกุรอ่าน แต่กลับส่งคนมาเจรจากับมุอาวียะฮฺ 2)ในสงครามญะมัล ไม่ยึดทรัพย์สงครามและจับเชลย 3)ท่านอาลีไม่ยอมเรียกขานตัวเองว่า "อะมีรุลมุอฺมินีน" และผลสุดท้ายพวกคอวาริจญ์ คือ อับดุลลอฮฺ อิบนุ มุลญัม ก็ได้สังหารท่านอาลี ร.ฎ.

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

กรณีพิพาทระหว่างท่านคอลีฟะฮฺ อะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ) และท่านมุอาวียะฮฺ อิบนุ อบีสุฟยาน (ร.ฎ) / อาลี เสือสมิง


กรณีพิพาทระหว่างท่านคอลีฟะฮฺ อะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ) และท่านมุอาวียะฮฺ อิบนุ อบีสุฟยาน (ร.ฎ)




الحمدلله والصلاة والسلام على رسول الله وعلى آله وصحبه أجمعين وبعد

ช่วงการปกครองระบอบคิลาฟะฮฺ ภายหลังท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) นับแต่ปี ฮ.ศ. 11 – ฮ.ศ. 40 ซึ่งกินระยะเวลา 30 ปี ตามที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) เคยระบุไว้ในสุนนะฮฺของท่านในหมวดดะลาอิลุ้ลนุบูวะฮฺ มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น เช่น

การดำรงตำแหน่งของเคาะลีฟะฮฺอบูบักร อัศศิดดีก (ร.ฎ.) การทำสงครามกับอะฮฺลุรฺริดดะฮฺ การดำรงตำแหน่งของเคาะลีฟะฮฺ อุมัร อัลฟารูก (ร.ฎ.) สมรภูมิ อัลกอดิสียะฮฺ อันเป็นความปราชัยของจักรวรรดิเปอร์เซีย, สมรภูมิอัล-ยัรมูก, อันเป็นความปราชัยของจักรวรรดิไบเซนไทน์, การพิชิตนครอัล-กุดสฺ , การลอบสังหารท่านเคาะลีฟะฮฺ อุมัร อัล-ฟารูก (ร.ฎ.) ในปีฮ.ศ. 23 / ค.ศ.644,





การดำรงตำแหน่งของเคาะลีฟะฮฺ อุษมาน ซุนนูรอยนฺ (ร.ฎ.), การพิชิตแอฟริกาเหนือ, การรวบรวม กิรออะฮฺของอัล-กุรอาน, การลอบสังหาร เคาะลีฟะฮฺ อุษมาน (ร.ฎ.) ในปีฮ.ศ. 35/ ค.ศ. 656 , การดำรงตำแหน่งของเคาะลีฟะฮฺ อาลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.), สมรภูมิอูฐ ปีฮ.ศ.36 / ค.ศ.656 ,สมรภูมิศิฟฟีน ปี ฮ.ศ. 37 / ค.ศ. 657, การตัดสินข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ (อัต-ตะหฺกีม) และการลอบสังหารท่านเคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.) ปีฮ.ศ.40 / ค.ศ. 661 เป็นต้น



ดูเหมือนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงการดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺของท่านอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ (ร.ฎ.) นั้น จะเป็นช่วงวิกฤตที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์ยุคต้นอิสลามซึ่งเป็นผลพวงมาจากความวุ่นวายในช่วงปลายสมัยของเคาะลีฟะฮฺ อุษมาน อิบนุ อัฟฟาน (ร.ฎ.) และเป็นจุดเริ่มต้นอย่างชัดเจนของประดาปัญหาทั้งปวงตลอดสมัยการเป็นเคาะลีฟะฮฺของท่าน อะลี (ร.ฏ.) เพราะก่อนหน้านั้นรัฐอิสลามในระบอบคิลาฟะฮฺ มิได้มีปัญหาภายในที่รุนแรงเฉกเช่นในสมัยของเคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.)



บรรดาเศาะหาบะฮฺก่อนหน้านั้น ตลอดจนประชาคมมุสลิมในรุ่นตาบีอีนยังคงรักษาเสถียรภาพและความเป็นปึกแผ่นของรัฐอิสลามแห่งนครมะดีนะฮฺเอาไว้อย่างมั่นคง แต่สถานการณ์ได้แปรเปลี่ยนไปภายหลังการลอบสังหารเคาะลีฟะฮฺ อุษมาน (ร.ฎ.) การเข้ามาของท่านอะลี (ร.ฎ.) ในฐานะ เคาะลีฟะฮฺ ในช่วงเวลานั้น ( ฮ.ศ. 35 – ฮ.ศ. 40) จึงถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวดในการสืบสานภารกิจของเหล่าเคาะลีฟะฮฺก่อนหน้าท่าน



สถานการณ์ที่อืมครึมและสุ่มเสี่ยงย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญที่เคาะลีฟะฮฺ อะลี (ร.ฎ.) ต้องเผชิญกับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าการดำรงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺของท่านอะลี (ร.ฎ.) ในเวลานั้น จะชอบด้วยหลักนิติธรรมอิสลาม ว่าด้วยรัฐศาสตร์การปกครองและในเวลานั้นไม่มีเศาะหาบะฮฺท่านใดจะมีความเหมาะสมยิ่งไปกว่าท่านอะลี (ร.ฎ.) ในการเป็นเคาะลีฟะฮฺอีกแล้วก็ตาม



แต่ดูเหมือนว่า สถานการณ์มิได้เป็นใจแก่ท่านอย่างที่ควรจะเป็น มีข้อจำกัดมากมายและซับซ้อนซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของท่านเคาะลีฟะฮฺ และเป็นผลพวงมาจากเหตุการณ์ที่ท่านเคาะลีฟะฮฺ มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมันแต่อย่างใดเลย หากแต่ท่านเคาะลีฟะฮฺกลับต้องรับ ผลพวงเหล่านั้นโดยตรง ผลพวงที่ว่านี้ก็คือ การสังหารท่านเคาะลีฟะฮฺ อุษมาน อิบนุอัฟฟาน (ร.ฎ.) ซึ่งกลายเป็นข้อเรียกร้องสำคัญของเศาะหาบะฮฺบางส่วน ในการนำเอาผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีความและกิศอศตามโทษานุโทษที่ก่อเอาไว้ จริงๆแล้ว บรรดาเศาะหาบะฮฺในขณะนั้นมีความเห็นในเรื่องนี้ต่างกัน



ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า สิ่งแรกที่ประชาคมมุสลิมโดยการนำของ เคาะลีฟะฮฺต้องดำเนินการก็คือ การกิศอศผู้กระทำผิด



ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า เสถียรภาพและความเป็นปึกแผ่นคือสิ่งที่สมควรยิ่งกว่า และจำต้องอดทนรอจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายแล้วค่อยดำเนินการเอาผิดกับเหล่าอาชญากรให้ถึงที่สุด



ฝ่ายที่สามเห็นว่า การที่เคาะลีฟะฮฺ อุษมาน (ร.ฎ.) ต้องทนแบกรับการปิดล้อมที่อธรรมนั้นก็เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งชีวิตของผู้คน และมิให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายมากไปกว่านั้น จึงเป็นเรื่องสมควรสำหรับบุคคลในขณะนั้นที่ต้องสงวนท่าทีไม่เข้าร่วมกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่มีความเห็นต่างกัน โดยถือเอาบรรดา อัล-หะดีษ ที่ระบุห้ามจากการสู้รบในยามที่เกิดฟิตนะฮฺ เป็นสรณะ (ดูรายละเอียดเรื่องนี้ใน “ชัรหุ เศาะฮีหฺ มุสลิม” ; อัน-นะวาวียฺ เล่มที่ 15 หน้า 149 )



สิ่งที่รับรู้และเห็นพ้องกันในหมู่นักรายงานและนักประวัติศาสตร์ก็คือ การพิพาทระหว่างท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) กับท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ก็เหมือนกับการพิพาทระหว่างท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) ฝ่ายหนึ่งกับท่านฏอลหะฮฺ (ร.ฎ.), ท่านอัซซุบัยรฺ (ร.ฎ.) และท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฏ.) อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งสาเหตุของการพิพาทเกิดจากการเรียกร้องให้มีการกิศอศเหล่าทรชนที่สังหารท่านเคาะลีฟะฮฺอุษมาน (ร.ฎ.) โดยเร็ว และการที่บุคคลทั้ง 3 ออกไปยังเมืองอัล-บัศเราะฮฺก็มีจุดมุ่งหมายในเรื่องนี้ ( อัฏเฏาะบะรียฺ ; ตารีค อัรรุสุล วัลมุลูก เล่มที่ 4 หน้า 449-450 ตรวจทานโดย มุฮัมมัดอบุลฟัฎลฺ อิบรอฮีม ; ไคโร ดารุลมะอาริฟ พิมพ์ครั้งที่ 4 1979 )



กล่าวได้ว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺ (ร.ฎ.) มีความเห็นตรงกันต่อกรณีการดำเนินคดีกิศอศกับบรรดาผู้ร่วมสังหารท่านเคาะลีฟะฮฺอุษมาน (ร.ฎ.) แต่ความเห็นที่ต่างกันของบรรดาเศาะหาบะฮฺอยู่ในประเด็นที่ว่าควรดำเนินคดีโดยเร็วเสียก่อนหรือควรผัดผ่อนไปก่อนตราบเมื่อสถานการณ์มีความเหมาะสมจึงค่อยดำเนินคดี



ฝ่ายท่านฏอลหะฮฺ อัซซุบัยรฺ , ท่านหญิงอาอิชะฮฺ และท่านมุอาวียะฮฺเห็นว่าต้องเร่งรัดคดีให้ถึงที่สุด บรรดาอาชญากรต้องถูกลงโทษนับแต่เบื้องแรก ในขณะที่เคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) และผู้ที่สนับสนุนท่านเห็นว่าควรประวิงเวลาออกไปก่อน จนกว่าศูนย์อำนาจของเคาะลีฟะฮฺจะมีเสถียรภาพมั่นคง เมื่อสถานการณ์เป็นใจแล้วจึงให้บรรดาทายาทของเคาะลีฟะฮฺอุษมาน (ร.ฎ.) นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีความตามขั้นตอน เพราะบรรดาผู้กระทำผิดมีเป็นจำนวนมาก และเป็นคนของเผ่าต่างๆ



ทั้งนี้หากเร่งรัดการดำเนินคดีกับผู้คนจำนวนมากเหล่านี้ โดยไม่มีการผ่านขั้นตอนวิธีพิจารณาคดีความนับจากการฟ้องร้องของเหล่าทายาทของเคาะลีฟะฮฺอุษมาน (ร.ฎ.) ต่อหน้าเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) การสอบพยานและการตัดสินคดีความด้วยการกิศอศ แน่นอนการดำเนินการที่ไม่ผ่านขั้นตอนดังกล่าวย่อมนำไปสู่มิคสัญญีและความวุ่นวายจากสงครามกลางเมืองที่อาจมีผู้บริสุทธิ์ล้มตายเป็นจำนวนมาก เหตุนี้ความเห็นของท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องและชอบด้วยหลักการมากว่าความเห็นของฝ่ายที่มีเศาะหาบะฮฺทั้ง 4 ท่านเป็นผู้นำในการเรียกร้อง



อย่างไรก็ตามความเห็นของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นความเห็นอันเกิดจากการวิเคราะห์ ( อิจญติฮาด) ซึ่งอาจจะถูกต้องหรือผิดพลาดก็ได้ ดูเหมือนว่า ฝ่ายที่เรียกร้องให้เร่งรัดคดีมีความเชื่อและเข้าใจว่า การสังหารท่านอุษมาน (ร.ฎ.) เป็นความผิดที่ใหญ่หลวง และการขจัดสิ่งที่ผิดมหันต์นั้น เป็นสิ่งที่ผู้มีความสามารถกระทำได้ ในฐานะฟัรฎูกิฟายะฮฺ โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของอิมาม



ซึ่งจริงๆ แล้วการขจัดสิ่งที่ผิดมหันต์นี้ เป็นเรื่องที่ผูกพันอยู่กับหลักการกิศอศกับผู้กระทำผิด ซึ่งต้องได้รับการอนุมัติจากอิมามตลอดจนต้องผ่านกระบวนการฟ้องร้องของทายาทผู้ที่ถูกสังหารเสียก่อน จึงจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุดได้ การดำเนินการกิศอศโดยไม่ผ่านขั้นตอนดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่ไม่อนุญาตให้กระทำตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม ( อัล-กุรฏุบียฺ ; อัล-ญามิอฺ ลิอะหฺกาม อัล-กุรอาน เล่มที่ 2 หน้า 256 )



จึงกล่าวได้ว่าบรรดาฝ่ายที่เรียกร้องต่างก็เป็นผู้วิเคราะห์ (มุจญ์ตะฮิด) เพียงแต่วิเคราะห์พลาดในการตีความ (ตะอฺวีล) รูปคดี และได้รับอานิสงค์ในการวิเคราะห์เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์และท่าทีของท่านฏอลหะฮฺ (ร.ฎ.) และท่านอัซซุบัยรฺ (ร.ฎ.) ในเรื่องนี้มีความใกล้เคียงกับความถูกต้องมากว่าท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ใน 4 ประเด็นด้วยกันคือ



1) บุคคลทั้ง 2 ได้ให้สัตยาบัน (มุบายะอะฮฺ) แก่ท่านอะลี (ร.ฎ.) ด้วยความสมัครใจพร้อมกับยอมรับถึงความประเสริฐของท่านอะลี (ร.ฎ.) – ดู อัล-มุศอนนัฟ ; อิบนุ อะบีชัยบะฮฺ เล่ม15 หน้า271-274 – แต่ท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ยังมิได้ให้สัตยาบันแก่ท่านอะลี (ร.ฎ.) ถึงแม้ว่าท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) จะยอมรับถึงความประเสริฐของท่านอะลี (ร.ฎ.) ก็ตาม (อัฏเฏาะบะรียฺ ; ตารีค อัร-รุสุล เล่มที่4 หน้า 438 )



