วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

พระเจ้าทรงสถิตอยู่เบื้องบน / เรียบเรียงโดย... อาบีดีณ โยธาสมุทร

พระเจ้าทรงสถิตอยู่เบื้องบน (1)
   เรียบเรียงโดย... อาบีดีณ  โยธาสมุทร 
بسم الله الرحمن الرحيم
         หนึ่งในเรื่องที่เป็นหลักสำคัญของแนวทางซุนนะฮฺก็คือ การเชื่อถือในทุกๆข้อมูลที่อัลลอฮฺ ﷻ  และร่อซู้ลของพระองค์ ﷺ ได้ทรงแจ้งเอาไว้ ทั้งที่ถูกระบุในอั้ลกุ้รอ่านหรือในอั้ลฮะดีษที่เชื่อถือได้ โดยจะต้องเชื่อว่า ทุกๆข้อมูลที่พระองค์ได้ทรงแจ้งเอาไว้นั้นล้วนเป็นความจริง ตรงกับข้อเท็จจริง และถูกสื่อสารไว้ด้วยถ้อยคำที่เหมาะสม ชัดเจนและยังเป็นคำที่สามารถบ่งบอกถึงจุดมุ่งหมายของข้อมูลนั้นๆไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วอีกด้วย
 
          ซึ่งหนึ่งในจำนวนข้อมูลที่อัลลอฮฺ ﷻ ทรงแจ้งไว้ให้พวกเราได้รับทราบ ก็ได้แก่ ข้อมูลที่ได้ทรงแจ้งไว้ให้พวกเราได้รับรู้และศรัทธากันว่า พระเจ้า ﷻ นั้นทรงอยู่เบื้องบน ทรงอยู่เหนือสิ่งถูกสร้างทั้งมวล ซึ่งเป็นการอยู่เหนือขึ้นไปที่เหมาะสมและคู่ควรกับความยิ่งใหญ่ของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้นเหมือนกับพระองค์
  
หลักฐานที่ยืนยันในเรื่องนี้มีอยู่หลายประเภทด้วยกันดังนี้
     ๑.  ข้อมูลที่พระองค์ทรงแจ้งถึงพระนามของพระองค์ที่มีความหมายยืนยันว่า พระองค์นั้นทรงสูงส่ง เช่น พระนามที่ว่า “อั้ลอะลี, อั้ลอะอฺลา และอั้ลมุตะอาล” ดังที่ถูกระบุไว้ใน ซูเราะฮฺอั้ลอะอฺลา/1 , อั้ลบะกอเราะฮฺ/255 (อายะฮฺ อั้ลกุ้รซีย์) และอั้รเราะอฺดุ/9 เป็นต้น.

     ๒. ♦ ข้อมูลที่ให้การยืนยันไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงประทับอยู่เหนือบัลลังก์
ดังที่ปรากฏใน ดำรัสของพระองค์ที่ว่า
( إِنَّ رَبَّكُمُ اللَّهُ الَّذِي خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ فِي سِتَّةِ أَيَّامٍ ثُمَّ اسْتَوَىٰ عَلَى الْعَرْشِ...)
"แน่นอนว่า พระเจ้าของพวกเจ้านั้นคือ อัลลอฮฺ พระผู้ทรงสร้างบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดินขึ้นในหกวัน
จากนั้น พระองค์ก็ทรงประทับอยู่เหนือบัลลังก์"
 (อั้ลอะอฺร้อฟ/54)
           และข้อมูลข้างต้นนี้ยังได้ถูกระบุไว้ในอีกหลายซูเราะฮฺในอั้ลกุรอ่านดังต่อไปนี้ ซึ่งได้แก่ ซูเราะฮฺ ยูนุส/3 , อั้รเราะอฺดุ/2 , ตอฮา/ 5, อั้ลฟุรกอน/ 59, อั้ซซัจดะฮฺ/ 4-5 และอั้ลฮะดี้ด/4. และยังรวมไปถึงข้อมูลที่ถูกระบุไว้ในฮะดี้ษรายงานโดยท่านอนัส เล่าถึงความประเสริฐของ วันศุกร์เอาไว้ความว่า 
“เป็นวันที่พระเจ้าของเจ้าทรงประทับบนบัลลังก์ในวันนั้น”
(ดู ศ่อฮี้ฮฺอั้ตตั้รฆีบ เลขที่ 694 และดูฟะตาวา ชัยคุ้ลอิสลาม 6 /410-416)

     ๓. ♦ ข้อมูลที่ระบุโดยตรงว่า พระองค์ทรงอยู่เบื้องบน 
อัลลอฮฺ ﷻ ตรัสว่า 
( وَهُوَ الْقَاهِرُ فَوْقَ عِبَادِهِ وَهُوَ الْحَكِيمُ الْخَبِيرُ )
"พระองค์คือ พระผู้ทรงอำนาจเด็ดขาดเหนือปวงบ่าวของพระองค์"
(อั้ลอันอาม/18)
และตรัสว่า
( يَخَافُونَ رَبَّهُم مِّن فَوْقِهِمْ وَيَفْعَلُونَ مَا يُؤْمَرُونَ )
"และพวกเขาต่างกลัวพระเจ้าของพวกเขา จากทางเบื้องบนของพวกเขา และพวกเขาก็จะกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งใช้"
(อันนะฮลฺ/50)
และฮะดี้ษที่ท่านนบี ﷺ กล่าวถึงการตัดสินของท่านซะอดฺที่ว่า
 “ท่านได้ทำการตัดสินพวกเขาด้วยคำตัดสินของพระผู้ทรงครอบครองอำนาจ จากเบื้องบนของฟ้าทั้งเจ็ด
 (ดู อั้ลบุคอรีย์เลขที่4121/ มุสลิมเลขที่ 1769)
          ในศ่อฮีฮุ้ลบุคอรีย์ / ฮะดี้ษที่รายงานโดยท่านอนัสที่เล่าถึงคำพูดของท่านหญิงไซหนับที่ว่า “พวกเธอนี้ ทางครอบครัวของพวกเธอเป็นผู้ทำการสมรสให้พวกเธอ แต่ตัวฉัน อัลลอฮฺทรงทำการสมรสให้ฉันจากเบื้องบนฟากฟ้าทั้งเจ็ด”
(ดู เลขที่7420)
          ท่านอับดุลลอฮฺอิบนุมัสอู้ด กล่าวว่า “ผู้เป็นบ่าวนั้นจะพยายามจัดแจงและดูแลกิจการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจหรือเรื่องการเมืองการปกครอง เพื่อให้มันดำเนินไปได้อย่างสะดวก โดยที่อัลลอฮฺทรงมองดูเขาอยู่เหนือฟ้าทั้งเจ็ด
          แล้วพระองค์ก็ตรัสกับมะลาอิกะฮฺว่า จงผันเรื่องนี้ให้พ้นเขาไปเสีย เพราะถ้าหากข้าอำนวยให้เขาได้รับเรื่องนี้ไว้ล่ะก็ ข้าก็จะจัดให้เขาต้องเข้าสู่นรก”  
(ดู อั้ลลาละกาอีย์/ เลขที่ 1219)
          ท่านอิบนุมัสอู้ด ยังได้กล่าวไว้อีกว่า บัลลังก์นั้นอยู่เหนือน้ำ และอัลลอฮฺทรงอยู่เหนือบัลลังก์ ไม่มีการกระทำใดๆเลยของพวกเจ้าแม้แต่การกระทำเดียวที่จะอำพรางให้หลุดรอดจากพระองค์ไปได้” 
(อั้ลลาละกาอีย์/ เลขที่ 659)