2 ) สถานภาพอันสูงส่งของบุคคลทั้งสองในอิสลามและในหมู่ประชาคมมุสลิม ส่วนท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ไม่ได้มีสถานภาพเท่าเทียมบุคคลทั้งสอง ซึ่งเป็นกลุ่มเศาะหาบะฮฺรุ่นแรกที่เข้ารับอิสลามและเป็นหนึ่งใน10 บุคคลที่ได้รับแจ้งข่าวดีด้วยสวนสวรรค์ ส่วนท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) เป็นมุสลิมในช่วงการพิชิตนครมักกะฮฺหรือก่อนหน้านั้นเพียงเล็กน้อย



3 ) บุคคลทั้งสองมีเจตจำนงในการสังหารพวกที่ก่อการกบฏต่อท่านอุษมาน (ร.ฎ.) เท่านั้น มิได้ประสงค์จะทำสงครามกับท่านอะลี(ร.ฎ.) และฝ่ายของท่านในสมรภูมิอูฐ แต่เหตุที่มีการปะทะกันเป็นผลมาจากแผนการของกลุ่มอัส-สะบะอียะฮฺ ที่มีอับดุลลอฮฺ อิบนุ สะบะอฺ เป็นผู้นำ ในขณะที่ท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ยืนกรานต่อการสู้รบกับท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) ในสมรภูมิศิฟฟีน ( อัฏ-เฏาะบะรียฺ , ตารีค อัร-รุสุล เล่มที่5 หน้า 242 ; อบูหะนีฟะฮฺ อัด-ดัยนูรียฺ : อัล-อัคบารฺ อัฏ-ฏิวาลฺ หน้า 162 )



4 ) บุคคลทั้งสองมิได้กล่าวหาท่านอะลี (ร.ฎ.) ว่า มีท่าทีรอมชอมในการดำเนินการกิศอศกับเหล่าผู้สังหารท่านอุษมาน (ร.ฎ.) ( อัฏ-เฏาะบะรียฺ อ้างแล้ว เล่มที่ 4 หน้า 454 , 462 และ464 ) ส่วนท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) และฝ่ายของท่านกล่าวหาท่านอะลี (ร.ฎ.) ในเรื่องดังกล่าว ( อ้างแล้วเล่มที่ 4 หน้า 444 , อิบนุ กะษีร : อัล-บิดายะฮฺ เล่มที่ 7 หน้า 259 )



ดังนั้นการที่มีบุคคลกล่าวว่า สิ่งที่ปลุกเร้าให้บุคคลทั้งสองออกไปยังเมืองอัล-บัศเราะฮฺ คือการที่บุคคลทั้งสองมีความทะเยอทะยานในตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ และต้องการปลุกปั่นผู้คนด้วยสิ่งดังกล่าวย่อมเป็นความผิดพลาด และค้านกับข้อเท็จจริง ( อัชชัยคฺ อัล-มุฟีด ซึ่งเป็นชีอะฮฺได้กล่าวหาบุคคลทั้งสองในตำรา กิตาบ อัล-ญะมัล หน้า 61) เพราะบุคคลทั้งสองและท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) มิได้มีความต้องการแย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺจากท่านอะลี (ร.ฎ.) และมิได้เรียกร้องให้กับผู้หนึ่งผู้ใดในการดำรงตำแหน่งแทนท่านอะลี (ร.ฎ.) ทั้งหมดเพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับ ท่านอะลี (ร.ฎ.) ในการประวิงเวลาต่อการดำเนินคดีกับเหล่าผู้สังหารท่านอุษมาน (ร.ฎ.) และละทิ้งการกิศอศเท่านั้น ( อิบนุ หะญัร : อัลฟัตหฺ เล่มที่ 13 หน้า 56 )



ในทำนองเดียวกันมีเรื่องกล่าวขานกันอย่างแพร่หลายนับแต่ยุคอดีตและปัจจุบันว่า การพิพาทระหว่างท่านอะลี (ร.ฎ.) กับท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) มีสาเหตุมาจากการที่ท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) มีความละโมบในตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺ และการที่ท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ก่อการดื้อแพ่งต่อท่านอะลี (ร.ฎ.) และไม่ยอมให้สัตยาบันนั้นมีเหตุมาจากการปลดท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ออกจากตำแหน่งผู้ปกครองแคว้นชาม



(มีรายงานปรากฏในตำรา อัล-อิมามะฮฺ วัสสิยาสะฮฺ ซึ่งอ้างกันว่าเป็นงานเขียนของท่านอิบนุ กุตัยบะฮฺ อัด-ดัยนูรียฺ ระบุว่า ท่านมุอาวียะฮฺได้อ้างการเป็นเคาะลีฟะฮฺ (ดูในตำราเล่มนี้ เล่มที่1 หน้า 113 ดร.อับดุลลอฮฺ อุสัยลานได้วิเคราะห์เอาไว้ในหนังสือของท่านที่ชื่อ “อัล-อิมามะฮฺ วัสสิยาสะฮฺ ฟี มีซาน อัต-ตะหฺกีก อัล-อิลมิยฺ” ด้วยข้อมูลและหลักฐานต่างๆ ยืนยันว่าตำราเล่มนี้มิได้ถูกเขียนโดยท่านอิบนุกุตัยบะฮฺ แต่เป็นตำราที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้อื่น และกล่าวตู่เจือสมว่าเขียนโดยท่านอิบนุกุตัยบะฮฺ ดูรายละเอียดสำคัญในเรื่องนี้จากตะหฺกีก มะวากิฟ อัศเศาะหาบะฮฺ ฟิล ฟิตนะฮฺ ; ดร.มุฮัมมัด อัมหะซูน เล่มที่ 2 หน้า 143-145 สำนักพิมพ์ อัล-เกาษัร. ริยาฎ ,1994 )



แต่ในความเป็นจริงแล้วการขัดแย้งระหว่างท่านอะลี (ร.ฎ.) และมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) นั้นเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับความจำเป็นในการให้สัตยาบันของท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) และผู้ให้การสนับสนุนแก่ท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) ก่อนการดำเนินคดีกิศอศกับบรรดาอาชญากร หรือหลังจากนั้นกันแน่ต่างหาก กล่าวคือ ฝ่ายท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) และพลเมืองแคว้นชามมีความเห็นว่าท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) จะต้องชำระคดีความให้ถึงที่สุดเสียก่อนแล้วพวกเขาก็จะเข้าสู่กระบวนการให้สัตยาบันแก่ท่านเคาะลีฟะฮฺหลังจากนั้น (อัฏ-เฏาะบะรียฺ ; อ้างแล้ว 4/438)



ทั้งนี้เพราะพวกเขาได้กำหนดท่าทีอย่างชัดเจนแล้วนับตั้งแต่วินาทีแรกที่ท่าน อันนุอฺมาน อิบนุ บะชีรฺ (ร.ฎ.) นำเสื้อของท่านอุษมาน (ร.ฎ.) ที่เปื้อนเลือดพร้อมด้วยนิ้วมือของท่านหญิงนาอิละฮฺ ภรรยาของท่านอุษมาน (ร.ฎ.) ไปถึงแคว้นชาม และวางเสื้อตัวนั้นไว้บนมิมบัรในนครดามัสกัสเพื่อให้ผู้คนได้เห็น ตลอดจนแขวนนิ้วมือของท่านหญิงนาอิละฮฺ เอาไว้กับสาบเสื้อตัวนั้น ท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) จึงได้เรียกร้องให้พลเมืองแคว้นชามแก้แค้นให้แก่ท่านอุษมาน (ร.ฎ.) และดำเนินการกิศอศกับเหล่าอาชญากร ซึ่งในการเรียกร้องนี้มีเศาะหาบะฮฺกลุ่มหนึ่งเข้าร่วมกับท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) อีกด้วย ( อัฏ-เฏาะบะรียฺ ; อ้างแล้ว 4/562 , อิบนุ กะษีร ; อัล-บิดายะฮฺ 7/248)



สิ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องนี้ ซึ่งทำให้ข้อกล่าวหาที่มีต่อท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ตกไปคือการเจรจาระหว่างสองฝ่ายในตำบลศิฟฟีน ท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) ได้ส่งท่านบะชีร อิบนุ อบีมัสอูด อัลอันศอรียฺ ไปเจรจากับท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) โดยตรง



ท่านบะชีร ได้กล่าวกับท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ว่า : “ฉันเรียกร้องให้ท่านมีความยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของท่าน และตอบรับลูกลุงของท่านยังสิ่งที่เขาเรียกร้องท่านสู่ความถูกต้อง นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ปลอดภัยยิ่งนักในศาสนาของท่านและดีที่สุดสำหรับท่านในบั้นปลายแห่งการงานของท่าน”



ท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) จึงกล่าวว่า : “และเขา ( หมายถึงท่านอะลี ) จะละทิ้งเลือดของอุษมานกระนั้นหรือ? ไม่! ขอสาบานต่อพระผู้ทรงเมตตา ฉันไม่มีทางกระทำสิ่งนั้นแน่…” ( อัฏ-เฏาะบะรียฺ ; อ้างแล้ว 5/242 ) ยะหฺยา อิบนุ สุลัยมาน อัล-ญุอฺฟียฺ ระบุไว้ในตำรา “กิตาบศิฟฟีน” ด้วยสายรายงานที่ดีจากอบีมุสลิม อัล-เคาลานียฺ ว่า อบูมุสลิมได้กล่าวกับท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.)ว่า : “ท่านจะยื้อแย่งอะลีในตำแหน่งคิลาฟะฮฺหรือว่าท่านเหมือนกับอะลี?



มุอาวียะฮฺกล่าวว่า : “ไม่! แท้จริงฉันย่อมรู้ดีว่าอะลีประเสริฐกว่าฉัน และสมควรที่สุดต่อตำแหน่งนั้น แต่พวกท่านไม่รู้ดอกหรือว่าอุษมานถูกสังหารอย่างอยุติธรรม และฉันเป็นลูกลุงของอุษมาน เป็นทายาทของเขา ฉันจึงเรียกร้องหนี้เลือดของเขา พวกท่านจงไปหาอะลี และจงกล่าวกับเขาว่าให้เขาส่งมอบพวกที่สังหารอุษมานให้แก่เรา” แล้วอบูมุสลิมกับพวกจึงมาหาท่านอะลี และพูดกับเขา อะลีกล่าวว่า : “ให้เขา ( มุอาวียะฮฺ ) เข้าสู่การสัตยาบันสิ ! เขาจะได้ฟ้องร้องคดีพวกนั้นยังฉัน” ทว่ามุอาวียะฮฺไม่ยอม…” ( อิบนุ หะญัร อัลฟัตหฺ เล่มที่ 13 หน้า86 )



อิบนุ มุซาหิม กล่าวไว้ ในตำรา “วักอะฮฺ ศิฟฟีน”ของเขาว่า อบูมุสลิม อัลเคาลานีย์กล่าวกับมุอาวียะฮฺว่า :

“โอ้ มุอาวียะฮฺ! เรารู้มาว่าท่านตั้งใจจะทำศึกกับอะลี อิบนุ อบีฏอลิบ ท่านจะต่อสู้กับอะลีได้อย่างไรกัน ทั้งๆที่ท่านไม่มีสถานภาพอันเก่าก่อน(ในอิสลาม) เหมือนอย่างอะลี ? ”มุอาวียะฮฺกล่าวว่า : “ ใช่ว่าฉันจะกล่าวอ้างว่าฉันเสมอเหมือนด้วยอะลีในความประเสริฐก็หาไม่! แต่ว่าพวกท่านรู้หรือไม่ว่า อุษมานได้ถูกสังหารอย่างอยุติธรรม?”



พวกเขากล่าวว่า : รู้สิ! มุอาวียะฮฺจึงกล่าวว่า : “เช่นนั้นเขาก็จงส่งมอบพวกที่สังหารอุษมานมาให้แก่เราเพื่อที่เราจะได้ยอมมอบเรื่องนี้ (การสัตยาบัน) แก่เขา” ( อิบนุ มุซาหิม : วักอะฮฺ ศิฟฟีน หน้า 97)



อัล-กอฎียฺ อิบนุ อัล-อะรอบียฺ ระบุว่าเหตุที่มีการสู้รบระหว่างพลเมืองชามกับพลเมืองอิรักนั้น กลับไปยังการมีท่าทีที่ต่างกันของทั้งสองฝ่าย พวกพลเมืองอิรักเรียกร้องให้มีการสัตยาบันต่อท่านอะลี (ร.ฎ.) และให้มีความเป็นปึกแผ่นในการปฏิบัติตามผู้นำ ส่วนพวกพลเมืองชาม เรียกร้องให้จัดการกับเหล่าผู้สังหารท่านอุษมาน (ร.ฎ.) และพวกเขากล่าวว่า : “เราจะไม่ให้สัตยาบันแก่ผู้ให้ที่พักพิงแก่พวกอาชญากร” ( อิบนุ อัล-อะรอบียฺ “อัล-อะวาศิม” หน้า 162 )



อิมาม อัล-หะรอมัยนฺ อัล-ญุวัยนียฺ กล่าวไว้ในตำรา “ลัมอุล-อะดิลละฮฺ” ว่า : แท้จริงมุอาวียะฮฺนั้น ถึงแม้ว่าท่านได้ทำการสู้รบกับท่านอะลี (ร.ฎ.) แต่มุอาวียะฮฺ ก็มิได้ปฏิเสธการเป็นอิมามของท่านอะลี (ร.ฎ.) และมิได้กล่าวอ้างการเป็นอิมามให้แก่ตัวของท่านเอง อันที่จริงมุอาวียะฮฺเพียงแต่ร้องขอตัวบรรดาผู้สังหารท่านอุษมาน โดยเข้าใจว่า ท่านเป็นฝ่ายถูก และท่านอะลี (ร.ฎ.) เป็นฝ่ายผิด ( อัล-ญุวัยนียฺ : ลัมอุลอะดิลละฮฺ ฟี อะกออิด อะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ หน้า 115)



ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮฺ กล่าวว่า : “ แท้จริงมุอาวียะฮฺไม่เคยกล่าวอ้างการเป็นเคาะลีฟะฮฺและไม่มีการให้สัตยาบันแก่มุอาวียะฮฺเลย จนกระทั่งท่านอะลี (ร.ฎ.) ถูกลอบสังหาร มุอาวียะฮฺมิได้สู้รบกับอะลีในฐานะที่ตนเป็นเคาะลีฟะฮฺ และมิได้ถือว่าตนมีความเหมาะสมในตำแหน่งนั้นเลย และปรากฏว่ามุอาวียะฮฺก็ยืนยันถึงสิ่งดังกล่าว แก่ผู้ที่มาถามตน” (มัจญ์มูอฺ อัล-ฟะตาวา เล่มที่ 35/77)



อิบนุ ดัยซีลฺ ได้รายงานว่า ท่านอบู อัดดัรดาอฺและอบูอุมามะฮฺ(ร.ฎ.) ได้เข้าไปพบมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) และกล่าวว่า : “โอ้มุอาวียะฮฺ ! เหตุใดเล่าท่านจึงจะสู้รบกับบุคคลผู้นี้ ( หมายถึงอะลี )? ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า : “เขาเป็นมุสลิมมาเก่าก่อนหน้าท่าน และบิดาของท่าน และเขามีความใกล้ชิดกับท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) มากกว่าท่าน อีกทั้งเขาก็มีสิทธิ์ต่อตำแหน่งนี้มากกว่าท่าน”



มุอาวียะฮฺกล่าวว่า : ฉันจะสู้รบกับเขาบนหนี้เลือดของอุษมาน และเขาให้ที่พักพิงแก่พวกที่สังหารอุษมาน ท่านทั้งสองจงไปหาและจงกล่าวกับเขาเถิดว่า : เขาจำต้องให้พวกเรากิศอศ พวกที่สังหารอุษมานเสียก่อน หลังจากนั้น ฉันนี่แหละจะเป็นบุคคลแรกจากพลเมืองชาม ที่จะให้สัตยาบันแก่เขา” (อิบนุ กะษีร : อัล-บิดายะฮฺ เล่มที่ 7/360) รายงานต่างๆข้างต้นบ่งชี้ว่าท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) พร้อมด้วยผู้ให้การสนับสนุนท่านได้เรียกร้องหนี้เลือดของท่านอุษมาน(ร.ฎ.)



และท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ก็แสดงท่าทีชัดเจนต่อการเข้าสู่การให้สัตยาบันแก่ท่านอะลี (ร.ฎ.) เมื่อมีการลงโทษบรรดาผู้กระทำผิด หากสมมติว่าท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ได้ยึดเอาเรื่องการกิศอศมาบังหน้าในการสู้รบกับท่านอะลี (ร.ฎ.) เนื่องจากมีความทะเยอทะยานในอำนาจ อะไรจะเกิดขึ้น หากว่าท่านอะลี(ร.ฎ.) สามารถดำเนินการลงโทษต่อบรรดาผู้กระทำผิดได้ตามคำเรียกร้อง แน่นอนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ก็คือท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ก็จำต้องยอมจำนนต่อท่านอะลี (ร.ฎ.) และให้สัตยาบันแก่ท่านอะลี (ร.ฎ.) อยู่ดีนั้นเอง



เพราะท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ได้ยึดมั่นในท่าทีของท่านต่อกรณีการเรียกร้องดังกล่าวนับแต่ต้น และบรรดาผู้ที่ร่วมรบกับท่านมุอาวียะฮฺ(ร.ฎ.) นั้นก็ทำการสู้รบบนหลักการของการกิศอศกับบรรดาผู้สังหารของท่านอุษมาน(ร.ฎ.) เช่นกัน ถ้าหากว่าท่านมุอาวียะฮฺ(ร.ฎ.) มีสิ่งอื่นแอบแฝงอยู่ในใจโดยไม่เปิดเผยให้รู้แต่แรก การมีท่าทีที่แอบแฝงเช่นนี้ก็จะต้องเผยออกมาในท้ายที่สุด และท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ) ก็จะต้องพบกับอุปสรรคต่างๆนาๆ ที่ทำให้ท่านไม่สามารถบรรลุสู่เป้าหมายที่ซ่อนเร้นเอาไว้ในใจหากว่าท่านมีความละโมบในตำแหน่งและอำนาจ ซึ่งท่านไม่มีสิทธิแต่อย่างใดในขณะนั้น



ประเด็นน่าคิดก็คือว่า สงครามระหว่างท่านอะลี(ร.ฎ.) กับท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ณ ตำบลศิฟฟีนนั้นเกิดขึ้นหลังจากสมรภูมิอูฐ และในวันสมรภูมิอูฐนั้นมีผู้เสียชีวิตถึง 10,000 คน ในฝ่ายของท่านอะลี (ร.ฎ.) 5,000 คน และในฝ่ายของท่านฏอลหะฮฺ(ร.ฎ.) และท่านอัซซุบัยรฺ(ร.ฎ.) 5,000 คน (อิบนุกะษีรฺ : อัล-บิดายะฮฺ วันนิฮายะฮฺ 7/256) ถ้าหากว่าท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ประสงค์ที่จะแย่งชิงตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺจากท่านอะลี (ร.ฎ.) จริงตามคำใส่ใคล้ก็ย่อมถือเป็นโอกาสที่เหมาะยิ่งในการช่วงชิงสถานการณ์ที่ได้เปรียบต่อท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) ซึ่งสูญเสียกำลังพลไปเป็นจำนวนถึง 5,000 คนหลังชัยชนะในสมรภูมิอูฐ ด้วยการยกทัพจากแคว้นชามของท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.)เพื่อโจมตีกองทัพของท่านอะลี (ร.ฎ.) มิให้ตั้งรับทันหรืออย่างน้อยก็เตรียมทัพไว้รับมือของท่านอะลี(ร.ฎ.)เสียทันที เมื่อรับรู้ถึงการปลดท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ. )ด้วยการแต่งตั้งสะฮฺล อิบนุ หะนีฟ แทนของเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) ก่อนหน้านั้นแล้ว (อิบนุกะษีรฺ ; อ้างแล้ว 7/240)



แต่ท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ก็มิได้ทำการเคลื่อนไหวอันใดในเรื่องการศึกกับท่านเคาะลีฟะฮฺ (ร.ฎ.) การกลับกลายเป็นว่าท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) เป็นฝ่ายที่มีเจตนายกทัพจากอิรักมุ่งสู่แคว้นชามนับแต่ก่อนเกิดสมรภูมิอูฐเสียอีก (อิบนุกะษีรฺ ; อ้างแล้ว 7/245) 



เหตุนี้พลเมืองในแคว้นชามจึงพากันกล่าวว่า : “อันที่จริง เราสู้รบกับอะลีนั้นเป็นการสู้รบเพื่อป้องกันตนเองและดินแดนของเรา แท้จริงอะลีเริ่มทำสงครามกับเราก่อน เราจึงต้องตอบโต้เขาด้วยการทำสงคราม ซึ่งเรามิได้เริ่มก่อน และเราก็มิได้ละเมิดต่ออะลีแต่อย่างใด” ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ก็เป็นที่รู้กันในกองทัพของท่านอะลี(ร.ฎ.)เช่นกัน เพราะ อัล-อัชตัรฺ อัน-นะเคาะอียฺ กล่าวว่า : “แท้จริงพวกเขาย่อมจะมีชัยเหนือพวกเรา เพราะพวกเราเป็นฝ่ายเริ่มทำสงครามกับพวกเขาก่อน” (อัซซะฮฺบียฺ : อัล-มุนตะกอ มิน มินฮาญิล อิอฺติดาล หน้า 261 , 274 )



อย่างไรก็ตาม กรณีการพิพาทที่นำไปสู่การทำสงครามรบพุ่งระหว่างเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) กับฝ่ายของท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) ในสมรภูมิศิฟฟีน ตลอดจนฝ่ายของท่านฏอลหะฮฺ (ร.ฎ.) ท่านอัซซุบัยรฺ (ร.ฎ.) และท่านหญิงอาอิชะฮฺ (ร.ฎ.) ในสมรภูมิอูฐ ล้วนแล้วแต่เป็นประเด็นของการวินิจฉั ย(อิจญติฮาด) ที่มองต่างมุมกัน แต่ละฝ่ายมีการตีความ (ตะอฺวีล) ที่สนับสนุนท่าทีของฝ่ายตน



ถึงแม้ว่าการวินิจฉัยและการตีความของท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) จะมีความใกล้เคียงกับความถูกต้องและมีสิทธิอันชอบธรรมมากกว่าก็ตาม แต่ก็มิได้หมายความว่าถูกต้องอย่างสมบูรณ์ไปเสียทุกกรณี และอย่างน้อยการยอมรับคำเสนอแนะของท่านอัล-หะสัน (ร.ฎ.) บุตรชายของท่านอะลี (ร.ฎ.) ในกรณีการย้ายศูนย์อำนาจของเคาะลีฟะฮฺออกจากนครมะดีนะฮฺไปยังนครกูฟะฮฺ ซึ่งท่านอัล-หะสัน(ร.ฎ.)ไม่เห็นด้วยก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าสำหรับท่านเคาะลีฟะฮฺ



ทั้งนี้เนื่องจากบรรดาผู้ที่ร่วมสังหารเคาะลีฟะฮฺอุษมาน(ร.ฎ.)นั้นได้ร่วมสมทบอยู่ในกองทัพของท่านอะลี (ร.ฎ.) โดยเฉพาะพลเมืองบัศเราะฮฺและกูฟะฮฺเป็นส่วนหนึ่งจากกลุ่มอาชญากรดังกล่าว ดังนั้นเมื่อท่านอะลี (ร.ฎ.)ย้ายศูนย์อำนาจไปยังอิรักในนครกูฟะฮฺก็ย่อมทำให้พวกนั้นมีความเข้มแข็งมากขึ้นไปอีก เนื่องด้วยการตะอัศศุบของบรรดาชนเผ่าของพวกเขา (อัซซะฮฺบียฺ : อัล-มุนตะกอฯ หน้า 235-236)



หรือคำเสนอแนะของท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส (ร.ฎ.) ในการให้ท่านอะลี (ร.ฎ.) คงตำแหน่งผู้ปกครองหัวเมืองเอาไว้เช่นเดิม จนกว่าจะเกิดเสถียรภาพที่มั่นคงเสียก่อน และให้รับรองการเป็นผู้ปกครองแคว้นชามของมุอาวียะฮ (ร.ฎ.) เอาไว้ดังเดิม ยิ่งไปกว่านั้นท่านอิบนุอับบาส (ร.ฎ.) ยังห้ามท่านอะลี (ร.ฎ.) มิให้ยอมรับข้อเสนอของพวกที่ทำดีกับท่านอะลี (ร.ฎ.) ในการย้ายศูนย์อำนาจไปยังอิรัก และออกจากนครมะดีนะฮฺ แต่ท่านอะลี (ร.ฎ.) ก็ไม่เห็นด้วยกับคำเสนอแนะของท่านอิบนุ อับบาส (ร.ฎ.) ทั้งหมดข้างต้น (อิบนุกะษีรฺ: อัล-บิดายะฮฺ 7/239)



การสู้รบที่เกิดขึ้นทั้งในสมรภูมิอูฐและสมรภูมิศิฟฟีนตลอดจนการสู้รบกับพวกเคาะวาริจญฺนั้นเป็นที่มาของการวางกฎเกณฑ์นิติศาสตร์ว่าด้วยการสู้รบกับบรรดาผู้ละเมิด (กิตาลฺ อัล-บุฆอฮฺ) ซึ่งนักวิชาการระบุว่า : “หากไม่มีการสู้รบระหว่างท่านอะลี (ร.ฎ.) กับบรรดาผู้ขัดแย้งแล้วไซร้ แน่นอนแนวทางในการสู้รบกับชาวชุมทิศ (อะฮฺลุล-กิบละฮฺ) ย่อมไม่เป็นที่รู้จักเป็นแน่แท้” ( อัล-บากิลลานียฺ : อัต-ตัมฮีด ฟี อัรรอดดิ อะลัล มุลหิดะฮฺ หน้า 229 )



กระนั้นการสู้รบกับเคาะลีฟะฮฺของชนรุ่นสะลัฟศอลิหฺ ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ยุคต้นทั้งในกรณีของสมรภูมิอูฐ และสมรภูมิศิฟฟีน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการวินิจฉัยและการตีความที่ต่างกัน ก็มิได้ทำให้บรรดาผู้เกี่ยวข้องเหล่านั้นสิ้นสภาพจากการศรัทธาและความเป็นมุสลิมตลอดจนมิได้ทำให้พวกท่านเหล่านั้นสูญเสียสภาพของความเป็นผู้ผดุงธรรม (อัล-อะดาละฮฺ) แต่อย่างใด



ทั้งนี้ในอัลกุรอานได้ยืนยันรับรองถึงความมีศรัทธาของพวกเขาอยู่ดังเดิม ดังปรากฏในอายะฮฺ อัลกุรอาน ที่ว่า

وإن طائفتان من المؤمنين اقتتلوافأصلحوابينهما….الآية

“และหากว่า 2 กลุ่มจากเหล่าศรัทธาชนได้ทำการสู้รบกัน ดังนั้นพวกสูเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่าง 2 กลุ่มนั้นเถิด” ( อัล-หุญุรอต อายะฮฺที่19 )



ดังนั้นถึงแม้ว่าท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) และพลเมืองชามได้ทำการสู้รบกับท่านเคาะลีฟะฮฺ (ร.ฎ.) และได้ชื่อว่าเป็นผู้ละเมิด ( อัล-บุฆอฮฺ ) ก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้เป็นผู้ปฏิเสธ (กาฟิร) เนื่องจากอัลกุรอานได้ระบุเอาไว้อย่างชัดเจน ถึงความศรัทธาและความเป็นพี่น้องผู้ร่วมศรัทธาของพวกเขาเอาไว้ ทั้งๆที่มีการสู้รบเกิดขึ้น (อัซซะฮฺบียฺ : อัล-มุนตะกอฯ หน้า 291, 292)



มีผู้ถามท่านเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) ถึงชาวสมรภูมิอูฐ ว่า : พวกเขาเป็นมุชริกหรือไม่? ท่านอะลี(ร.ฎ.) ตอบว่า : “พวกเขาหนีจากการชิริกต่างหาก!” มีผู้กล่าวขึ้นอีกว่า : พวกเขาเป็นมุนาฟิกหรือไม่? ท่านอะลี (ร.ฎ.) ตอบว่า : “แท้จริงพวกมุนาฟิกจะไม่รำลึกถึงอัลลอฮฺนอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” มีผู้กล่าวขึ้นว่า : “พวกเขาคือใครเล่า?” ท่านอะลี (ร.ฎ.) ตอบว่า : “พวกเขาคือพี่น้องของเราที่ละเมิดต่อเรา” (อัล-บัยฮะกียฺ : อัสสุนัน อัล-กุบรอ เล่มที่8 หน้า 173 )