     ๔. ♦ ข้อมูลที่มีการระบุไว้โดยชัดเจนว่าพระองค์ทรงอยู่บนฟากฟ้า/ทรงอยู่เบื้องบน
พระองค์ ﷻ ตรัสว่า 
( أَأَمِنتُم مَّن فِي السَّمَاءِ أَن يَخْسِفَ بِكُمُ الْأَرْضَ فَإِذَا هِيَ تَمُورُ . أَمْ أَمِنتُم مَّن فِي السَّمَاءِ أَن يُرْسِلَ عَلَيْكُمْ حَاصِبًا فَسَتَعْلَمُونَ كَيْفَ نَذِيرِ )
"พวกเจ้ารู้ถึงวางใจกับการที่พระผู้ที่ทรงอยู่บนฟากฟ้าจะทรงให้แผ่นดินสูบพวกเจ้าลงไป แล้วมันก็จะสั่นสะท้านกันอย่างนั้นหรือ?
หรือว่าพวกเจ้ารู้สึก วางใจกัน กับการที่พระผู้ที่ทรงอยู่บนฟากฟ้า จะทรงส่งพายุที่หอบเอาการลงโทษมาจัดการกับพวกเจ้า
แล้วพวกเจ้าก็จะได้รู้ว่าการตักเตือนนั้นเป็นเช่นไร"
(ดู อั้ลมุ้ลกฺ /16-17)
ท่านร่อซู้ล ﷺ กล่าวว่า
“พวกท่านจะไม่ไว้ใจข้าพเจ้ากันหรอกหรือ ทั้งๆที่ข้าพเจ้านี้ คือ ผู้ที่เป็นที่ได้รับความไว้วางใจ ของพระผู้ทรงอยู่บนฟ้า 
(ดู อั้ลบุคอรีย์ เลขที่ 3344และ มุสลิม เลขที่ 1064)
          มีรายงานจากท่าน มุอาวิยะฮฺ อิบนิ้ล ฮะกัม เล่าว่า ท่านกล่าวว่า ผมเคยมีทาสที่เป็นเด็กผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ทำหน้าที่ออกไปเลี้ยงแกะให้ผมตรงแถวๆภูเขาอุฮุดและอั้ลยู้วานะฮฺ (พื้นที่ใกล้เคียงกับภูเขาอุฮุด ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมะดีนะฮฺ )  ปรากฏว่ามีอยู่วันหนึ่ง หมาป่าได้เข้ามาจับแกะที่เธอเลี้ยงอยู่ไปหนึ่งตัว ซึ่งตัวผมเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกันกับคนอื่นๆ ก็โกรธเป็นเหมือนกับที่คนอื่นเขาโกรธ แต่ประเด็นคือ ผมได้เข้าไปทำการตบหน้าเด็กหญิงคนนั้นหนึ่งทีน่ะสิครับ ผมจึงไปหาท่านร่อซูลลุ่ลลอฮฺ ﷺ โดยที่ผมรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก 
ผมได้พูดกับท่านไปว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ครับ จะให้ผมปล่อยทาสคนนั้นให้เป็นไทเลยหรือไม่ครับ? 
ท่านบอกว่า “เธอจงไปพาตัวทาสคนนั้นมาหาฉัน” 
ผมจึงนำทาสคนนั้นมาหาท่าน แล้วท่านก็พูดกับทาสคนนั้นว่า “อัลลอฮฺอยู่ที่ไหน?” 
นางตอบว่า “อยู่บนฟ้าค่ะ” 
ท่านถามต่อว่า “ฉันคือใคร?” 
นางตอบว่า “ท่านคือ ร่อซู้ลของอัลลอฮฺ ﷺ ค่ะ”. 
ท่านกล่าวว่า “จงปล่อยนางให้เป็นอิสระได้ เพราะนางคือ ผู้ศรัทธา” 
บันทึกโดย มุสลิม ( ดู เลขที่ 33 และ 537 , อบูดาวู้ด เลขที่930 , อันนะซาอียฺ เลขที่ 1218 และท่านอื่นๆ)
มีรายงานจากท่าน อบี ฮุรอยเราะฮฺ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า ท่านกล่าวว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า 
          “ขอสาบานต่อพระผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า ไม่มีผู้ชายคนใดที่เรียกผู้หญิงของตัวเองให้ไปที่ที่นอนของนางแล้วนางกลับปฏิเสธ นอกเสียแต่พระผู้ที่ทรงอยู่บนฟากฟ้าจะทรงโกรธกริ้วผู้หญิงคนนั้น จนกว่าเขาจะกลับมารู้สึกพอใจกับนาง” 
บันทึกโดย มุสลิม (ดู เลขที่ 1436)
มีรายงานจากท่าน อับดุลลอฮฺ อิบนุ อั้มรฺ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุมา แจ้งว่า ท่านได้กล่าวไว้ว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ﷺ ได้กล่าวไว้ว่า 
“บรรดาคนที่มีความเมตตานั้น พระผู้ทรงเมตตาจะทรงเมตตาพวกเขา
พวกท่านจงเมตตาต่อคนที่อยู่บนผืนแผ่นดิน แล้วพระผู้ที่ทรงอยู่บนฟากฟ้าก็จะทรงเมตตาต่อพวกท่าน” 
บันทึกโดย อั้ตติ้รมิซีย์ (ดูเลขที่ 1924 )โดยท่านกล่าวไว้ว่า “เป็น ฮะดี้ษฮะซันศ่อฮี้ฮฺ”
          (หมายเหตุ ในฮะดี้ษบทนี้เป็นอีกหนึ่งข้อยืนยันที่ ให้การยืนยันว่า คำว่า “ฟี” ที่แปลว่า “ใน” ในอายะฮฺและในฮะดี้ษ ที่ระบุว่า “ฟี้ซซะม้าอฺ” นั้น หมายถึง “อะลา” ที่แปลว่า “บน” เพราะในฮะดี้ษท่านร่อซู้ล ﷺ สั่งให้เราเมตตาต่อคนซึ่งอยู่บนแผ่นดิน ไม่ได้บอกให้เราไปเมตตาต่อสิ่งที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งการจะรับทราบถึงความหมายของคำเหล่านี้ได้ ต้องอาศัยรูปสำนวน (สิย้าก) ของประโยคนั้นๆที่ได้ทำการบังคับจุดมุ่งหมายของคำๆนั้นไว้ด้วยนั่นเอง หรือ อาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า คำว่า ซะม้าอฺ ในภาษาอรับ นั้น หมายถึง ทุกสิ่งที่อยู่เหนือขึ้นไป หรืออยู่เบื้องบน วั้ลลอฮุอะอฺลัม)     
มีรายงานจากท่าน อบี ฮุรอยเราะฮฺ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า
          “คนที่เสียชีวิตนั้น บรรดามะลาอิกะฮฺจะมาหาเขา ถ้าหากเขาเป็นคนดี พวกท่านก็จะพูดกับเขาว่า ชีวิตที่สงบที่เคยอยู่ในร่างอันดีงาม เธอจงออกมาเถิด จงออกมาอย่างมีเกียรติ  และจงมีความปราบปลื้มกับความร่มรื่น ความหอมหวน และพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่ทรงโกรธกริ้ว พวกท่านจะกล่าวเช่นนี้เรื่อยไป จนกระทั่งเขาได้ถูกนำขึ้นไปสู่ฟ้าที่อัลลอฮฺ อั้ซซะวะญั้ล ทรงอยู่บนนั้น

           บันทึกโดย อะฮฺหมัด เลขที่ 8754 โดยท่านเชค อะฮฺหมัด ชากิร ได้กล่าวไว้ว่า “สายรายงานของฮะดี้ษบทนี้ ศ่อฮี้ฮฺ” ,และอิบนุมายะฮฺ เลขที่ 4268 , และอิบนุญะรี้ร ซึ่งท่านเป็นเจ้าของสำนวนนี้ เลขที่ 14615 ,ท่านอั้ซซะฮะบี้ย์ ได้ระบุฮะดี้ษบทนี้ไว้ในหนังสือ “อั้ลอุลู่วฺ”  หน้า 22 โดยท่านได้อ้างกลับไปหา ท่านอะฮฺหมัดและท่านอั้ลฮากิม และได้กล่าวว่า “เป็นฮะดี้ษที่อยู่บนเงื่อนไขของอั้ลบุคอรีย์และมุสลิม” , เชคอั้ลอั้ลบานียฺ ได้กล่าวไว้ใน “มุคตะศ้อร อั้ลอุลู่” ว่า “จริงเหมือนที่ท่าน (อั้ซซะฮะบีย์) ได้ว่าไว้”