ส่วนกรณีสมรภูมิศิฟฟีน นั้น ท่านซัยดฺ อิบนุ อบีอัซซัรกออฺ รายงานจากญะอฺฟัร อิบนุ ซะบุรกอน จากมุอัมมัล อิบนุ อัล-อะศอม ว่า : ท่านอะลี (ร.ฎ.) กล่าวว่า : “บรรดาผู้ถูกสังหารของฉันและบรรดาผู้ถูกสังหารของมุอาวียะฮฺ อยู่ในสวนสวรรค์” ( อัซซะฮฺบียฺ ; สิยัร อะอฺลาม อันนุบะลาอฺ เล่มที่ 4 หน้า 302)



ท่านอัมมาร อิบนุยาสิร ( ร.ฎ.) ได้กล่าวถึงสมรภูมิศิฟฟินตามรายงานของซิยาด อิบนุอัล-หาริษ ว่า “ฉันอยู่เคียงข้างอัมมาร อิบนุยาสิร ที่ศิฟฟีน หัวเข่าทั้งสองฉันสัมผัสหัวเข่าทั้งสองของเขา แล้วชายคนหนึ่งก็กล่าวขึ้นว่า “ พวกพลเมืองชามเป็นผู้ปฏิเสธแล้ว” ท่านอัมมารจึงกล่าวว่า “พวกท่านอย่ากล่าวเช่นนั้น นบีของเราและนบีของพวกเขาเป็นคนเดียวกัน กิบละฮฺของเรากิบละฮฺของพวกเขาเป็นกิบละฮฺเดียวกัน แต่พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่ถูกฟิตนะฮฺ พวกเขาเบี่ยงออกจากความถูกต้อง จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องต่อสู้กับพวกเขาเพื่อให้พวกเขากลับสู่ความถูกต้อง ( อิบนุ อบีชัยบะฮฺ ; อัลมุศอนนัฟ เล่มที่ 15 หน้า 294 )



ท่าทีของท่านอัมมาร ( ร.ฎ.) ที่มีต่อท่านมุอาวียะฮฺ ( ร.ฎ.) และพลเมืองชามบ่งชี้ว่าท่านรับรองสถานภาพความเป็นมุสลิมของชาวศิฟฟีน ในขณะเดียวกันก็ถือว่าชาวศิฟฟินที่ต่อสู้กับเคาะลีฟะฮฺอะลี (ร.ฎ.) เป็นฝ่ายที่ผิดพลาดในการวินิจฉัยและตีความจึงนับเป็นหน้าที่ในการต่อสู้กับชาวศิฟฟีนในประเด็นของการสู้รบกับบรรดาผู้ละเมิด ( อัลบุฆอฮฺ ) ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่อัลกุรอานได้วางเอาไว้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มชีอะอฺรอฟีเฎาะฮฺได้กล่าวหาและโจมตีท่านมุอาวียะฮฺ ( ร.ฎ.)ว่าเป็นกาฟิรด้วยการสู้รบกับท่านอะลี ( ร.ฎ.)



และดูเหมือนว่าท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) จะตกเป็นเป้าในการโจมตีจากพวกชีอะฮฺมากที่สุดในบรรดาเศาะหาบะฮฺที่มีกรณีพิพาทกับท่านอะลี ( ร.ฎ.)- อับบาส อะลี อัลมูซาวีย์ได้กล่าวโจมตีท่านมุอาวียะฮฺ ( ร.ฎ.) ด้วยข้อหาฉกาจฉกรรณ์ในหนังสือของเขาที่ชื่อ ชุบุฮาต เหาละ อัชชีอะฮฺ หน้า 131-142 และอาดิล อัลอะดีบ ในหนังสือของเขาที่ชื่อ อัลอะอิมมะฮฺ อัลอิษนาอะชัร หน้า73 เป็นต้นไป ซึ่งในบทความนี้คงไม่สามารถที่จะนำข้อมูลมาหักล้างได้เนื่องจากเรื่องนี้มีรายละเอียดมาก



แต่ถ้าจะกล่าวถึงข้อหักล้างสักหนึ่งประเด็นก็คงจะเพียงพอ กล่าวคือ หากว่าท่านมุอาวียะฮฺ (ร.ฎ.) และพลเมืองชามเป็นพวกกลับกลอกที่ซ่อนเร้นการปฎิเสธเอาไว้ในใจและศรัทธาไม่เคยย่างกรายเข้าสู่จิตใจของท่านมุอาวียะฮฺเลย และท่านมุอาวียะฮฺ ( ร.ฎ.) เป็นผู้ที่ทำลายศาสนาอิสลามอย่างย่อยยับดังที่พวกชีอะฮฺกล่าวหาแล้วไซร้ ไฉนเลยท่านอิมาม อัล-หะสัน ( ร.ฎ.) จึงยอมประนีประนอมกับท่านมุอาวียะฮฺ ( ร.ฎ.) และยอมสละตำแหน่งด้วยการมุบายะอะฮฺต่อท่านมุอาวียะฮฺ ( ร.ฎ.) ในปีที่เรียกกันว่า “อามุลญะมาอะฮฺ”



เป็นไปได้หรือที่ท่านอิมาม อัลหะสัน ( ร.ฎ.) จะยอมสละตำแหน่งที่อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ทรงกำหนดเอาไว้แล้วแก่ลูกหลานของท่านอะลี ( ร.ฎ.) ตามความเชื่อของพวกชีอะฮฺ และนี่เป็นการสละตำแหน่งที่สำคัญที่สุดให้แก่ศัตรูของอิสลาม ซึ่งพวกชีอะฮฺเรียกขานท่านมุอาวียะฮฺ ( ร.ฎ.) เช่นนั้น และการกระทำของอิมามมะอฺศูมนั้นถือเป็นสิ่งถูกต้องและเป็นตัวบทตามความเชื่อของชีอะฮฺ เหตุไฉนพวกเขาจึงไม่ปฏิบัติตามการกระทำของท่านอิมามอัล-หะสัน ( ร.ฎ.) ซึ่งเป็นอิมามมะอฺศูม



หากพวกเขาจะแย้งว่าเหตุที่ท่านอิมามอัล-หะสัน ( ร.ฎ.) ต้องยอมทำเช่นนั้นก็เพื่อรักษาไว้ ซึ่งเลือดเนื้อของชาวมุสลิม ก็ต้องถามกลับไปว่า การเสียสละเช่นนี้จะมีประโยชน์อันใดในเมื่อมุสลิมจะต้องเผชิญกับการทำลายล้างอิสลามและบิดเบือนคำสอนที่บริสุทธิ์ด้วยน้ำมือของทรราชย์ผู้ปฎิเสธศรัทธาอย่างที่พวกชีอะฮฺกล่าวหาท่านมุอาวียะฮฺ ( ร.ฎ.) และคำว่ามุสลิมสำหรับความเชื่อของพวกชีอะฮฺก็คือผู้ที่ยอมรับในตำแหน่งวะศียฺของท่านอิมามอะลี ( ร.ฎ.) และลูกหลานของท่านเท่านั้น เป็นการยากที่จะได้รับคำตอบอย่างชัดเจนจากฝ่ายชีอะฮฺในเรื่องนี้

ด้วยเหตุนี้เองกระมังที่ทำให้หน้ากระดาษที่กล่าวถึงชีวประวัติของอิมามท่านที่ 2 ( คือท่านอัลหะสัน) มีน้อยมากเมื่อเทียบกับอิมามท่านอื่นในตำราของพวกเขา



ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนขอย้ำเตือนผู้อ่านด้วยหลักศรัทธาของอะฮฺลิสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ ว่าการหลีกเลี่ยงจากการพูดถึงกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในหมู่เศาะหาบะฮฺเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด และเรามีความรักในบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านรสูล (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม)) ทุกท่าน และเราเชื่อว่าท่านเหล่านั้นมีความรักในระหว่างกัน



ถึงแม้ว่าจะมีข้อพิพาทเกิดขึ้น ซึ่งข้อพิพาทเหล่านั้นพวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง มือของพวกเรามิได้เปื้อนเลือดแม้เพียงหยดเดียว ท่านเหล่านั้นได้กลับไปสู่ผลของการกระทำที่ประพฤติเอาไว้แล้ว อัลลอฮฺไม่ถามพวกเขาถึงการประพฤติของพวกเราฉันใด พระองค์ก็ไม่ทรงถามพวกเราถึงสิ่งที่พวกท่านเหล่านั้นได้ประพฤติเอาไว้ฉันนั้น



และพวกเราจะไม่เลยเถิดในความรักที่มีต่อท่านเหล่านั้นเยี่ยงพวกอัรรอฟีเฎาะฮฺ และเราจะไม่ปฏิเสธคุณงามความดีและคุณูปการของท่านเหล่านั้นที่มีต่ออิสลาม และมุสลิม และเราจะโกรธเคืองทุกผู้ทุกนามที่กล่าวปรามาสและชิงชังอาฆาต ต่อท่านเหล่านั้น ดังเช่นการกระทำของพวกเคาะวาริจญฺ และพวกอันนะวาศิบที่กล่าวหาว่าท่านอะลี(ร.ฎ.) เป็นกาฟิรด้วยการยอมรับการตัดสินของอนุญาโตตุลาการจากสองฝ่าย และพวกอันนะวาศิบที่จงเกลียดจงชังต่ออะฮฺลุลบัยตฺ ความรักที่มีต่อท่านเหล่านั้น คือความดีงาม และศรัทธา การชิงชังต่อท่านเหล่านั้นคือ การเนรคุณ การละเมิด และความกลับกลอก



และขอพระองค์ทรงให้พวกเราสิ้นชีวิตไปจากโลกนี้พร้อมด้วยความรักที่มีต่อเหล่าเศาะหาบะฮฺทุกผุ้ทุกนาม และขอให้เราฟื้นคืนชีพในหมู่ผู้ประพฤติดีเหล่านั้นด้วยเทอญ



والله ولى التوفيق

บทความลงในหนังสือไคโรสาร

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2563

อย่าคบคนห้าประเภทอันดับแรกเลยคือคนโกหก / Ishak Phongmanee



อย่าคบคนห้าประเภทอันดับแรกเลยคือคนโกหก

จากท่านญะอ์ฟัร อัศศอดิก

1-คนโหก เพราะจะถูกเขาหลอกตลอด เขาจะเหมือนเงาแดดที่ลวงตา จะทำสิ่งอยู่ไกลเหมือนใกล้ และจะทำสิ่งใกล้เหมือนไกล


2-คนโง่ เขาช่วยอะไรท่านไม่ได้ บางที่เขาคิดจะช่วยท่านแต่กลับกลายเป็นทำร้ายท่านเสียเอง

3-คนขี้เหนียว เพราะคนขี้เหนียวแม้ท่านจะเดือดร้อนสุดๆ เขาจะไม่เหลียวแลท่าน

4-คนขี้ขลาด เขาจะดีต่อท่านในอยามปกติแต่จะผละหนีจากท่านในยามวิกฤติ 

5-คนเลว เขาจะขายท่านแค่เห็นแก่ของกินเพียงคำเดียวหรือน้อยกว่า..อันว่าน้อยกว่าก็คือแค่หวังว่าจะได้ของกินคำนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่ได้

-///-




وقال جعفر الصادق: لا تصحب خمسة: الكذاب فإنك منه على غرور وهو مثل السراب يقرب منك البعيد ويبعد منك القريب، والأحمق فإنك لست منه على شيء، يريد أن ينفعك فيضرك، والبخيل فإنه يقطع بك أحوج ما تكون إليه، والجبان فإنه يسلمك ويفر عند الشدة، والفاسق فإنه يبيعك بأكلة أو أقل منها، فقيل وما أقل منها قال الطمع فيها ثم لا ينالها

ฮุรุอัยน์ (สาวสวรรค์) มีบุรุษเพศ ด้วยหรือคุณ / Ishak Phongmanee



ฮุรุอัยน์ (สาวสวรรค์) มีบุรุษเพศ ด้วยหรือคุณ

อัลลอฮ์ตรัสไว้ในซูเราะห์ อัดดุคอน อายะห์ที่ 54 ว่า

كَذَٰلِكَ وَزَوَّجْنَاهُم بِحُورٍ عِينٍ

“ทำนองเดียวกันนั้น และเราให้พวกเขามีคู่ครองเป็นฮูริอัยน์”

ข้อความดังต่อไปนี้คัดจากหน้าเฟสของคุณ ที่เป็นภาคภาษาอาหรับ เข้าใจว่าน่าจะมีการแปลจากภาษาต้นฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษอีกที คุณ ได้อธิบายคำว่า “ฮูรอัยนิน” ไว้ดังนี้

معنى_حور
و"الحور" في الواقع صيغة الجمع من "أحور" (تدل على رجل) و"حوراء" (تدل على المرأة) وهي كلمة معناها شخص له عيون تميز نوعية خاصة من ذوي الروح الطيبة ، ذكرا كان أو انثى في الجنة، وأنه يدل على البياض الناصع من العين الروحي

คำว่า “อัลฮูร” ตามจริงเป็นพหูพจน์ของคำว่า “อะฮ์วัร” (บ่งถึงบุรุษเพศ) และคำว่า “เฮารออ์” (บ่งบอกถึงสตรีเพศ) เป็นคำที่มีความหมายว่าผู้ที่มีตาพิเศษโดยเฉพาะผู้มีวิญญาณที่ดี ไม่ว่าจะเป็นชายหรือเป็นหญิงที่ได้อยู่ในสวรรค์ และยังบ่งบอกถึงความขาวสะอาดสดใสของดวงตาแห่งจิตวิญญาณ

นั่นคือการอธิบายของต่อความหมายของคำในอัลกุรอ่าน ต่อไปเรามาดูว่าปราชญ์มุสลิมอธิบายไว้อย่างไร

1-ในเชิงภาษา
1)อิบนุลอะษีร

وَفِي حَدِيثِ صِفَةِ الْجَنَّةِ «إِنَّ فِي الْجَنَّةِ لمُجْتَمَعاً للحُور الْعَيْنِ» قَدْ تَكَرَّرَ ذِكْرُ الحُور الْعَيْنِ فِي الْحَدِيثِ، وَهُنَّ نِسَاءُ أَهْلِ الْجَنَّةِ، وَاحِدَتُهُنَّ حَوْرَاء، وَهِيَ الشَّدِيدَةُ بَيَاضِ الْعَيْنِ الشديدةُ سَوَادِهَا ( النهاية فير غريب الحديث ج1 ص 458)

และในฮะดีษที่กล่าวถึงลักษณะของสวรรค์ ((แท้จริงในวรรค์มีสังคมอัลฮูรอัลอัยน์)) จะพบว่ามีการกล่าวถึง.อัลฮูรอัลอัยน์ ไว้ซ้ำกันๆ หลายแห่ง ซึ่งหมายเหล่าสตรีชาวสวรรค์ มีเอกพจน์ว่า “เฮารออ์” ซึ่งหมายถึงนางผู้มีตาขาวที่ขาวสุดๆ และมีตาดำที่ดำสุดๆ 

2) ซัยนุดดีน อัรรอซีย์

وَ الْحَوَرُ أَيْضًا شِدَّةُ بَيَاضِ الْعَيْنِ فِي شِدَّةِ سَوَادِهَا. وَامْرَأَةٌ حَوْرَاءُ بَيِّنَةُ الْحَوَرِ (مختار الصحاح)

คำว่า “อัลฮะวัร” เช่นกัน หมายถึงตาขาวที่ขาวสุดๆ และตาดำที่ดำสุดๆ สตรีที่ “เฮารออ์” คือสตรีที่มีความ “ฮะวัร” ที่เด่นชัดมากๆ

3)อิบนุมันซูร

الحَوَرُ أَن تَسْوَدَّ الْعَيْنُ كُلُّهَا مِثْلَ أَعين الظِّبَاءِ وَالْبَقَرِ، وَلَيْسَ فِي بَنِي آدَمَ حَوَرٌ، وإِنما قِيلَ لِلنِّسَاءِ حُورُ العِينِ لأَنهن شُبِّهْنَ بِالظِّبَاءِ وَالْبَقَرِ. وَقَالَ كُرَاعٌ: الحَوَرُ أَن يَكُونَ الْبَيَاضُ مُحْدِقًا بِالسَّوَادِ كُلِّهِ وإِنما يَكُونُ هَذَا فِي الْبَقَرِ وَالظِّبَاءِ ثُمَّ يُسْتَعَارُ لِلنَّاسِ (لسان العرب ج 4 ص 129)

อัลฮะวัร คือตาดำเฉกเช่นตาเก่งกวางและวัว ในมนุษย์จริงๆ แล้วแบบนี้ไม่มี แต่ที่เรียกเหล่าสตรีว่า “ฮูรุลอัยน์” ก็เพราะ(ตา)พวกนางดุจ(ตา)ของเก้งกวางและวัว ท่านกุรออ์กล่าวว่า “อัลฮะวัร” หมายถึงตาขาวล้อมตาดำไว้ทั้งหมด(ภาพที่เห็น) ซึ่งจะพบเห็นได้ในวัวและเก้งกวางเท่านั้น ต่อมาจึงมีการยืมมาใช้กับคน

2-ในเชิงตัฟสีร
1)อิบนุญะรี๊ร

وزوّجنا الذكور من هؤلاء المتقين أزواجا بحور عين من النساء،....، والحُور: جمع حَوْراء، وهي الشديدة بياض مقلة العين في شدة سواد الحدقة (ابن جرير ج 22 ص 467).”

และเรา(อัลลอฮ์ได้มอบสตรี”ฮูริอัยน์”ให้แก่บรรดาชายที่ยำเกรงเป็นคู่ครอง และคำว่า “อัลฮูร” เป็นพหูพจน์ของคำว่า “เอารอฮ์” หมายถึงสตรีมีตาขาวที่ขาวสุดๆ (ล้อม) ตาดำที่ดำสุดๆ

2)อัลบะฆ่อวี่

وَ"الْحُورُ": هُنَّ النِّسَاءُ النَّقِيَّاتُ الْبَيَاضِ ( تفسير البغوي ج7 ص237) 

และอัลฮูร หมายถึงเหล่าสตรีที่ขาวสะอาด

3)อิบนุกะษีร

كَذلِكَ وَزَوَّجْناهُمْ بِحُورٍ عِينٍ أَيْ هَذَا الْعَطَاءُ مع ما قد منحناهم من الزوجات الحسان الحور العين (ابن كثير ج7 ص240)

และทำนองเดียวกันนั้นเราได้ให้ “ฮูรริอัยน์” เป็นคู่ครองแก่พวกเขา คือหมายถึงพร้อมกับสิ่งที่เรามอบให้แก่พวกเขา(ที่กล่าว)ก่อนหน้านั้น ก็ยังมอบภรรยาที่แสนสวย ซึ่งก็คือ “อัลฮูร อัลอัยน์” 

สรุป
1-ทั้งตำราภาษาและตำราตัฟสีรที่ยกมา เป็นแค่ตัวอย่างการอธิบายของปราชญ์เกี่ยวกับคำว่า “อัลฮูร อัลอัยน์” คือมีการอธิบายและให้ความหมายไปในทิศทางเดียวกันหมด ส่วนตำราที่เหลือก็ไม่มีความแตกต่างในสาระสำคัญของเรื่องนี้แต่อย่างใดทั้งสิ้น 

2-สำหรับความหมายของอายะห์นี้ ไม่มีตำราหรือปราชญ์คนไหนชี้ไปถึงเรื่องบุรุษเพศแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่ทั้งหมดให้ความหมายไปในทำนองเดียวกันคือ “สาวสวรรค์อันสุดจะโสภา” 

3-และหากสังเกตให้ดีจะพบว่า คำว่า”ฮูร” คือพหูพจน์ของคำว่า “เฮารออ์” ไม่ใช่พหูพจน์ของคำว่า “อะห์วัร” ตามที่อ้าง อีกทั้งยืนยันว่าหมายถึงบุรุษเพศ นี่คือการมั่วในเชิงภาษาและหากเป็นการอธิบายศัพท์อัลกุรอ่านก็เรียกว่ามั่วในการอธิบายอัลกุรอ่าน

4-ความดีของคุณในการเรียกร้องผู้คนสู่อิสลาม เป็นความดีเฉพาะตัวคุณ ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างเขากับอัลลอฮ์ แต่ความผิดของเขาเกี่ยวโยงกับผู้คนมากมายเพราะหากหลงเชื่อแบบผิดๆ ตามเขาไป ผู้คนเหล่านั้นก็จะได้ความเชื่อผิดๆ ของความหมายขออัลกุรอ่านอายะห์นี้ตามเขาไป ดังนั้นต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือความดีของเขาและอะไรคือความผิดของเขา อย่านำเอามาปนกันแบบคนบางกลุ่ม

5-หากไม่เกรงจะยืดยาวเกินไป เรื่องนี้มีฟัตวามากมายจากหลายฝ่าย แต่ขอสงวนไว้ก่อน แต่สิ่งที่จะนำเสนอต่อไปนี้ยิ่งกว่าฟัตวาไหนๆ สิ่งนั้นก็คือคำอธิบายคำว่า “อัลฮูร อัลอัยน์” จากท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเองเลย ขอนำเสนอดังนี้

لِكُلِّ امْرِئٍ زَوْجَتَانِ مِنَ الحُورِ العِينِ (صحيح البخاري /3254)

ชายแต่ละคน(จากชาวสวรรค์) จะได้ภรรยาสองคนจาก “อัลฮูรอัลอัยน์” บันทึกโดยอัลบุคอรีและท่านอื่นๆ

ท่านนบี บี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเองว่า ฮัลฮูรอัลอัยน์ หมายถึงสาวสวรรค์ ไม่ใช่นายสวรรค์ก็มีแบบนายว่า และหากจะมีใครคิดจะโต้แย้งแม้คำพูดนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมแล้วละก็ (เพื่อปกป้อง) ผมก็หมดปัญญาชี้แจงแล้วละครับแบบนี้ 

6-ส่วนเรื่องคู่ครองของสตรีในสวรรค์ มีแน่นอนครับแต่ไม่ใช่อายะห์นี้ นักวิชาการอธิบายถึงคู่ครองของสตรีด้วยเนื้อหาอันครอบคลุมของอายะห์อื่น เช่นอายะห์ที่ 31 จากซูเราะห์อัลฟุซซิลัต เป็น ต้น อัลลอฮ์สร้างสตรีมา ต่างจากบุรุษไม่ว่าจะเป็นเรือนร่าง จิตใจด้วย รวมถึงความรู้สึกนึกคิด เรื่องคู่ครองของสตรีในสวรรค์จึงมีเนื้อหาต่างไปจากบุรุษ ดังนั้นท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เป็นพิเศษ (ในโอกาสที่เหมาะสมจะนำเสนอรายละเอียดสภาพสตรีที่ได้เข้าสวรรค์รวมถึงเรื่องคู่ครองของนางด้วย)

7-สุดท้ายและท้ายสุดของบทคามนี้คือ แปลอัลกุรอ่านมั่วด้วยยึดความเข้าใจผิดๆ ในภาษาอาหรับของตนเอง ซึ่งสิ่งที่เขาอธิบายไม่ปรากฏในตำราตัฟสีรที่น่าเชื่อถือใดๆ ที่เป็นตำราอ้างอิงดั่งเดิมรวมถึงตำราดังเดิมทางภาษาอาหรับ 

ผมแปลกใจจริงๆ ว่าคนที่พยายามจะจับคุณยัดใส่ลงในตระกร้า “สะลัฟ” ไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกลงทำเป็นไม่รู้ อันนี้ไม่ทราบจริงๆ ครับ แค่แปลกใจเฉยๆ

ระเบิดพลีชีพ ก็ได้ด้วยหรือ คุณ / Ishak Phongmanee



ระเบิดพลีชีพ ก็ได้ด้วยหรือ คุณ

ในคลิปวิดิโอหนึ่งของ เผยตัวตนของเขาออกมาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องระเบิดพลีชีพ เขากล่าวว่า “การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งต้องห้าม ส่วนการระเบิดพลีชีพเป็นอนุมัติในยามศึก” 

ในเรื่องนี้มีคำฟัตวาจากปราชญ์อาวุโสหลายท่านดังนี้

1-เชคบิบบาซ 2-เชคอิบนุอุษัยมีน 3-และบรรดาชุยูคในแนวทางสะลัฟอีกหลายท่าน


#คำถาม อะไรคือหุก่ม(ข้อตัดสินทางศาสนา) สำหรับคนที่ผู้ระเบิดไว้กับตัวเองเพื่อหวังจะสังหารยะฮู๊ดเป็นกลุ่ม (ใหญ่)

#คำตอบ สิ่งที่ฉันมีความเห็นและเคยกล่าวเตือนไปแล้วหลายครั้ง คือการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะมันคือการฆ่าตัวตาย(ด้วยในเวลาเดียวกัน) อัลลอฮ์กล่าวว่า ((พวกเจ้าทั้งหลายอย่าสังหารตนเอง)) และท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวไว้ว่า ((ผู้ใดสั่งหารตนเองด้วยสิ่งใดก็ตาม เขาจะถูกลงโทษในวันกิยามะห์ด้วยสิ่งนั้น)) 

พยายามตักเตือนพวกเขาและหากเมื่อใดมีคำสั่งให้ญิฮาดก็จงญิฮาดพร้อมกับปวงมุสลิมีน หากถูกสังหารก็อัลฮัมดุลิลลาห์ ส่วนการฆ่าตัวตายโดยผูกระเบิดไว้กับตัวเองเพื่อตายพร้อมกับพวกเขา(ยะฮู๊ดหรือศัตรูใดๆ) ถือว่าเป็นความไม่ถูกต้องและไม่อนุญาต หรือเพื่อให้ตนถูกแทงไปพร้อมกับพวกเขา แต่จงญิฮาดพร้อมกับปวงมุสลิมีนตามบัญญัตของการญิฮาด ส่วนชาวปาเลสไตน์ที่ทำเช่นนั้นถือว่าไม่ถูกต้องแน่นอน จริงๆ แล้วสิ่งที่จำเป็นก็คือการเชิญชวนไปสู่อัลลอฮ์ การสอน การชี้นำ การตักเตือนโดยที่ไม่ต้องทำแบบที่กล่าวแล้วข้างต้น”

السؤال: ما حكم من يلغم نفسه ليقتل بذلك مجموعة من اليهود؟
الجواب: الذي أرى وقد نبهنا غير مرة أن هذا لا يصح، لأنه قتل للنفس، والله يقول: ((ولا تقتلوا أنفسكم))، ويقول النبي -صلى الله عليه وسلم-: ((من قتل نفسه بشيء عذب به يوم القيامة))، يسعى في هدايتهم، وإذا شرع الجهاد جاهد مع المسلمين، وإن قتل فالحمد لله، أما أنه يقتل نفسه يحط اللغم في نفسه حتى يقتل معهم! هذا غلط لا يجوز، أو يطعن نفسه معهم! ولكن يجاهد حيث شرع الجهاد مع المسلمين، أما عمل أبناء فلسطين هذا غلط ما يصح، إنما الواجب عليهم الدعوة إلى الله، والتعليم، والإرشاد، والنصيحة، من دون هذا العمل) اهـ
كتاب الفتاوى الشرعية للحصين، ص166


ท่านได้กล่าวไว้ในหนังสืออธิบายอุศู้ลตัฟสีร มีความตอนหนึ่งว่า

เมื่อเกิดเรื่องราวของพวกอิควานขึ้น พวกนี้ทำอะไรไม่ค่อยมี “ฮิกมะห์” เหมือนยิ่งเพิ่มความน่าเกลียดน่ากลัวให้อิสลามในสายตาพวกตะวันตกและคนอื่นๆ ที่ว่านี้ฉันหมายถึงบรรดาผู้ที่เอาระเบิดไปโยนใส่ผู้คน(ทั่วไปไม่เลือกหน้า) โดยอ้างว่านั่นคือญิฮาดในหนทางของอัลลอฮ์ จริงๆ แล้วพวกเขาทำสร้างความเสียหายอิสลาและมุสลิมมากกว่าผลดีใดๆ ที่จะเกิดขึ้น

قال رحمه الله ولما ظهرت قضية الإخوان الذين يتصرفون بغير حكمة، ازداد تشويه الإسلام في نظر الغربيين وغير الغربيين، وأعني بهم أولئك الذين يلقون المتفجرات في صفوف الناس زعمًا منهم أن هذا من الجهاد في سبيل الله، والحقيقة أنهم أساءوا إلى الإسلام وأهل الإسلام أكثر بكثير مما أحسنوا، 
الشريط الأول من شرح أصول التفسير (1419 هـ