     ๕. ♦ ข้อมูลที่ระบุถึงการที่พระองค์ทรงเจาะจงให้มีสิ่งบางสิ่งอยู่ ณ ที่พระองค์
อัลลอฮฺ ﷻ  ตรัสว่า 
( وَلَهُ مَن فِي السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ وَمَنْ عِندَهُ لَا يَسْتَكْبِرُونَ عَنْ عِبَادَتِهِ وَلَا يَسْتَحْسِرُونَ )
"และบุคคลที่อยู่ในบรรดาฟากฟ้าและแผ่นดินนั้นล้วนเป็นของพระองค์
ส่วนผู้ที่อยู่ ณ ที่พระองค์นั้น พวกเขาจะไม่โอหังต่อการทำการสักการะและภักดีต่อพระองค์ และจะไม่เฉื่อยชา"
( อั้ลอันบิย้าอฺ /19)
พระองค์ ﷻ  ตรัสว่า
( وَلَا تَحْسَبَنَّ الَّذِينَ قُتِلُوا فِي سَبِيلِ اللَّهِ أَمْوَاتًا بَلْ أَحْيَاءٌ عِندَ رَبِّهِمْ يُرْزَقُونَ )
"และเจ้าอย่าได้คิดไปว่า บรรดาบุคคลที่ถูกสังหารในหนทางของอัลลอฮฺนั้นคือ คนตาย ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แต่พวกเขาคือ คนที่มีชีวิต อยู่ ณ ที่พระเจ้าของพวกเขา โดยที่พวกเขาได้รับการมอบปัจจัยให้"
(อาละอิมรอน /169)
อัลลอฮฺ ﷻ ตรัสว่า 
( ...إِذْ قَالَتْ رَبِّ ابْنِ لِي عِندَكَ بَيْتًا فِي الْجَنَّةِ...)
"เมื่อครั้งที่นางได้กล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์
ขอพระองค์ทรงโปรดสร้างบ้านหลังหนึ่งในสวรรค์ให้แก่ข้าพระองค์ไว้ ณ ที่พระองค์ด้วยเถิด "
( อั้ตตะฮฺรีม/ 11)
          มีรายงานจากท่าน ญาบิ้ร อิบนุ ซะมุเราะฮฺ ระบุถึงคำพูดของท่านร่อซู้ล ﷺ ไว้ว่า "พวกท่านจะไม่ยืนเรียงแถวให้เหมือนกับที่บรรดามะลาอิกะฮฺได้ยืนเรียงแถวกัน ณ ที่พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขากันหรอกหรือ? "
(มุสลิม เลขที่ 430)

     ๖. ♦ ข้อมูลที่ระบุไว้ว่า อัลลอฮฺ ทรงยกท่านนบีอีซา  ขึ้นไปสู่พระองค์
อัลลอฮฺ ﷻ ตรัสว่า 
( وَمَا قَتَلُوهُ يَقِينًا . بَل رَّفَعَهُ اللَّهُ إِلَيْهِ وَكَانَ اللَّهُ عَزِيزًا حَكِيمًا )
"และพวกเขาไม่ได้สังหารท่านแต่อย่างใดเลยอย่างแน่นอน แต่อัลลอฮฺ ทรงยกท่านขึ้นไปสู่พระองค์ต่างหาก
และอัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้ทรงเกียรติ พระผู้ทรงมีเหตุผลอันลึกซึ้งและเหมาะสม"
 (อันนิสาอฺ/ 157-158)

    ๗. ♦ ข้อมูลที่ระบุไว้ว่า การงานจะขึ้นไปสู่พระองค์
อัลลอฮฺ ﷻ ตรัสว่า 
(...إِلَيْهِ يَصْعَدُ الْكَلِمُ الطَّيِّبُ وَالْعَمَلُ الصَّالِحُ يَرْفَعُهُ... )
"คำพูดที่ดีๆ นั้นจะขึ้นไปหาพระองค์ และการงานที่ดีๆนั้นพระองค์ก็จะยกมันขึ้น"
( ฟาฏิร/10)
ใน ศ่อฮีฮุ้ลบุคอรีย์ ได้ระบุรายงานถึงท่าน อบี ฮุรอยเราะฮฺ แจ้งว่า ท่าน กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า
“ใครก็ตามที่บริจาคทานเป็นจำนวนเท่ากับอินทผลัม หนึ่งผล
โดยเป็นทานที่เกิดขึ้นจากการทำมาหากินที่ดี ซึ่งจะมีเฉพาะสิ่งที่ดีๆเท่านั้นที่จะขึ้นไปสู่อัลลอฮฺได้ 
อัลลอฮฺ ตะอาลา ก็จะทรงรับทานนั้นไว้ด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
จากนั้นพระองค์ก็จะทรงทำให้มันเพิ่มพูนขึ้นให้แก่เจ้าของของมัน
เหมือนกับที่คนๆหนึ่งในพวกท่านเลี้ยงดูลูกม้าของตัวเอง
กระทั่งทานนั้นจะเป็นเหมือนกับภูเขาอุฮุดเลยทีเดียว"
จนกระทั่งจบฮะดี้ษ  เลขที่ 7430
ใน ศ่อฮี้ฮฺ มุสลิม ไเลขที่ 179 ด้ระบุรายงานถึงท่าน อบี มูซา อั้ลอั้ชอารีย์ แจ้งว่า ท่าน กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า 
           “อัลลอฮฺ อั้ซซะวะญั้ล นั้น ไม่ทรงหลับ และเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะทรงหลับ..” กระทั่งถึงคำพูดของท่านที่ว่า “ผลงานของช่วงกลางคืนจะถูกยกขึ้นไปสู่พระองค์ก่อนผลงานของช่วงกลางวัน และ ผลงานของช่วงกลางวันก็จะถูกยกขึ้นไปสู่พระองค์ก่อนผลงานของช่วงกลางคืน ฉากกั้นของพระองค์คือ รัศมี –(ในกระแสรายงานของ อบูบักร ระบุว่า คือ เพลิง)- หากพระองค์ทรงเปิดมันออก ความเจิดจรัสของใบหน้าของพระองค์ก็จะแผดเผาสิ่งที่สายพระเนตรของพระองค์ไปสิ้นสุดอยู่จากบรรดาสิ่งถูกสร้างของพระองค์” 

     ๘. ♦ ข้อมูลที่ยืนยันให้ทราบว่า วิญญาณของผู้ศรัทธาจะขึ้นไปสู่พระองค์ 
ในมุซนัด เล่มที่ 4 หน้า 287 – 288 ของ ท่านอิหม่าม อะฮฺหมัด ได้ระบุ ฮะดี้ษ ที่รายงานโดยท่าน อั้ลบะร้ออฺ อิบนุ อาซิบ ไว้ว่า 
“เมื่อบ่าวผู้ศรัทธาถึงช่วงที่จะต้องตัดขาดจากดุนยาและมุ่งสู่อาคิเราะฮฺ......”
กระทั่งถึงข้อความที่ว่า “กระทั่งพวกท่านได้นำวิญญาณนั้นให้มาหยุด อยู่ที่ฟ้าชั้นที่เจ็ด
แล้วอัลลอฮฺ ตะอาลา ก็ตรัสว่า “พวกเจ้าจงบันทึกบัญชีของบ่าวของข้าไว้กับบรรดาผู้ที่มีความสูงส่งเสีย และจงนำเขากลับไปที่ผืนดิน"
” กระทั่งจบฮะดี้ษ  

          อั้ลฮัยซะมีย์ ได้นำฮะดี้ษบทนี้มากล่าวไว้ใน  อั้ลมั้จมะอฺ เล่ม 3 หน้า49 – 50 และได้กล่าวว่า “รายงานโดย อะฮฺหมัด ซึ่งบรรดาผู้รายงานของท่าน คือ บรรดาผู้รายงานของ หนังสือ อั้ศศ่อฮี้ฮฺ”   
(หมายเหตุ ก่อนหน้านี้ได้กล่าวถึงฮะดี้ษ ที่ท่านอะบีฮุรอยเราะฮฺ ได้รายงานไว้เกี่ยวกับเรื่องๆนี้แล้ว ลองย้อนกลับไปดู)

9.♦ ข้อมูลที่ยืนยันเรื่อง การขึ้นไปหาพระองค์ ﷻ ของบรรดามะลาอิกะฮฺ
อัลลอฮฺ ﷻ ตรัสว่า
 