และยังกล่าวไว้อีกว่า

ส่วนการกระทำของบางคนทีปฏิบัติการฆ่าตัวตายโดยแบกระเบิดและจู่โจมกุฟฟารพร้อมระเบิดตัวเองเมื่ออยู่ท้ามกลางเหลากาเฟร แท้จริงนี้คือการฆ่าตัวตาย วัลอิญาซุบิลลาห์-ขอความคุ้มครอบจากอัลลอฮ์ (ให้พ้นจากการฆ่าตัวตายด้วยเทอญ) ผู้ใดฆ่าตัวตัวจะตกนรกตลอดไป ตามทีมีปรากฏในฮะดีษจากท่านนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพราะนั่นคือเขาฆ่าตัวตายและไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่ออิสลาม คือเมื่อเขา(ตั้งใจ) ฆ่าตัวตาย(ด้วย)

وقال رحمه الله في شرحه لـ"رياض الصالحين (1/165–166)" عند شرحه لحديث الغلام والساحر :
(... أما ما يفعله بعض الناس من الانتحار، بحيث يحمل آلات متفجرة ويتقدم بها إلى الكفار ثم يفجرها إذا كان بينهم، فإن هذا من قتل النفس والعياذ بالله، ومن قَتَل نفسه فهو خالد مخلد في نار جهنم أبد الآبدين، كما جاء في الحديث عن النبي -عليه الصلاة والسلام-، لأن هذا قَتَل نفسه لا في مصلحة الإسلام، لأنه إذا قتل نفسه)


สำหรับเชคอัลบานี แม้ท่านจะเห็นว่าอนุญาตในบางก็กรณี แต่ท่านก็ตั้งเงื่อนไขมากมาย และที่ทำๆ กันโดยทั่วไปท่านก็ถือถือว่าต้องห้าม เงื่อนหลักๆ คือ

1-ต้องเป็นคำสั่งของแม่ทัพจากรัฐอิสลามที่ชัดเจน
2-ต้องผ่านการประเมินผลทางการทหารแน่ชัดว่าเกิดผลดีมากกว่าผลเสีย คุ้มกับชีวิตทหารนายนั้นหรือไม่

แต่พอท่านยกตัวอย่าง เราก็เข้าใจและร้องอ้อทันทีว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตายโดยตรง แต่เป็นปฏิบัติการที่เรียกว่าฆ่าตัวตาย คือคนๆ เดียวบุกเดี่ยวเข้าไปในหมู่ศัตรูและปฏิบัติการอันคุ้มค่านั้น ดูจากตัวอย่างที่ท่านยกไม่ได้หมายความนายทหารคนนั้นระเบิดตัวเองไปพร้อมๆ กับศัตรู แต่มันหมายถูกศัตรูสังหารในที่สุด ดังนั้นจึงขอคัดภาษาอาหรับมายืนยันดังนี้

لأنه مثل هذا وقع في بعض المعارك الإسلامية الأولى، مثل: فتح دمشق مثلاً، الشام .. بلاد الشام، ونحو ذلك، وقعت بعض العمليات الانتحارية، كان الجندي يستأذن قائده، ويقول بأنه يريد أن يموت شهيدًا ويهجم على الكردوس هذا يعني جماعة الروم وأمثالهم، ويظل يقتلهم حتى يقتلوه، فيسمح له القائد، وفعلاً يكون نهايته أنه يستشهد في سبيل الله تعالى، فإذًا فلنتفقه في معرفة الأحكام لما يقع، ونؤجل البحث في أمور لم تقع) اهـ سلسلة الهدى والنور 533

สรุปว่าการใช้ระเบิดพลีชีพเพื่อสังหารตนและศัตรูไปพร้อมกัน คือการฆ่าตัวตายเช่นกันและมีผลต่อเนื่องเป็นบาปติดตัวไปยันวันกิยามะห์

เมื่อปราชญ์ตัวจริงเสียงจริงฟัตวาไว้แบบนี้ หากผู้ใดจะไม่เชื่อแต่จะเชื่อตามคุณ ผมก็หมดหน้าที่ ที่นำมานำเสนอนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าคุณมิได้ยึดฟัตวาจากปราชญ์อาวุโสแต่อย่างอย่างใด หากแต่ตั้งตนเป็นมุฟตีเองครับ 

แต่หากบอกว่าไม่ ฉันก็ยึดฟัตวาเหมือนกันแต่อ้างจากฝั่งอิควานฯ อันนี้ก็ตัวใครตัวมันครับ

ผู้ร้ายมักจะปากแข็ง / Ishak Phongmanee

ผู้ร้ายมักจะปากแข็ง
เรื่องปากแข็งเป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ทำผิดแต่ไม่สำนึกผิด เรามักจะเห็นผู้ต้องหาเมื่อถูกจับ จะไม่ค่อยยอมรับว่าตนเองกระทำผิด แต่เมื่อจำนนด้วยหลักฐานสุดท้ายก็ต้องสารภาพในที่สุด
ข่าวเรื่องเครื่องบินตกในอีหร่านก็เช่นกัน ครั้งแรกๆ เราจะพบว่ามียืนยันแข็งขันมันคืออุบัตเหตุ ต่อมาไม่กีวันอีหร่านก็ออกมายอมรับว่ายิงเครื่องบินโดยสารของยูเครตก
176 ชีวิตตายโดยที่ตัวเองไม่ทราบว่าตนตายด้วยเหตุอันใด นี่คือสัญญาณหนึ่งของสัญญาณใกล้วันสิ้นโลก
عنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رضي الله عنه قَالَ: قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ :
( وَالَّذِي نَفْسِي بِيَدِهِ ، لَا تَذْهَبُ الدُّنْيَا حَتَّى يَأْتِيَ عَلَى النَّاسِ يَوْمٌ لَا يَدْرِي الْقَاتِلُ فِيمَ قَتَلَ ، وَلَا الْمَقْتُولُ فِيمَ قُتِلَ ،....
رواه مسلم (2908)
มีรายจากอบูฮุรอยเราะห์ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ้อลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
"ขอสาบาลต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตย์ของพระองค์ ดุนยา(โลกนี้) จะยังไม่สิ้นไปจนกว่าวันเวลาหนึ่งจะมาถึงมนุษย์ คือวันที่ผู้ฆ่าก็ไม่รู้ว่าเหตุใดต้องฆ่า(ผู้อื่น) ผู้ถูกฆ่าก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกฆ่าด้วยเหตุใด" .... บันทึกโดยมุสลิม
ผู้ร้ายมักจะปากแข็งเสมอจนกว่าจะจำนนด้วยหลักฐาน จึงจำใจต้องรับสารภาพ

เตือนสติพี่น้อง.... มีผู้พยายามจะจุดฉนวนความขัดแย้งระหว่างไทยมุสลิมกับไทยพุธโดยปล่อยข่าวจริงบ้างเท็จบ้างอยู่ตลอดเวลา / Ishak Phongmanee

เตือนสติพี่น้อง....
มีผู้พยายามจะจุดฉนวนความขัดแย้งระหว่างไทยมุสลิมกับไทยพุธโดยปล่อยข่าวจริงบ้างเท็จบ้างอยู่ตลอดเวลา เช่น
1-บุคคลสำคัญในประเทศกำลังเปลี่ยนไปนับถือิสลามกันเกือบหมดแล้ว
2-มีการวางแผนฮุบประเทศไทยโดยพวกมุสลิม
3-มีการจ่ายเงินซื้อคนเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม
4-มีการสร้างมัสยิดเพิ่มขึ้นมากมายตามหัวเมืองต่างๆ
5-และ ฯลฯ

ผมเชื่อว่าคำลวงเหล่านี้อาจมีผลต่อคนที่ไม่ติตตามข่าวสารบ้านเมืองหรือคนที่ไกลปื่นเที่ยง แต่หากเป็นคนยุคใหม่ที่ติดตามข่าวสารอยู่อย่างต่อเนื่องก็คงจะไม่เชื่อข่าวปล่อยเหล่านี้
แต่ถึงอย่างไรแม้ข่าวมันจะเท็จแค่ไหน ก็มิวายคนจะหลงเชื่อต่าม ดังนั้นหากท่านพบเจอก็อย่างได้ใช้อารมณ์เข้าไปด่าหรือใช้วาจาที่ไม่ควรเพราะจะเข้าทางของคนที่ไม่ประสงค์ดี แต่จงครองสติหาทางชี้แจงด้วยเหตุด้วยผลและข้อเท็จจริงที่อ้างอิงได้
ผมเห็นกระแสแบบนี้แล้วรูสึกเป็นห่วงว่าในอนาคต หากมีคนหลงเชื่อตามข่าวเท็จเหล่านี้ ความสงบร่มเย็นที่เราชาวไทยอยู่ร่วมกันมาก็จะเหมือนดังเดิมอีกต่อไป
ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายตั้งสติให้ดีก่อนจะชี้แจงตอบโต้ใดๆ ว่าเดินเข้าทางของคนที่ประสงค์ร้ายหรือไม่ การดึงเอาเรื่องศาสนามาเป็นเครื่องมือทางการเมืองนับว่าสงกปรกโสมมมากๆ แต่คนไร้ศีลธรรมมักจะไม่เลือกวิธีการ ขอให้บรรลุเป้าหมายก็เป็นพอ
ผมเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้มาจากผลประโยชน์อะไรบางอย่าง เพราะคนไม่มีประโยชน์อันใดย่อมไม่สร้างปัญหาให้กับสังคมที่ตนอาศัยอยู่อย่างแน่นอน
ขอให้มุสลิมมีสติและมีความสุขุมรอบคอบสำหรับการชี้แจง อย่าได้ตอบโต้ด้วยอารมณ์ร่วมเด็ดขาด เพราะอาจจะยิ่งเข้าทางคนพวกนั้น ซึ่งเขื่อว่ามิใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศและก็มิใช่ส่วนใหญ่จากพุธศาสนิกของประเทศเช่นกัน

มัศละฮะห์ (ประโยชน์) มีสามประเภท / หลักมัศละฮะห์ เป็นหลักทัายสุดจากหลักพื้นฐานสี่ประการ / Ishak Phongmanee

มัศละฮะห์ (ประโยชน์) มีสามประเภท
ที่มีหลักการรับรอง
ที่มีหลักการยกเลิก
ที่ไม่มีหลักการรับรองหรือยกเลิก
(อัลมั๊วอ์ตะบะเราะห์)
(อัลมุลฆอต)
(อัลมุรสะละห์)
หลักมัศละฮะห์ เป็นหลักทัายสุดจากหลักพื้นฐานสี่ประการ คือ
1-อัลกิตาบุลลอฮ์
2-อัซซุนนะห์
3-อัลอิจมาอ์
4-อัลกิยาส
———
5-ประโยชน์ที่ไม่มีตัวบทรับรองหรือยกเลิก (อัลมัสละฮะห์ อัลมุรสะละห์)
ตราบใดที่มีหลักสี่ข้อข้างต้น การนำหลักอัลมัศละฮะห์อัลมุรสะละห์มาใช้ ถือว่าผิดขั้นตอนและถือว่าไม่ถูกต้อง
ดังนั้นอย่าอ้างกันมั่วๆ เรื่องมัศละฮะห์ -ประโยชน์ และอย่าได้นำมาใช้แบบรุ่มร่าม ตัวอย่างประโยชน์ที่หลักการศาสนายกเลิกไป เช่น
ขายเหล้าได้เงินและขายล็อตเตอรี่ก็ได้เงิน แม้จะนับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ขาย แต่มีหลักการห้ามขาย นั่นหมายความว่าหลักการศาสนา ยกเลิกประโยชน์ดังกล่าว

ชุบุฮาต !!! / Ishak Phongmanee

ชุบุฮาต !!!
1-เขาต่อสู้และตอบโต้ อาจจะมีอะไรไม่ตรงบ้าง
2-เขาได้รับการรับรองจากผู้รู้ (เชควะศี้ย์)
3-งัดแต่เรื่องเก่ามา จริงๆแล้วเขาแก้ไขและเปลี่ยนแปลงหมดแล้ว
4-ผู้ตำหนิเขา ทำได้เท่าเขาหรือเปล่าว สามารถเอาใครเข้าอิสลามได้บ้าง
และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายที่งัดกันขึ้นมาเพื่อป้องคุณซากิร ไนค์ แต่ถ้าเจาะทีละประเด็นก็จะพบว่านั่นเป็นเพียง “ชุบฮะห์” เท่านั้นเอง
ทั้งหมดเหล่านี้มาจากมุมมองเรื่องโทษและประโยชน์ที่คุณซากิร ไนค์ทำ ใครที่มองถึงมุมประโยชน์ ก็จะไม่มองถึงโทษใดๆ ที่เกิดขึ้น
ส่วนใครที่มองในมุมโทษ (ผลเสียหาย) ก็จะเห็นว่าประโยชน์เป็นเรื่องเบาบางกว่า
เรื่องนี้ใช้ความรู้สึกไม่ได้ แต่ต้องเอาหลักการมาวางแล้วพิจารณาไปตามหลักการที่มีอยู่คือ
1-เป็นประโยชน์ตามที่มีหลักการรับรอง
2-เป็นประโยชน์ที่มีหลักการยกเลิกไปแล้ว
3-เป็นประโยชน์ที่ไม่มีหลักการรับรองหรือยกเลิก
หลักการพิจารณา
1-การต่อสู้หรือการตอบโต้ ศาสนาอนุญาตให้พูดเท็จได้ไหม
2-ผู้รู้ที่มารับรองนั้น เขารับรองทุกเรื่องหรือไม่คือรับรองเรื่องผิดๆ ด้วยไหม
3-เขาเลิกและแก้ไขแล้ว เลิกเรื่องอะไรและแก้ไขเรื่องอะไร เขาพูดเองหรือผู้อื่นว่ากันเอง
4-จำเป็นไหมผู้ตำหนิต้องทำได้ทุกอย่างแบบเดียวกับผู้ถูกตำหนิ
ชุบุฮาต คือข้อคลุมเครือที่รอการชี้แจ้งแก้ไขให้หมดความคลุมเครือ ใครจะอาสาครับ