( مِّنَ اللَّهِ ذِي الْمَعَارِجِ . تَعْرُجُ الْمَلَائِكَةُ وَالرُّوحُ إِلَيْهِ...)
"จากอัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าของทางที่จะนำขึ้นไปสู่เบื้องบน บรรดามะลาอิกะฮฺและอั้รรู้ฮฺจะขึ้นไปหาพระองค์.."
( อั้ลมะอาริจ / 3-4)
ใน อั้ศศ่อฮีฮัยนฺ ได้ระบุรายงานถึง อบี ฮุรอยเราะฮฺ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุม แจ้งว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า 
          “บรรดามะลาอิกะฮฺแห่งช่วงกลางคืนและบรรดามะลาอิกะฮฺแห่งช่วงกลางวัน จะผลัดกันตามติดพวกคุณกันอย่างต่อเนื่อง พวกท่านจะมารวมตัวกันตอนช่วงละหมาดอัศริและละหมาดฟะยัร จากนั้นบรรดาท่านที่ได้อยู่กับพวกคุณมาแล้วก็จะพากันขึ้นไป 
     แล้วพระองค์ก็จะทรงถามพวกท่านเหล่านั้น –ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงรอบรู้เกี่ยวกับพวกเขามากที่สูด- ว่า"พวกเจ้าได้ทิ้งปวงบ่าวของข้าไว้ในสภาพเช่นไร? " 
     พวกท่านเหล่านั้นก็จะตอบว่า "พวกเราทิ้งพวกเขามาในสภาพที่พวกเขากำลังละหมาดกันอยู่ และพวกเราก็ไปหาพวกเขาในสภาพที่พวกเขากำลังละหมาดกันอยู่ครับพระองค์ท่าน” 
(อั้ลบุคอรีย์ เลขที่ 555 , มุสลิม เลขที่ 632 )

10.♦ ข้อมูลที่กล่าวยืนยันถึงการที่ท่านร่อซู้ล ﷺ ได้เดินทาง (มิ้อรอจ) ขึ้นไปสู่ ซิดเราะตุ้ลมุนตะฮา และต่อไปสู่ที่ๆพระองค์ทรงประสงค์
          ใน ศ่อฮี้ฮุ้ล บุคอรีย์ ได้ระบุฮะดี้ษที่กล่าวถึงการมิ้อรอจ ของท่านนบี ﷺ ไว้ จากรายงานของท่าน มาลิก อิบนุเศาะอฺเศาะอะฮฺ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบี ﷺ ได้เล่าให้พวกท่านฟังถึงคืนที่มีการอิ้สร้ออฺว่า 
       “ระหว่างที่ฉันกำลังหลับอยู่ในห้อง ได้มีใครสักคนมาหาฉัน...”กระทั่งถึงข้อความที่ว่า “จากนั้น ฉันก็ถูกยกขึ้นไปที่ ซิดเราะตุ้ลมุนตะฮา....” กระทั่งถึงข้อความที่ว่า “หลังจากนั้น ฉันก็ได้รับการกำหนดบัญญัติเรื่องการละหมาดมา ห้าสิบเวลาต่อวันทุกๆวัน แล้วฉันก็กลับออกมา 
และผ่านไปที่ท่านมูซา ท่านจึงถามว่า ท่านได้รับคำสั่งอะไรมาหรือ? 
ฉันจึงตอบว่า  ฉันได้รับคำสั่งมาให้ละหมาดห้าสิบเวลาทุกๆวัน 
       ท่านจึงบอกว่า ประชาชาติของท่านทำไม่ได้หรอก ละหมาดห้าสิบเวลาต่อวัน สาบานต่ออัลลอฮฺว่า ฉันเคยทดลองกับคนที่มาก่อนหน้าท่านมาแล้ว ฉันเคยพยายามเยียวยาและประคับประคองพวกบนีอิสรออีลมาแล้วอย่างเต็มที่ ดังนั้น จงกลับไปหาพระเจ้าของท่านเสีย และขอให้พระองค์ทรงผ่อนผันให้แก่ประชาชาติของท่าน...” 
(เลขที่3887  และในศ่อฮี้ฮฺมุสลิม เลขที่ 164)

11.♦ ข้อมูลที่กล่าวยืนยันไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงลงมา
ในอั้ศศ่อฮีฮัยนฺ ได้ระบุฮะดี้ษที่รายงานโดยท่านอบี ฮุรอยเราะฮฺ แจ้งว่า ท่าน กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า 
     “ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา ตะบาร่อกะวะตะอาลา จะทรงลงมาที่ฟากฟ้าของดุนยาทุกๆคืน ในช่วงเศษหนึ่งส่วนสามที่เหลืออยู่ของช่วงท้ายของกลางคืน  
โดยพระองค์จะตรัสว่า
     "ใครจะวิงวอนต่อข้าบ้าง ข้าจะได้ตอบรับให้แก่เขา?
ใครจะขอจากข้าบ้าง ข้าจะได้ให้เขา? ใครจะขออภัยโทษต่อข้าบ้าง ข้าจะได้อภัยให้เขา?”
( ดู อั้ลบุคอรีย์ เลขที่ 1145 , มุสลิม เลขที่758)
     หมายเหตุ ในเรื่องๆนี้ มีฮะดี้ษจำนวนมากมายที่ได้มีการรายงานไว้ จากบรรดาศ่อฮาบะฮฺประมาณ สามสิบ ท่านด้วยกันเลยทีเดียว ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุม



12.♦ ข้อมูลที่กล่าวยืนยันไว้เกี่ยวกับการทยอยกันลงมาของบรรดามะลาอิกะฮฺ ,การลงมาของพระบัญชาหรือเรื่องราวจาก ณ ที่พระองค์ ﷻ และการประทานคัมภีร์ลงมาจากพระองค์ ﷻ

อัลลอฮฺ ﷻ ทรงเล่าถึงคำชี้แจงของมะลาอิกะฮฺ ที่มีต่อท่านนบี ﷺ ไว้ว่า 
( وَمَا نَتَنَزَّلُ إِلَّا بِأَمْرِ رَبِّكَ لَهُ مَا بَيْنَ أَيْدِينَا وَمَا خَلْفَنَا وَمَا بَيْنَ ذَٰلِكَ وَمَا كَانَ رَبُّكَ نَسِيًّا )
"และพวกเราจะไม่ลงมาเว้นแต่จะด้วยคำสั่งจากพระเจ้าของท่านเท่านั้น
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเรา สิ่งที่อยู่ข้างหลังพวกเรา
ตลอดจนสิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองสิ่งนี้ล้วนเป็นของพระองค์ และพระเจ้าของท่านไม่ใช่ผู้ที่หลงลืมแต่อย่างใดเลย" 
(มัรยัม / 64)
อัลลอฮฺ ﷻ ตรัสว่า
 "อัลลอฮฺคือ พระผู้ทรงสร้างฟ้าทั้งเจ็ดและผืนแผ่นดินที่เป็นเหมือนๆกันกับฟ้าเหล่านั้น
พระองค์ทประทานเรื่องราวให้ลงมาในระหว่างพวกมัน..."
( อั้ฏเฏาะล้าก/ 12)
พระองค์ ﷻ ตรัสว่า
 "พระองค์ทรงทยอยประทานคัมภีร์ลงมาให้เจ้า ด้วยความจริง"
(อาละอิมรอน/ 3)
พระองค์ ﷻ ตรัสว่า 
"และมันคือการประทานลงมาจากพระเจ้าแห่งทุกสรรพสิ่ง วิญญาณอันซื่อสัตย์ได้นำมันลงมา สู่หัวใจของเจ้า
เพื่อให้เจ้าได้เป็นหนึ่งจากบรรดาผู้กล่าวเตือน"
( อั้ชชุอะร้ออฺ/ 192 – 194)

13.♦ ข้อมูลที่กล่าวถึงการยกมือขึ้นขอดุอาอฺ , การเหลือบสายตามองขึ้นไปทางเบื้องบน 
          ดังที่ปรากฏในฮะดี้ษที่พูดถึงการขอดุอาอฺขอฝน (ดู อั้ลบุคอรีย์ เลขที่ 1013 และ มุสลิม เลขที่ 897) และฮะดี้ษที่เล่าถึงการขอความช่วยเหลือของท่านร่อซู้ล ﷺ จากอัลลอฮฺ ﷻ ในเหตุการณ์คับขันต่างๆ เช่น ตอนสงครามบะดั้ร สงครามอุฮุด สงครามคอนดั้ก สงครามฮุเนน ตลอดจนเหตุการณ์อื่นๆ จริงๆแล้วข้อมูลเกี่ยวกับการยกมือขึ้นขอดุอาอฺนั้น มีปรากฏอยู่ในตำราฮะดี้ษมากมาย ซึ่งมีการระบุไว้มากกว่าร้อยฮะดี้ษในเหตุการณ์ที่แตกต่างกันไป ยิ่งไปกว่านั้นพฤติกรรมนี้ยังเป็นพฤติกรรมที่สอดคล้องกับข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่ในใจของพวกเราทุกคน ซึ่งเป็นที่รับรู้กันจนเป็นปกติอยู่แล้วอีกด้วย เพราะผู้ศรัทธาทุกคนเวลาที่มีเรื่องกลัดกลุ้ม เขาก็ต่างจะพากันยกมือขึ้นสู่เบื้องบนและวอนขอจากพระเจ้าของพวกเขากันทั้งนั้น

14.♦ ข้อมูลที่กล่าวถึงการที่ท่านนบี ﷺ ได้ชี้นิ้วขึ้นสู่เบื้องบนและแหงนศีรษะของท่านขึ้นสู่เบื้องบน ตอนที่ท่านกล่าวคุตบะฮฺอำลา
          ดังที่ปรากฏใน ศ่อฮี้ฮฺมุสลิม เลขที่ 1218 ซึ่งเป็นฮะดี้ษบทยาวที่รายงานโดยท่านยาบิ้ร ซึ่งในนั้นมีข้อความหนึ่งที่ระบุไว้ความว่า 
     “..ฉันได้ทิ้งสิ่งที่ ถ้าหากพวกท่านยึดมั่นกันต่อสิ่งนั้นไว้แล้ว พวกท่านก็จะไม่หลงออกจากทางภายหลังจากนั้นอีกเลย ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ คัมภีร์ของอัลลอฮฺนั่นเอง  และพวกท่านจะต้องถูกถามกันถึงตัวฉัน ไม่ทราบว่าพวกท่านจะตอบกันว่าอะไร?” 
     พวกเขาพากันพูดขึ้นว่า พวกเราปฏิญาณว่า ท่านได้เผยแพร่แล้ว ท่านได้ทำหน้าที่แล้ว และท่านก็ได้ตักเตือนและสั่งสอนแล้ว
     เสร็จแล้วท่านจึงได้ชี้นิ้วชี้ของท่านออกมาและยกมันขึ้นไปหาฟ้า และชี้กลับลงมาหาบรรดาประชาชนเหล่านั้น พลางกล่าวว่า “ขออัลลอฮฺทรงเป็นพยานด้วย ขออัลลอฮฺทรงเป็นพยานด้วย” สามครั้ง....”
     ใน ศ่อฮีฮุ้ลบุคอรีย์ เลขที่ 1739 จากฮะดี้ษของท่าน อิบนุอั้บบ้าส ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุมา  ในการคุตบะฮฺวันเชือด ซึ่งได้ระบุข้อความไว้ความว่า 
“หลังจากนั้นท่านก็แหงนศีรษะของท่านขึ้น แล้วกล่าวว่า 
โอ้ อัลลอฮ์ ข้าพระองค์ได้ทำการถ่ายทอดและเผยแพร่ไปแล้วใช่ไหมครับ ?
โอ้ อัลลอฮ์ ข้าพระองค์ได้ทำการถ่ายทอดและเผยแพร่ไปแล้วใช่ไหมครับ?” ”

15.♦ ข้อมูลที่ยืนยันถึงการมีอยู่จริงของบัลลังก์ และข้อมูลที่บรรยายถึงลักษณะของบัลลังก์ 
          ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วข้อมูลที่อัลลอฮฺ ﷻ ทรงแจ้งไว้เกี่ยวกับบัลลังก์นั้น พระองค์จะทรงอธิบายให้ทราบว่ามันคือ บัลลังก์ของพระองค์ หมายถึง มีการอ้างกรรมสิทธิ์โดยตรงว่ามันเป็นของพระองค์ และทรงแจ้งว่า พระองค์ทรงอยู่บนบัลลังก์ อัลลอฮฺ ﷻ ตรัสว่า
"อัลลอฮฺ คือ ผู้ทรงไม่มีผู้ที่เป็นผู้ที่ถูกสักการะและภักดีโดยชอบธรรมอื่นใดอีกแล้วนอกจากพระองค์
ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งบัลลังก์อันยิ่งใหญ่เท่านั้น"
( อันนั้มลฺ/ 26)
พระองค์ ﷻ ตรัสว่า
 "พระผู้ทรงมีสถานะอันสูงส่ง พระผู้เป็นเจ้าของบัลลังก์..."
( ฆอฟิร/ 15 )
พระองค์ ﷻ ตรัสว่า
"…และบัลลังก์ของพระองค์นั้น อยู่บนน้ำ..." 
(ฮู้ด/ 7)
ในศ่อฮีฮุ้ลบุคอรีย์ ได้ระบุฮะดี้ษจากท่านอบี ฮุรอยเราะฮฺ แจ้งถึงท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ﷺ ว่า ท่านกล่าวว่า 
          “ในสวรรค์มีอยู่หนึ่งร้อยชั้นที่อัลลอฮฺทรงเตรียมไว้ให้เหล่ามุญาฮีดีนในหนทางของพระองค์ ช่วงห่างระหว่างสองชั้น(ความห่างของแต่ละชั้น) เหมือนกันกับช่วงห่างระหว่างฟ้ากับดิน ดังนั้น เวลาพวกท่านขอต่ออัลลอฮฺ ก็จงขอพระองค์ให้ได้อั้ลฟิ้รเด้าซ์ เพราะมันคือส่วนที่อยู่กึ่งกลางที่สุดของสวรรค์ และยังเป็นส่วนที่สูงที่สุดของสวรรค์อีกด้วยซึ่งเบื้องบนของอั้ลฟิ้รเด้าซ์ก็คือ บัลลังก์ของพระผู้ทรงเมตตา และจากที่นั่นนี่เองที่ธารน้ำทั้งหลายของสวรรค์พุ่งพวยออกมา” 
(เลขที่ 2790)
ท่านอบูซะอี้ด อั้ลคุดรีย์ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ ได้รายงานถึงท่านนบี ﷺ ว่า ท่านได้กล่าวว่า 
          “ ผู้คนจะถูกทำให้หมดสติและล้มลงในวันกิยามะฮฺ ซึ่งฉันจะเป็นคนแรกที่ฟื้นขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเอง ฉันก็พบว่า ท่านมูซาได้เกาะอยู่ที่ขาข้างหนึ่งจากบรรดาขาของพระบัลลังก์..."
( กระทั่งจบฮะดี้ษ ดู ศ่อฮีฮุ้ลบุคอรีย์ เลขที่ 2412 และมุสลิม เลขที่ 2373)
มีรายงานจากท่านญาบิ้ร อิบนิ อับดิลลาฮฺ แจ้งว่า ท่าน ร่อซูลุ่ลลอฮฺ ﷺ กล่าวไว้ว่า 
          “ฉันได้รับอนุญาตให้พูดถึงมะลาอิกะฮฺท่านหนึ่งจากบรรดามะลาอิกะฮฺที่ทำหน้าที่แบกพระบัลลังก์ได้ คือว่า ช่วงห่างระหว่างติ่งหูของมะลาอิกะฮฺท่านนั้นกับต้นคอของท่าน มีระยะเท่ากับการเดินทางเจ็ดร้อยปี” 
(บันทึกโดย อบูดาวู้ด เลขที่ 4727 และท่านอื่นๆ ซึ่งฮะดี้ษนี้เป็นฮะดี้ษศ่อฮี้ฮฺ ดู ซิ้ลซิละฮฺ ศ่อฮีฮะฮฺ ของเชคอั้ลอั้ลบานีย์ เลขที่ 151)