ว่าด้วยเรื่องประโยชน์ / Ishak Phongmanee

ว่าด้วยเรื่องประโยชน์
สิ่งไหนที่มีหลักการใช้ให้กระทำหรือส่งเสริมให้กระทำ สิ่งนั้นมีประโยชน์แน่นอนไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่ หากมีหลักการใข้ให้ปฏิบัติ สิ่งนั้นคือประโยชน์และเป็นประโยชน์ที่ศาสนารับรอง
1-อะกีดะห์ทั้งหลาย
2-อิบาดาตทั้งหลาย
3-มุอามะลาตทั้งหลาย
4-อัคล๊ากทั้งหลาย
5-และฯลฯ

สิ่งนี้เรียกว่า อัลมะศอและห์อัลมั๊วอ์ตะบะเราะห์

ว่าด้วยเรื่องโทษ / Ishak Phongmanee

ว่าด้วยเรื่องโทษ
คำว่า "โทษ" ในที่นี้หมายถึงผลเสียต่างๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่า "ประโยชน์"
หากเรื่องใดที่ศาสนาใช้ให้ละทิ้งหรือเว้นปฏิบัติ สิ่งนั้นคือโทษหรือมีผลเสียที่จะเกิดขึ้นทันที หรือจะมีตามมาภายหลัง แม้บางอย่างอาจมีผลดีอยู่บ้าง แต่เมื่อพิจารณาทุกแง่มุมแล้วจะพบว่าผลเสียของมันมีมากกว่า
ผลดีหรือประโยชน์ที่อาจมีนั้น คือประโยชน์ที่ศาสนายกเลิกและไม่นำมาพิจารณา เช่น
1-ประโยชน์ที่เกิดจากสุรายาเมา คือทั้งเสพทั้งขาย
2-ประโยชน์ที่เกิดจากดอกเบี้ย
3-ประโยชน์จากซากสัตว์ที่มิได้เชือดถูกต้องตามหลักการ ยกเว้นหนังที่ฟอกแล้ว
4-ประโยชน์จากการโกหกในเรื่องการซื้อขายหรือเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ในยามศึกสงคราม คำพูดที่ทำให้คนดีกัน และสามีภรรยาที่พูดให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
5-และฯลฯ
แม้ประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้จะมีอยู่บ้าง แต่ศาสนาก็ไม่ถือว่าเป็นประโยชน์ที่จะได้รับการยอมรับตามหลักการ
ดังนั้นนักวิชาการจึงเรียกมันว่า "ประโยชน์ที่ศาสนายกเลิก" หรือที่เรียกเป็นภาษาอาหรับว่า "อัลมะศอและห์ อัลมุลฆ๊อต"

เชคร่อเบี๊ยอ์ อิบนุ ฮาดี อัลมัดค่อลี่ เมื่อผู้รู้ที่รู้จริงได้ตำหนิใครคนหนึ่ง /Ishak Phongmanee

เชคร่อเบี๊ยอ์ อิบนุ ฮาดี อัลมัดค่อลี่ กล่าวไว้ว่า
قال الشيخ ربيع بن هادي المدخلي حفظه الله .
فإذا جرح عالم بصير شخصاً بارك الله فيكم ؛ يجب قبول هذا الجرح ، فإذا عارضه عالم عدل متقِن ، فحينئذ يُدرَس ما قاله الطرفان ويُنظَر في هذا الجرح وهذا التعـديل فإن كان الجرح مفسَّراً مبيَّناً قُدِّم على التعديل، ولو كثر عدد المعدلين ؛ إذا جاء عالم بجرح مفسَّر ، وخالفه عشرون ، خمسون عالما ،ً ما عندهم أدلة ، ما عندهم إلا حسن الظن والأخذ بالظاهر ، وعنده الأدلة على جرح هذا الرجل فإنه يقدم الجرح؛ لأن الجارح معه حجة ، والحجة هي المقدَّمة، وأحياناً تقدم الحجة ولو خالفها ملء أهل الأرض، ملء الأرض خالفه والحجة معه فالحق معه ، الجماعة من كان على الحق ولو كان وحده .

เมื่อผู้รู้ที่รู้จริงได้ตำหนิใครคนหนึ่ง “ขออัลลอฮ์ประทานความจำเริญแก่พวกท่าน” จำเป็นต้องน้อมรับคำตำหนินั้น และหากมีผู้รู้ท่านอื่นที่เที่ยงธรรมแม่นยำค้าน ตรงนี้ก็ต้องศึกษาคำพูดของทั้งสองฝ่ายและพิจารณาทั้งการตำหนิและการรับรอง
หากการตำหนิมีการอธิบายชัดเจน(ด้วยหลักฐาน) ก็ยึดคำตำหนินั้นไว้เหนือกว่าการรับรอง แม้จะมีผู้รับรองมากมายแค่ไหนก็ตาม
หากผู้รู้ตำหนิ(โดยอ้างอิงหลักฐาน)โดยละเอียด จะมีผู้อื่นค้านยี่สิบคน ห้าสิบคนแต่ไม่มีหลักฐานใดๆ(ในการค้านนั้น) มีแต่เพียงคิดดีและยึดเอาตาม(สภาพ)ที่ปรากฏเห็นทั่วไป
ดังนั้นใครที่ตำหนิพร้อมมีหลักฐานยืนยัน ต้องยึดการตำหนินั้น เหตุเพราะผู้ตำหนิมีหลักฐาน หลักฐานต้องมาก่อน แมัหากเขานำเสนอหลักฐานแล้วมีคนเต็มโลกค้านเขา
หลักฐานและความจริงอยู่กับเขา คำว่า “ญะมาอะห์-ชนส่วนใหญ่” คือคนที่อยู่บนความจริงแม้จะยืนอยู่เพียงเดียวดายก็ตาม

นักพูดเยอะ แต่คนเข้าใจจริงๆน้อย / Ishak Phongmanee

นักพูดเยอะ แต่คนเข้าใจจริงๆน้อย
+++++++++++++++++++++++++
อิบนุมัสอู๊ด ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า
...
وَسَيَأْتِي مِنْ بَعْدِكُمْ زَمَانٌ؛ قَلِيلٌ فُقَهَاؤُهُ، كَثِيرٌ خُطَبَاؤُهُ ... [الأدب المفرد، ص: 275، رقم: 789].

"ต่อไปภายภาคหน้า (คือ) หลังจากพวกท่าน(จาก)ไปแล้ว จะมีกาลเวลาหนึ่ง (มาถึง คือยุคที่) บรรดาผู้เข้าใจ(ศาสนาจริงๆจะมี) น้อย แต่บรรดานักพูด (เรื่องศาสนาจะมี) เยอะ"

ในยุคใกล้วันสุดท้าย การยืนหยัดอยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง ยังดีกว่าการปฏิบัติ(ความดี) บางอย่าง / Ishak Phongmanee

อิบนุมัสอู๊ด...
"ในยุคใกล้วันสุดท้าย การยืนหยัดอยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง ยังดีกว่าการปฏิบัติ(ความดี) บางอย่าง"
اعْلَمُوا أَنَّ حُسْنَ الْهَدْيِ، فِي آخِرِ الزَّمَانِ، خَيْرٌ مِنْ بَعْضِ الْعَمَلِ" [الأدب المفرد، ص: 275، رقم: 789].

อิม่าม สุฟยาน อัษเษารี่ (ฮ.ศ 97-161) สอนว่า // Ishak Phongmanee

อิม่าม สุฟยาน อัษเษารี่ (ฮ.ศ 97-161) สอนว่า
"พวกท่านทั้งหลายจงขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ให้พ้นจากฟิตนะห์ของคนเคร่งแต่ไม่มีความรู้ และให้พ้นจากฟิตนะห์ของ(โต๊ะครู)ที่รู้แต่เลว เพราะฟิตนะห์ของคนสองประเภทนี้คือฟิตนะห์ของทุกคนที่โดน (พิษ) ฟิตนะห์"
قال سُفْيَانُ الثَّوْرِيُّ: يُقَالُ: "تَعَوَّذُوا بِاللَّهِ مِنْ فِتْنَةِ الْعَابِدِ الْجَاهِلِ, وَفِتْنَةِ الْعَالِمِ الْفَاجِرِ, فَإِنَّ فِتْنَتَهُمَا فِتْنَةٌ لِكُلِّ مَفْتُونٍ" [أخلاق العلماء، للآجري، ص: 87]

ท่านฟุฎอย บิน อิยาฎ (ฮ.ศ 107-187) กล่าวว่า / Ishak Phongmanee

ท่านฟุฎอย บิน อิยาฎ (ฮ.ศ 107-187) กล่าวว่า
"แท้จริงอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งยิ่ง รักผู้รู้ที่ถ่อมตนและเกลียดคนอวดโต ผู้ใดถ่อมตนเพื่ออัลลอฮ์ อัลลอฮ์จะมอบฮิกมะห์(ความรู้อันลึกซึ้ง)แก่เขา"
قال الْفُضَيْلُ بْنُ عِيَاضٍ: "إِنَّ اللَّهَ -عَزَّ وَجَلَّ- يُحِبُّ الْعَالِمَ الْمُتَوَاضِعَ, وَيُبْغِضُ الْجَبَّارَ, وَمَنْ تَوَاضَعَ لِلَّهِ وَرَّثَهُ اللَّهُ الْحِكْمَةَ" [أخلاق العلماء، للآجري، ص: 95]

เอาความรู้จากผู้ด้อยอาวุโส / Ishak Phongmanee

เอาความรู้จากผู้ด้อยอาวุโส
รายงานจากอบีอุมัยยะห์ อัลญุมะฮี่ ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ ว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศอลลัลลอูอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
إن من أشراط الساعة أن يلتمس العلم عند الأصاغر "السلسلة الصحيحة" 2 / 316
"แท้จริง หนึ่งจากสัญญาณวันกิยามะห์ คือ จะมีการแสวงหาความรู้จากเด็กๆ(ผู้ด้อยอาวุโส)"
قال ابراهيم الحربي (198-285)
"الصغير إذا أخذ بقول رسول الله والصحابة والتابعين فهو كبير، والشيخ الكبير إن ترك السنن فهو صغير"
นักฮะดีษอาวุโส ท่านอิบรอฮีม อัลฮัรบี่ กล่าวว่า
"หากเด็กยึดร่อซูลลลอฮ์ ศ่อฮาบะห์ และตาบิอีน เขาคือผู้อาวุโส ผู้อาวุโสที่ทิ้งอัซซุนัน (แบบอย่าง) เขาคือเด็ก (ผู้ด้อยอาวุโส)"
ท่านอับดุลลอฮ์อืบนุมุบาร๊อกกล่าวว่า
قال ابن المبارك : " الأصاغر : أهل البدع
"เด็กๆ คือพวกบิดอะห์ทั้งหลาย"

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2563

#ผ่านไปหนึ่งปีใกล้ความตายอีกหนึ่งปี

#ผ่านไปหนึ่งปีใกล้ความตายอีกหนึ่งปี

ชัยค์อิบนุ อุษัยมีน กล่าวว่า :

قال العلامة ابن عثيمين - رحمه الله -:

" كلٌّ عام يمرُّ بكم يقرّبكم من القبور عامًا،
ويبعّدكم عن القصور عامًا ".

 [ الضياء اللام : ٧٠٣ ]

"ทุก ๆ ปีที่ล่วงเลยผ่านพ้นมายังพวกท่าน
มันทำให้พวกท่านเข้าใกล้หลุมฝังศพไปอีกหนึ่งปี
และทำให้พวกท่านออกห่างจากที่พำนักไปอีกหนึ่งปี"

#พื้นฐานการดะอฺวะฮ์ตามแนวทางสะลัฟ

#พื้นฐานการดะอฺวะฮ์ตามแนวทางสะลัฟ

ชัยค์อับดุสสลาม บิน บัรญิส ได้กล่าวว่า :

للشيخ عبدالسلام بن برجس - رحمـهُ الله تعالى -:

•الأصل الأول: الاهتمام والعناية بطلب العلم الشرعي والتفقه في الدين.

•الأصل الثاني: الحرص على التطبيق العملي للإسلام.

•الأصل الثالث: الدعوة إلى الله تعالى على بصيرة.

•الأصل الرابع: الاهتمام بعقيدة السلف علماً وعملاً وتعليمًا.

•الأصل الخامس: الاهتمام بالسنّة النبوية والحرص على العمل بها والدعوة إلى ذلك.

•الأصل السادس: الارتباط الوثيق بعلماء السنّة.

•الأصل السابع: الابتعاد عن الحزبيات والجماعات الإسلامية السّرية.

•الأصل الثامن: التزامنا بما دلّ عليه الكتاب والسنة وأجمع عليه سلف الأمة في معاملة أئمتنا وحكامنا.

•الأصل التاسع: منابذة أهل البدع والتحذير منهم.

•الأصل العاشر: التزامنا بالكتاب والسنّة في كل شؤوننا واحوالنا.

[ أصول الدعوة السلفية : ٢٦٫٧٥ ]

1. ให้ความสำคัญ และเอาใจใส่ต่อการแสวงหาความรู้ และทำความเข้าใจในบทบัญญัติของศาสนา

2. มุ่งมั่นในการนำคำสอนของอิสลามมาปฏิบัติ

3. ดะอฺวะฮ์ผู้คนสู่อัลลอฮ์ ด้วยกับความรู้อันชัดแจ้ง

4. ให้ความสำคัญ กับอะกีดะฮ์ของสะลัฟ ในแง่ของความรู้ การปฏิบัติ และการสอน

5. ให้ความสำคัญ กับซุนนะฮ์ของท่านนบี ปฏิบัติตามและดะอฺวะฮ์ไปสู่ซุนนะฮ์

6. ปฏิสัมพันธ์อย่างเหนียวแน่นต่อบรรดาอุละมาอ์ซุนนะฮ์

7. ออกห่างจากองค์กรและกลุ่มทำงานอิสลามที่เป็นขบวนการใต้ดิน

8. ต้องยึดมั่นด้วยกับสิ่งที่มีกุรอานและซุนนะฮ์ และสิ่งที่ชนสะลัฟได้เห็นพ้องต้องกัน ในเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้นำ และผู้ปกครองของเรา

9. ต่อต้าน ปราบปรามกลุ่มชนที่นิยมบิดอะฮ์ และเตือนให้ระวังพวกเขา

10. ต้องยึดมั่นด้วยกับกุรอานและซุนนะฮ์ ในทุก ๆ กิจการงาน และทุก ๆ สถานการณ์

#เมื่อไม่รู้ที่มาของทรัพย์ให้ถือว่ามันฮาลาล

#เมื่อไม่รู้ที่มาของทรัพย์ให้ถือว่ามันฮาลาล

قال النووي - رحمه الله -:

من ورث مالاً ولم يعلم من أين كسبه مورثه أَمِنْ حلال أم مِن حرام، ولم تكن علامة فهو حلال بإجماع العلماء، فإن علم أن فيه حراماً وشكَّ في قدره أخرج قدر الحرام بالاجتهاد.