16.♦ ข้อมูลที่พูดถึงความเชื่อและความเข้าใจของบรรดาศ่อฮาบะฮฺเกี่ยวกับเรื่องนี้
          หมายเหตุ ในการศึกษาข้อมูลตามหัวข้อนี้ ท่านเชค อับดุ้รร้อซซ้าก ลูกชาย เชค อับดุลมุ้ฮฺซิน อัลอั้บบ้าด ฮะฟิซ่อฮุมั้ลลอฮฺ บอกกับพวกเราว่า มันช่วยแจ้งให้เราได้รับรู้อย่างชัดเจนว่า แนวทางของบรรดาซะลัฟ ตลอดจนความเข้าใจของพวกท่านที่มีต่อตัวบทที่พูดเกี่ยวกับเรื่องๆนี้นั้น เป็นเช่นไร? และยังบอกให้เรารับรู้อีกด้วยครับว่า อันที่จริงแล้วบรรดาศ่อฮาบะฮฺนั้น ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุม พวกท่านต่างมีความเข้าใจในความหมายของตัวบทเหล่านี้ซึ่งพูดเกี่ยวกับเรื่องพระลักษณะของอัลลอฮฺ ตะอาลา กันเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นอะไรที่สวนทางกับคำกล่าวอ้างของพวกอุตริที่กล่าวหาว่า บรรดาศ่อฮาบะฮฺนั้น พวกท่านเพียงแต่ถ่ายทอดรูปคำเปล่าๆของตัวบทเหล่านี้ออกมาเท่านั้น โดยที่ตัวของพวกท่านเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันมีความหมายว่าอะไร
          เมื่อครั้งที่ท่านนบี ﷺ เสียชีวิต ท่านอบูบักร ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ ได้พูดว่า “ปวงชนทั้งหลาย ถ้าหากท่านมุฮัมหมัดคือ ผู้ที่มีสิทธิถูกต้องของพวกท่าน ต่อการอิบาดะฮฺ ที่พวกท่านทำการสักการะภักดีต่อเขาล่ะก็ แน่นอนว่า ผู้ที่มีสิทธิถูกต้องของพวกท่าน ต่อการอิบาดะฮฺ ได้ตายลงเสียแล้ว แต่ถ้าหากว่า ผู้ที่มีสิทธิถูกต้องของพวกท่าน ต่อการอิบาดะฮฺคือ อัลลอฮฺ พระผู้ทรงอยู่บนฟากฟ้าล่ะก็ ผู้ที่มีสิทธิถูกต้องของพวกท่าน ต่อการอิบาดะฮฺ ก็ไม่เคยตายจากพวกท่านไปไหนหรอก” 
(บันทึกโดย อิบนุอบี ชัยบะฮฺ ใน มุศอนนัฟ เล่ม 14 หน้า 553 , อั้ดดาริมีย์ ใน อั้รร้อด อะลัลญ้ะฮฺมียะฮฺ หน้า 26 และ อัซซะฮะบีย์ ใน อั้ลอุลู่ หน้า 62 ซึ่งเป็นฮะดี้ษ ศ่อฮี้ฮ)
ท่านอิบนุ อบี ชัยบะฮฺ ได้บันทึกรายงานถึงท่านก้อซ อิบนิ อบี ฮาซิม โดยท่านได้กล่าวไว้ว่า  
          “เมื่อครั้งตอนที่ท่านอุมัร ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ มาถึงเมืองชาม...” กระทั่งถึงคำพูดของท่านอุมัรที่ว่า “จริงๆแล้ว เรื่องราวมันมาจากตรงนี้ต่างหาก” แล้วท่านก็ใช้มือของท่านชี้ไปที่ฟ้า”
( ดู อั้ลมุศอนนัฟ เล่ม 13 หน้า 263 , ท่านอั้ซซะฮะบีย์บอกว่า สายรายงานของหลักฐานนี้ เหมือนกับดวงอาทิตย์)
ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ มั้สอูด ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า 
          “ระหว่างฟ้าดุนยากับฟ้าที่อยู่ถัดไปนั้น มีระยะห้าร้อยปี และระหว่างฟ้าแต่ละชั้นทุกๆชั้นมีระยะห้าร้อยปี และระหว่างฟ้าชั้นที่เจ็ดกับเก้าอี้นั้น มีระยะห้าร้อยปี และระหว่างเก้าอี้กับน้ำก็มีระยะห้าร้อยปี  ซึ่งบัลลังก์นั้นอยู่ข้างบนน้ำ และอัลลอฮฺทรงอยู่เหนือบัลลังก์ ขณะเดียวกันพระองค์เองก็ทรงรับทราบในสิ่งที่พวกคุณเป็นกันอยู่” 
(บันทึกโดย อั้ดดาริมี่ย์ ใน อั้รร้อดดุอะลั้ลญ้ะฮฺมียะฮฺ หน้า 26 – 27 ด้วยสายรายงานที่อยู่ในระดับฮะซัน)
ท่านหญิง อาอิชะฮฺ ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮา ได้เคยกล่าวไว้ว่า
           “สาบานต่ออัลลอฮฺว่า ฉันเกรงเหลือเกินว่า ถ้าหากฉันอยากจะสังหารท่านๆนั้น ฉันก็คงจะสังหารท่านไปแล้ว –หมายถึงท่านอุสมาน ร่อดิยั้ลลอฮุอันฮุ – แต่ว่าอัลลอฮฺ ทรงรู้จากเบื้องบนบัลลังก์ของพระองค์ว่า ฉันไม่ได้ต้องการที่จะสังหารท่านแต่อย่างใดเลย” 
(บันทึกโดย อั้ดดาริมี่ย์ ใน อั้รร้อดดุอะลั้ลญ้ะฮฺมียะฮฺ หน้า 27 ด้วยสายรายงานที่อยู่ในระดับ ศ่อฮี้ฮฺ)


17.♦ ข้อมูลที่พูดถึงความเชื่อและความเข้าใจของบรรดา ตาบิอีน เกี่ยวกับเรื่องนี้

 
     ท่าน อิบนุ อับดิ้ลบั้ร ได้กล่าวไว้ใน อั้ตตำฮีด ว่า “บรรดานักวิชาการจากบรรดาศ่อฮาบะฮฺและบรรดาตาบิอีน ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นที่เชื่อถือได้ในคำอธิบายของพวกเขา พวกท่านได้พูดอธิบายดำรัสของพระองค์ที่ว่า

(...مَا يَكُونُ مِن نَّجْوَىٰ ثَلَاثَةٍ إِلَّا هُوَ رَابِعُهُمْ وَلَا خَمْسَةٍ إِلَّا هُوَ سَادِسُهُمْ...)

 
"ไม่มีการกระซิบใดๆของคนสามคนนอกจากพระองค์จะทรงเป็นผู้ที่สี่ของพวกเขา
และในห้าคนนอกจากพระองค์จะทรงเป็นผู้ที่หกของพวกเขา"
 
(อั้ลมุญาดะละฮฺ / 7) 
 
ไว้ว่า “พระองค์ทรงอยู่บนพระบัลลังก์ ส่วนความรอบรู้ของพระองค์นั้นมีอยู่ในทุกๆที่” ซึ่งไม่มีใครสักคนที่เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ที่จะกล่าวไม่ตรงกับพวกท่านเหล่านั้นเลย” ดู เล่ม 7 หน้า 138 –139

 
     ท่านอัยยู้บ อั้ซซิ้คติยานีย์ ได้กล่าวถึงพวกมุ้อตะซิละฮฺว่า “จริงๆแล้วขอบข่ายความคิดของคนพวกนี้ก็คือ ต้องการจะบอกว่า บนฟ้านั้นไม่ได้มีอะไรสักอย่างอยู่เลยเท่านั้นเอง” ดู อั้ลอุลู่ หน้า 98 

 
     ท่านอั้ซซะฮะบีย์ กล่าวว่า สายรายงานของหลักฐานนี้ เหมือนกับดวงอาทิตย์ ในแง่ของความชัดเจน และเหมือนกับเสาเข็มในแง่ของความมั่นคง ซึ่งเป็นข้อมูลที่รายงานมาจากผู้ที่เป็นบุคคลชั้นนำและเป็นผู้รู้ของชาวเมืองบั้ศเราะฮฺ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮุตะอาลา
 

     มีรายงานจากท่านอั้ฏเฏ้าะฮ้าก ว่า ท่านกล่าวเกี่ยวกับดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า "ไม่มีการกระซิบใดๆของคนสามคนนอกจากพระองค์จะทรงเป็นผู้ที่สี่ของพวกเขา และในห้าคนนอกจากพระองค์จะทรงเป็นผู้ที่หกของพวกเขา" (อั้ลมุญาดะละฮฺ / 7) ไว้ว่า “พระองค์ทรงอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ ส่วนความรอบรู้ของพระองค์นั้นอยู่กับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม” บันทึกโดย อับดุลลอฮฺ บุตรชาย อิหม่ามอะฮฺหมัด ใน อั้ซซุนนะฮฺ เลขที่ 592 และท่านอื่นๆ ด้วยสายรายงานที่อยู่ในระดับ ฮะซัน


 
     มีรายงานจาก ท่านซุลัยมาน อั้ตตัยมี่ย์ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ว่า ท่านกล่าวว่า “ถ้าหากผมถูกถามว่า อัลลอฮฺทรงอยู่ที่ไหน? ผมก็จะตอบออกไปเลยครับว่า บนฟ้า”  บันทึกโดย อั้ลลาละกาอี้ย์ เลขที่ 671 และ อิบนุกุ้ดดามะฮฺ ใน อั้ลอุลู่ เลขที่ 75


 

18.♦ ข้อมูลที่พูดถึงความเชื่อและความเข้าใจของบรรดา ตาบิอิ้ต ตาบิอีน เกี่ยวกับเรื่องนี้


 
     อั้ลฮากิม ได้รายงานถึงท่าน อั้ลเอาซาอีย์ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ไว้ว่า ท่านได้กล่าวว่า “ในช่วงที่บรรดาตาบิอีนยังอยู่กันพร้อมหน้า พวกเราได้พูดกันว่า “อัลลอฮฺ อั้ซซะวะญั้ล ทรงอยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์ และพวกเราก็ศรัทธากันต่อสิ่งที่อั้ซซุนนะฮฺได้แจ้งเอาไว้ เกี่ยวกับเรื่องพระลักษณะต่างๆ” ” บันทึกโดย อั้ลบัยฮะกีย์ ใน อั้ลอั้ซม้าอฺวั้ศศิฟ้าต เลขที่ 865

     มีรายงานถึงท่านอิหม่ามมาลิก อิบนิ อนัส ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ แจ้งว่า ท่านได้กล่าวไว้ว่า “อัลลอฮฺทรงอยู่บนฟ้าส่วนความรอบรู้ของพระองค์นั้นมีอยู่ในทุกๆที่ ไม่มีที่ๆใดเลยที่เว้นว่างไปจากความรู้ของพระองค์” บันทึกโดย อั้ลลาละกาอีย์ เลขที่ 673 และ อับดุลลอฮฺ บุตรชาย อิหม่ามอะฮฺหมัด ใน อั้ซซุนนะฮฺ เลขที่๑๑ ซึ่งสายรายงานเป็นสายรายงานที่ ศ่อฮี้ฮฺ

      และมีรายงานที่ระบุว่าท่านได้ตอบคำถามของชายคนหนึ่งที่เข้ามาถามท่านว่า การประทับบนบัลลังก์ของพระองค์อัลลอฮฺนั้นเป็นอย่างไร? ว่า “รายละเอียดว่าเป็นอย่างไรนั้นไม่เป็นที่รับรู้ ส่วนการประทับนั้นไม่มีใครไม่รู้ ซึ่งการศรัทธาต่อเรื่องๆนี้เป็นเรื่องจำเป็น ส่วนการเข้ามาถามเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นถือเป็นการอุตริ และผมเกรงว่าคุณคือ คนที่หลงออกจากทาง” แล้วท่านก็สั่งให้นำตัวชายคนนั้นออกไป บันทึกโดย อั้ดดาริมีย์ หน้า 33 และ อั้ศศอบูนี่ย์ ใน อะกีดะตุ้ซซะลัฟ เลขที่ 26

      ท่าน ฮัมม้าด อิบนุ ซั้ยดฺ ได้กล่าวไว้ว่า “จริงๆแล้วพวกเขาก็วนเวียนกันอยู่กับการที่จะพูดออกมาว่า บนฟ้าไม่ได้มีอิล้าฮฺ (ผู้ที่มีสิทธ์อันถูกต้องต่อการถูกสักการะ) อยู่แต่อย่างใด” ท่านหมายถึงพวกญะฮฺมี่ย์ บันทึกโดย อับดุลลอฮฺ บุตรชาย อิหม่ามอะฮฺหมัด ใน อั้ซซุนนะฮฺ เลขที่ 41 และท่านอื่นๆ ,ท่านอั้ลอั้ลบานีย์ ได้กล่าวไว้ใน มุคตะศ้อร อั้ลอุลู่ หน้า 147 ว่า เป็นสายรายงานที่ ศ่อฮี้ฮฺ



19.♦ ข้อมูลที่พูดถึงความเชื่อและความเข้าใจของบรรดา รุ่นลูกศิษย์ของตาบิอิ้ตตาบิอีน เกี่ยวกับเรื่องนี้


     ท่าน อิบนุ อบี ฮาติม ได้รายงานถึงท่าน ญะรี้ร อิบนุ อับดิ้ลฮะมี้ด ว่า ท่านกล่าวว่า “คำพูดของพวกญะฮฺมีญะฮฺนั้น ส่วนแรกของมันคือน้ำผึ้ง แต่ท้ายที่สุดของมันคือ ยาพิษ พวกมันเพียงแค่ต้องการจะพูดว่า บนฟ้าไม่ได้มีอิล้าฮฺ (ผู้ที่มีสิทธ์อันถูกต้องต่อการถูกสักการะ) อยู่แต่อย่างใด เท่านั้นเอง”  อั้ซซะฮะบีย์ได้อ้างไว้ใน อั้ลอุลู่ หน้า 110 ,เป็นสายรายงานที่ ศ่อฮี้ฮฺ

     มีรายงานจาก ท่านอะลี อิบนิ ฮะซัน อิบนิ ชะกี้ก ว่า ท่านกล่าวว่า “ผมได้พูดกับท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ มุบาร็อกว่า “เราจะรู้จักพระเจ้าของเรา อั้วซะวะญั้ลละ อย่างไรดีครับ?” ”  ท่านตอบว่า “ทรงอยู่บนฟ้าชั้นเจ็ด บนบัลลังก์ของพระองค์ พวกเราจะไม่พูดอย่างที่พวกญะฮฺมียะฮฺพูดกัน ที่ว่า พระองค์ทรงอยู่ตรงนี้นี่ไง บนแผ่นดิน” และได้มีคนนำคำพูดนี้ไปบอกให้ท่าน อะฮฺหมัด อิบนิ ฮันบั้ล ฟัง ท่านจึงกล่าวว่า “เช่นเดียวกันนี้แหละที่เป็นความเชื่อที่มีอยู่ที่พวกเราเช่นกัน”  บันทึกโดย อับดุลลอฮฺ บุตรชาย อิหม่ามอะฮฺหมัด ใน อั้ซซุนนะฮฺ เลขที่ 22 และท่านอื่นๆ , ท่านอิบนุกอยยิม ได้ตัดสินว่า สายรายงานของเรื่องนี้อยู่ในระดับ ศ่อฮี้ฮฺ โดยท่านได้ระบุไว้ใน อิ้จติมาอุ้ล ญุญู้ชฯ หน้า 71

     มีคนมากล่าวกับท่าน ยะซี้ด อิบนิ ฮารูน ว่า ใครคือพวกญะฮฺมี่ย์ ? ท่านตอบว่า “ใครก็ตามที่ อ้างว่า ดำรัสของอัลลอฮฺตะอาลา ที่ว่า ( الرَّحْمَٰنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَىٰ ) ﴾พระผู้ทรงเมตตาทรงประทับอยู่บนบัลลังก์) (ตอฮา/5)”   นั้น ไม่ได้เป็นเหมือนสิ่งที่มั่นคงอยู่ในหัวใจของบุคคลทั่วๆไป คนๆนั้นนั่นแหละครับ คือ พวกญะฮฺมี่ย์” บันทึกโดย อับดุลลอฮฺ บุตรชาย อิหม่ามอะฮฺหมัด ใน อั้ซซุนนะฮฺ เลขที่ 54 ,และท่านอื่นๆ,ด้วยสายรายงานที่อยู่ในระดับ ฮะซัน



20.♦ ข้อมูลที่พูดถึงความเชื่อและความเข้าใจของบรรดานักวิชาการที่อยู่ในยุคถัดๆมาเกี่ยวกับเรื่องนี้


     ท่าน อบู มะอฺมั้ร อิสมาอีล อิบนิ อิบรอฮีม อั้ลก่อตีอี้ย์ ได้กล่าวไว้ว่า “สุดท้ายแล้วคำพูดของพวกญะฮฺมี่ ก็คือ ต้องการจะบอกว่า บนฟากฟ้านั้นไม่ได้มีอิล้าฮฺ (ผู้ที่มีสิทธ์อันถูกต้องต่อการถูกสักการะ)อยู่แต่อย่างใด” อั้ซซะฮะบีย์ได้อ้างไว้ใน อั้ลอุลู่ หน้า 129 ด้วยสายรายงานที่อยู่ในระดับ ฮะซัน