 [ المجموع شرح المهذب : ٩/٤٢٨ ]

หากบุคคลใดได้รับทรัพย์มรดก และไม่ทราบเลยว่าเจ้าของทรัพย์มรดกได้ทรัพย์นั้นมาจากที่ใด แหล่งที่มาฮาลาล หรือฮารอม และก็ไม่ปรากฏสิ่งที่จะทำให้รู้ได้ว่ามันมาจากแหล่งไหนกัน  ดังนั้น ให้ถือว่าทรัพย์มรดกนั้น คือ ทรัพย์ที่ฮาลาล โดยการเห็นพ้องต้องกันของอุละมาอ์

แต่หากเขารู้ว่ามีทรัพย์ที่เป็นส่วนที่ฮารอมอยู่ในนั้น แต่เขาไม่แน่ใจในขอบเขตของมัน เขาจะต้องนำทรัพย์จำนวนที่เป็นทรัพย์ฮารอมออกไป ตามการวินิจฉัยของเขาเอง.

#ประเภทของการประดิษฐ์ขึ้นใหม่

#ประเภทของการประดิษฐ์ขึ้นใหม่

ชัยค์ศอลิห์ อัลเฟาซาน กล่าวว่า :

 قال الشيـخ صالح الفوزان - حفظـه الله -:

▪والابتداع على قسمين :

١. ابتداع في العادات
● كابتداع المخترعات الحديثة، وهذا مباح، لأن الأصل في العادات الاباحة

٢. وابتداع في الدين
● وهذا محرم، لأن الأصل فيه التوقيف، قال صلى الله عليه وسلم : "من أحدث في أمرنا هذا ما ليس منه فهو رد" وفي رواية : "من عمل عملا ليس عليه أمرنا فهو رد".

[ البدعة تعريفها أنواعها أحكامها : ٧-٨ ]

การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ มี 2 ประเภท คือ :

1. การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในเรื่องอาดะฮ์ (เรื่องเกี่ยวกับธรรมเนียม ประเพณี การปฏิบัติของมนุษย์)  เช่น การประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์สมัยใหม่ต่าง ๆ ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ล้วนแล้วเป็นสิ่งที่อนุญาตให้กระทำได้ เนื่องจากหลักเดิมในเรื่องอาดะฮ์ คือการอนุญาตให้กระทำได้

2. การประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในเรื่องศาสนา และกรณีนี้ เป็นสิ่งต้องห้ามกระทำ เพราะว่าหลักเดิมในเรื่องศาสนา คือการหยุดอยู่บนตัวบทคำสั่ง 

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า :

"บุคคลใดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในกิจการงานของเรา(ศาสนา) ซึ่งไม่มีมาจากมัน มันจะถูกปฏิเสธ".

[ รายงานโดย บุคคอรีย์ : 167 ]

และอีกสายรายงานหนึ่ง ว่า :

"บุคคลใดประกอบการงานใดการงานหนึ่ง ซึ่งไม่มีในบัญญัติใช้ของเรา การงานนั้นจะถูกปฏิเสธ".

[ รายงานโดย มุสลิม : 1718 ]

#ดั่งกฏทางฟิกฮ์ที่ว่า :

« الأصل في العبادات : الحظر ، إلا ما ورد عن الشارع تشريعه ، والأصل في العادات : الإباحة ، إلا ما ورد عن الشارع تحريمه ».

[ رسالة لطيفة في أصول الفقه ]

หลักเดิมในเรื่องอิบาดะฮ์ คือ การห้าม เว้นแต่สิ่งที่มีรายงานว่าได้มีการบัญญัติมันจากผู้กำหนดศาสนบัญญัติ ว่าอนุญาต

และหลักเดิมในเรื่องอาดะฮ์ คือ อนุญาต เว้นแต่ได้มีการบัญญัติมันจากผู้กำหนดศาสนบัญญัติ ว่าห้าม

#ประเภทของบิดอะฮ์

#ประเภทของบิดอะฮ์

ชัยค์ศอลิห์ อัลเฟาซาน กล่าวว่า :

บิดอะฮ์ในศาสนา มีสองประเภท ได้แก่ :

‏قال الشيخ صالح  الفوزان - حفظه اللّٰه -:

أنواع البدع:

▪البدع في الدين نوعان  :

● النوع الأول: بدعة قولية اعتقادية كمقالات الجهمية والمعتزلة والرافضة وسائر الفرق الضالة واعتقاداتهم

● النوع الثاني: بدعة في العبادات كالتعبد لله بعبادة لم يشرعها

[ البدعة تعريفها أنواعها أحلامها : ٨-٩ ]

ประเภทที่หนึ่ง : คือ บิดอะฮ์ในด้านคําพูดที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ เช่น คำพูดต่าง ๆ ของพวกญะฮฺมียะฮ์ มุอฺตะซิละฮ์ รอฟิเฎาะฮ์ และกลุ่มหลงผิดต่าง ๆ

ประเภทที่สอง : คือ บิดอะฮ์ในด้านอิบาดะฮ์ เช่น การประกอบอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ ด้วยกับอิบาดะฮ์ที่พระองค์ไม่ได้บัญญัติไว้P

#วิธีเตาบะฮ์จากทรัพย์ที่ฮารอม

#วิธีเตาบะฮ์จากทรัพย์ที่ฮารอม

อิหม่ามอันนะวะวีย์ กล่าวว่า :
อิหม่ามอัลฆอสาลีย์ ได้กล่าวว่า :

قال  النووي : قال الغزالي : إذا كان معه مالٌ حرامٌ وأرادَ التوبة والبراءَة منه، فإنْ كان له مالِكٌ مُعينٌ، وجَبَ صَرْفُه إليه أو إلى وَكيله، فإن كان مَيِّتًا، وجَبَ دَفْعُه إلى وارِثه، وإنْ كان لمالكٍ لا يَعرفه، ويَئِس من معرفته، فينبغي أن يَصْرِفَه في مصالح المسلمين العامَّة، كالقناطر والرُّبُط، والمساجد ومصالح طريق مكة، ونحو ذلك مما يَشترك المسلمون فيه، وإلا فيَتَصَدَّق به على فقيرٍ أو فقراء،

 [ المجموع شرح المهذب :  ٩/٤٢٨ ]

เมื่อมีทรัพย์สินที่ฮารอม เเละต้องการเตาบะฮ์กลับเนื้อกลับตัว เเละหันหลังจากสิ่งนั้น หากมีเจ้าของทรัพย์เป็นตัวเป็นตนชัดเจน จำเป็นต้องคืนทรัพย์นั้นให้แก่เจ้าของ หรือตัวเเทนของเจ้าของทรัพย์

หากเจ้าของทรัพย์ได้เสียชีวิตไปเเล้ว จำเป็นต้องมอบคืนทรัพย์นั้นให้กับทายาทของเจ้าของทรัพย์ แต่หากไม่รู้ว่าเจ้าของทรัพย์เป็นใคร หรือหมดหวังที่จะได้เจอกับเจ้าของทรัพย์แล้ว

ดังนั้น สมควรที่จะจัดการทรัพย์นั้นไปในเรื่องสาธารณประโยชน์แก่มุสลิมโดยทั่วไป เช่น สร้างสะพาน  สร้างมัสญิด สร้างสาธารณประโยชน์ตามถนนหนทาง เเละสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์อื่น ๆ ที่มุสลิมมีส่วนร่วมใช้ในสิ่งนั้น หรือไม่ก็บริจาคให้กับคนยากจนหรือคนขัดสนก็สามารถกระทำได้.

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2563

หะดีษที่กล่าวถึงความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในเดือนรอมฎอน เมื่อวันที่ ๑๕ ตรงกับวันศุกร์ เป็นหะดีษปลอมหรืออยู่ในสถานะอ่อนมากๆ



หะดีษที่กล่าวถึงความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในเดือนรอมฎอน เมื่อวันที่ ๑๕ ตรงกับวันศุกร์ เป็นหะดีษปลอมหรืออยู่ในสถานะอ่อนมากๆ

ใครผู้ใดเผยแพร่และตัดสินว่าศอเฮี้ยะ หลังจากรู้ว่ามันเป็นหะดีษอยู่ในกลุ่มหะดีษฎออีฟมากๆ เขาผู้นั้นได้กระทำบาปและละเมิดคำสั่งของอัลลอฮฺและท่านรอซูล ศ็อลลัลเลาะห์อะลัยฮิวะสัลลัม

หะดีษตัวบทนี้จะมาในสองสำนวนหลัก ๑.สำนวนทีกล่าวว่า النصف من رمضان ليلة جمعة และ๒.สำนวนที่ไม่ได้กำหนดวันที่ ๑๕ ของรอมฎอน ซึ่งทั้งสองสำนวนนี้ เป็นหะดีษที่อุลามาอฺตัดสินสถานะว่าอ่อนมากๆหรือเมาเฎาะ


อัลอุกัยลีย์กล่าวในหนังสืออัฎฎูอะฟาอฺอัลกะบีร เล่ม ๓ หน้า ๕๒ ว่า

ليس له أصل من حديث ثقة ولا من وجه يثبت

ความว่า ไม่มีสำหรับตัวบทหะดีษนี้ (รายงาน) จากหะดีษของผู้รายงานที่น่าเชื่อถือ และไม่มี (การรายงานด้วย) สายรายงานใดๆที่ถูกต้อง

อัลเญารอกอนีย์ได้รายงานหะดีษนี้ด้วยสองสายรายงานในหนังสืออัลอะบาตีลวัลมะนากีร เล่ม๒ หน้า ๑๐๘-๑๐๙ แล้วท่านกล่าวตัดสินสายรายงานหนึ่งว่า มีผู้รายงานที่ชื่อมัสละมะห์ บิน อะลี (มีสถานะ) ฎออีฟ และท่านกล่าวตัดสินอีกสายรายงานว่า มีผู้รายงานที่ชื่ออิสมาอีล ลัยษ์ และชะหัร (บุคคลเหล่านี้มีสถานะ) มัตรูก

อิบนฺอัลเญาซีย์ได้รายงานหะดีษนี้ในหนังสือเมาฎูอาตของท่าน เล่ม ๓ หน้า ๔๖๑ แล้วตัดสินหะดีษว่าเป็นเมาเฎาะอฺ

อัซซะฮะบีย์ได้คัดลอกหะดีษลงในหนังสือตัรตีบอัลเมาฎอาต หน้า ๒๘๗ และตัดสินหะดีษนี้ว่า มีผู้รายงานชื่อมัสละมะห์ บิน อะลี (มีสถานะ) มัตรูก

ท่านได้กล่าวในหนังสือมีซานอัลอิติดาล เล่ม ๒ หน้า ๖๗๕ ว่า มันเป็นการโกหกต่อท่านอัลเอาซาอีย์

และในหนังสือเดี่ยวกัน เล่ม ๔ หน้า ๑๑๑ ท่านได้ตัดสินหะดีษนี้ว่าเป็นหะดีษมุนกัร

อิบนฺอัลกัยยิมได้ตัดสินในหนังสืออัลมะนารอัลมุนีฟ หน้า ๘๗ ว่าเป็นการโกหกต่อท่านนบี (เมาเฎาะอฺ) ซึ่งท่านได้ระบุหะดีษนี้ในกลุ่มหะดีษเมาเฎาะอฺที่มีการระบุวันเวลา

อุลามาอฺร่วมสมัยอย่างอิบนฺบาซ ก็ได้ตัดสินในหนังสือมัจมูอฺฟะตาวาเชคอิบนฺบาซ เล่ม ๒๖ หน้า ๓๔๔ ว่าเป็นหะดีษที่ไม่มีพื้นฐานใดๆของความถูกต้อง ทว่ามันเป็นหะดิษบาติลและปลอม

เช่นเดี่ยวกันกับเชคอัลอัลบาบีย์ ที่ได้ประสบกับเหตุการณ์การเผยแพร่หะดีษนี้ผ่านการคุตบะห์วันศุกร์ อันเนื่องจากปีนั้น (๑๔๑๔ ฮศ.) วันที่ ๑๕ ของเดือนรอมฎอนได้เกิดขึ้นตรงกับวันศุกร์ ทำให้นักคุตบะห์บางคนนำหะดีษนี้เตือนผู้ร่วมละหมาดวันศุกร์ แล้วท่านก็ได้ตัดสินหะดีษว่าเป็นหะดีษปลอม และบอกถึงเหตุของการตัครีชหะดีษนี้ในหนังสือสิลสิละตุลอะหาดีษอัฏฏออีฟะห์วัลเมาฎูอะห์ เล่ม ๑๓ หน้า ๑๐๕๘ ถึงหน้า ๑๐๖๑ แล้วท่านก็กล่าวว่า

وها نحن الآن في يوم السبت التالي ليوم الجمعة المشار إليه، ولم يقع فيه
أي شيء مما ذكر الحديث

ความว่า และพวกเราตอนนี้อยู่ในวันเสาร์ถัดจากวันศุกร์ที่ได้มีการชี้ถึงมัน (สิ่งที่จะเกิดขึ้น) และไม่มีสิ่งใดๆเกิดขึ้นเลยจากสิ่งที่หะดีษได้กล่าวมา

จึงสรุปได้ว่า หะดีษนี้อยู่ในกลุ่มหะดีษที่อ่อนมากๆ ระหว่างหะดีษเมาเฎาะอฺ หะดีษมุนกัร หะดีษฎออีฟญิดดัน ซึ่งตามหลักวิชาการหะดีษ หะดีษที่มีสถานะดังกล่าวนั้น มิอาจนำมาใช้ปฏิบัตในเรื่องความประเสริฐ ไม่สามารถนำมาใช้ในการตัรฆีบตัรฮีบได้ 

ดังนั้น พี่น้องมุสลิมอย่าได้โง่ตามผู้บรรยายบางคนที่ขาดความรู้ทางวิชาการหะดีษ อ้างว่าเป็นหะดีษศอเฮี้ยะ ทั้งๆที่อุลามาอฺได้ตัดสินอย่างชัดเจนแล้ว วัลลอฮูอะลัม