     ท่านอิหม่าม อั้ลบุคอรีย์ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ ศ่อฮี้ฮฺ ของท่านว่า “บทเรื่อง การตอบโต้พวกญะฮฺมียะฮฺ ตอน ดำรัสของอัลลอฮฺ ตะอาลาที่ว่า ﴿...وَكَانَ عَرْشُهُ عَلَى الْمَاءِ...﴾   ((...และบัลลังก์ของพระองค์นั้น อยู่บนน้ำ...)) ฮู้ด/ 7 ท่านอบู้ล อาลี่ยะฮฺกล่าวว่า “ทรงประทับอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ คือ ทรงอยู่เหนือขึ้นไป” และท่านมุญาฮิดได้กล่าวเกี่ยวกับคำว่า ทรงประทับ ไว้ว่า “คือทรงสูงส่งอยู่เหนือพระบัลลังก์” ” (ดู ฟั้ตฮุ้ลบารีย์ เล่ม13 หน้า405)

      ท่านอบูซุ้รอะฮฺ อั้รรอซีย์ กล่าวว่า ครั้งหนึ่งได้มีคนมาถามท่านอั้ลบุคอรีย์เกี่ยวกับความหมายของอายะฮฺที่ว่า ( الرَّحْمَٰنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَى ) (พระผู้ทรงเมตตาทรงประทับอยู่บนบัลลังก์) (ตอฮา/5) ท่านจึงมีอาการโกรธและตอบไปว่า “ความหมายของอายะฮฺนี้ก็เป็นเหมือนกับที่ท่านอ่านอยู่นี่แหละครับ พระองค์ทรงอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ ส่วนความรอบรู้ของพระองค์นั้นอยู่ในทุกๆที่ ถ้าใครพูดนอกเหนือไปจากนี้ ก็ขอให้เขาจงประสบกับการสาปแช่งของอัลลอฮฺ” อั้ซซะฮะบีย์ ได้ระบุไว้ใน อั้ลอุลู่ หน้า 137

     ท่าน มุฮัมหมัด อิบนิ อิ้สฮาก อิบนิ คุซัยมะฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า “ใครที่ไม่ยอมยืนยันว่า อัลลอฮฺ ทรงอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ ทรงประทับอยู่เหนือฟากฟ้าทั้งเจ็ด ทรงเป็นเอกเทศจากสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง เขาคนนั้นก็คือ กาเฟร ให้เข้าไปทำการเรียกร้องให้เขาสำนึกผิดกลับตัว ซึ่งถ้าหากเขายอมกลับตัวก็เท่ากับว่าเขาได้กลับเข้ามาแล้ว แต่ถ้าหากเขาไม่ยอม ก็ให้ทำการฟันคอเขาเสีย และนำศพของเขาไปโยนทิ้งกองขยะเพื่อไม่ให้กลิ่นของเขาไปรบกวนมุสลิม หรือคนที่อยู่ภายใต้พันธะสัญญาของมุสลิม” อั้ลฮากิมระบุไว้ใน อั้ลอุลู่ หน้า152 และ อิบนุตัยมียะฮฺได้ระบุไว้ใน อั้ลฮะมะวียะฮิ หน้า91 โดยท่านกล่าวว่า ท่านอั้ลฮากิมได้เล่าถึงคำกล่าวนี้จากท่าน (อิบนิ คุซัยมะฮฺ) ด้วยสายรายงานที่อยู่ในระดับ ศ่อฮี้ฮฺ

     ท่านอบู ฮะซัน อั้ลอั้ชอารีย์ ได้เล่าถึงความเชื่อของชาวอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺและชาวฮะดี้ษไว้ว่า “และเชื่อว่า อัลลอฮฺทรงอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ เหมือนที่พระองค์ ตะอาลา ได้ทรงบอกเอาไว้ว่า   ( الرَّحْمَٰنُ عَلَى الْعَرْشِ اسْتَوَىٰ ) (พระผู้ทรงเมตตาทรงประทับอยู่บนบัลลังก์)) (ตอฮา/5)”  ท่านพูดต่อไปว่า “พวกเราก็เห็นกันอยู่แล้วว่า บรรดามุสลิมทั้งหมดต่างยกมือของพวกเขาขึ้นสู่ฟากฟ้าตอนที่พวกเขาขอดุอาอฺ นั่นก็เนื่องมาจาก อัลลอฮฺ พระผู้ทรงสูงส่งนั้น ทรงประทับอยู่บนพระบัลลังก์ซึ่งอยู่เหนือบรรดาฟากฟ้าทั้งหลายขึ้นไปนั่นเอง เพราะถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าอัลลอฮฺทรงอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์แล้วล่ะก็ พวกเขาก็คงจะไม่ยกมือของพวกเขาขึ้นไปทางพระบัลลังก์กันเป็นแน่” มะกอล้าต อั้ลอิสลามมียีน หน้า290

     ท่านอบูบักร อั้ศศ้อบฆี่ย์ ได้กล่าวเกี่ยวกับ พระดำรัสของพระองค์ ตะอาลา ที่ว่า   ( مَّن فِي السَّمَاءِ ) ( พระผู้ที่ทรงอยู่บนฟากฟ้า ) (อั้ลมุ้ลกฺ/16,17) ไว้ว่า “หมายถึง ทรงอยู่บนบัลลังก์ ดังที่มีข้อมูลที่ถูกต้องจากท่านร่อซูลลุ่ลลอฮฺ ﷺ ได้แจ้งเอาไว้” อั้ซซะฮะบีย์ ได้ระบุไว้ใน อั้ลอุลู่ หน้า165

     ท่านอิบนุ ฟูร้อก ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “ประทับ มีความหมายว่า สูงส่งอยู่เบื้องบน” และท่านยังได้กล่าวเกี่ยวกับ ดำรัสของพระองค์ที่ว่า ( مَّن فِي السَّمَاءِ ) (พระผู้ที่ทรงอยู่บนฟากฟ้า) (อั้ลมุ้ลกฺ/16,17) ไว้ว่า “หมายถึง จากเบื้องบนของฟากฟ้า” ฮั้ซซะฮะบีย์ ได้ระบุไว้ใน อั้ลอุลู่ หน้า 173 และ อั้ลบัยฮะกีย์ ใน อั้ลอั้ซม้าอฺวั้ศศิฟ้าต หน้า411  



          ทั้งหมดนี้เป็นนเพียงบางส่วนจากข้อมูลที่ให้การยืนยันว่า อัลลอฮฺ ﷻ ทรงอยู่เบื้องบน ซึ่งเป็นการอยู่เบื้องบนที่ไม่มีใครทั้งสิ้นเหมือนกับพระองค์ เป็นการอยู่เบื้องบนที่เหมาะสมกับพระองค์ในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงมีอยู่แค่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ ﷻ ตรัสไว้ว่า


(...لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ ) 
"...ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้นเหมือนกับพระองค์ พระองค์คือ ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงมองเห็น"
( อั้ชชูรอ/๑๑ )

          ข้อมูลเหล่านี้สรุปมาจาก หนังสือ มะอาริจิ้ลก่อบู้ล ของ เชคฮาฟิ้ซ อั้ลฮะกะมี่ย์ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ  ซึ่งตรวจทานและตรวจสอบฮะดี้ษตลอดจนข้อมูลต่างๆจากบุคคลในอดีตที่มีอยู่ในหนังสือ โดย มุฮัมหมัด ซุบฮี่ย์ อิบนิ ฮะซัน ฮั้ลล้าก สำนักพิมพ์ ด้าร อิบนุเญาซีย์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 9 เล่มที่1 ตั้งแต่หน้าที่ 181 - 262 ซึ่งเป็นหนังสือที่พวกผมกำลังใช้เรียนกับเชค อับดุ้รร้อซซ้าก ฮะฟิซ่อฮุ้ลลอฮฺ  ผมหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับพวกเราและทำให้พวกเรามีความชัดเจนและมั่นคงในประเด็นเหล่านี้มากยิ่งขึ้น อินชาอัลลอฮฺ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น