1. การขัดแย้งที่เรียกว่า ฎออีฟ (การที่นักวิชาการ ฝ่ายหนึ่งอยู่กับตัวบท ฝ่ายหนึ่งค้านตัวบท)
คิลาฟฎออีฟ การขัดแย้งที่อ่อน ที่ไม่อาจยอมรับกันได้ ที่ไม่อาจยอมความกันได้
คือนักวิชาการฝ่ายที่ 1 อยู่กับตัวบทชัดเจน
กับนักวิชาการอีกซีก 1 ค้านตัวบทชัดเจน ซึ่งในรุ่นศอหาบะฮฺก็มี
ทัศนะหรือความเห็นที่ค้านตัวบทชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น
อุลามาบางท่านเขามีทัศนะดุอา อิฟติฟตะฮฺ ที่เราอ่านกันในช่วงต้นของละหมาด
ไม่ใช่ซุนนะฮฺ อันนี้ค้านตัวบทชัดเจนไม่ต้องคุยกันเยอะ เพราะหะดีษมันมีชัดเจนว่านบีอ่านอะไร
หรือ อุลามา บางท่านมีทัศนะว่า ผู้หญิงนิก๊ะห์ได้ไม่วายิบเลยว่านางต้องมีวะลีย์
อันนี้ค้านตัวบทชัดเจน ย้ำ กรณีแบบนี้ ฉะนั้นแล้วไม่มีใครเขาพูดกันแต่แรกแล้วว่าเห็นต่างได้ทุกเรื่อง ไม่มี.
มันไม่มีอยู่แล้วเห็นต่างทุกเรื่องมันไม่มี
หรือ ถ้า อุลามาบางท่านจะมีทัศนะ ว่า เอาไก่ไปเฉือดเป็นเนื้อกุรบานได้ อันนี้มันก็ค้านกับตัวบท
เรื่องที่เรียกว่า คีลาฟฎออีฟ การค้านตัวบทชัดเจน เราจะรู้ว่ากรณีไหนเป็นค้านตัวบทไม่ค้านตัวบท
ให้เกาะนักวิชาการที่มีความละเอียดอ่อนในการวิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ให้ดี เดี๋ยวเขาจะบอกเอง นี่แบบวิธีรวบรัด
ให้เกาะนักวิชาการที่มีความชำนาญในการแจกแจงเรื่องในที่เรียกว่าค้านตัวบท
ซึ่งหนึ่งในนักวิชาการที่ผมฟันธงเลยว่า ท่านมีความละเอียดอ่อนในเรื่องนี้มากนั้นก็คือ
ชัยคฺ อิบนุตัยมิยะ (ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ) และนี่ไม่ใช่เรื่องตะอัซซุบ ฉะนั้นเรื่องใดจะเป็นคีลาฟอ่อน วิธีแก้ที่เร็วที่สุดให้ดูนักวิชาการบอกดีกว่า ว่าเรื่องนี้เป็นการ คีลาฟที่อ่อน ยกตัวอย่าง เรามีจุดยืนกับเรื่องหนึ่งที่รุนแรงมาก
พอเราถามว่าทำไมถึงรุนแรงในเรื่องนี้ ท่านคนนั้นก็ตอบว่า เรื่องนี้ค้านตัวบท เรื่องนี้เป็นการคีลาฟที่อ่อน
เราก็ต้องถามต่อ ที่ท่านสรุปว่าเรื่องนี้เป็นการคัดแย้งที่อ่อนยอมไม่ได้ นักวิชาการคนไหนมีสักคนไหมที่บอก
ถ้าท่านยกมาได้เราก็จะได้เข้าใจท่าน .
ไม่ใช่ว่าเรายกใครไม่ได้เลยและเราเข้าใจเอง ฉะนั้นเรื่องศาสนากรณีที่เป็นคีลาฟอ่อน อันนี้ให้ อิงก๊ารได้ อิงก๊ารตัวนี้ให้ตำหนิได้ ให้แข็งกร่าวได้ ให้ปรามได้ และปรามที่นี่ไม่ใช่ไปห้ามด้วยมือ เราไม่ใช่ผู้ปกครอง มีรายละเอียดอีก
ไม่ใช่เราเห็นมุสลีมะฮฺคนหนึ่งเป็นมัสฮับ ฮานาฟี เขาแต่งงานโดยไร้วะลีย์ เราผู้ปกครองก็ไม่ เราไปจับเขามาโบย ไม่ใช่ เราพูดได้ คุณทำแบบนี้คุณค้านนบีนะ ว่าไป นี่คือ กรณี คีลาฟอ่อน
อีกกรณีหนึ่งประเด็นอยู่ตรงนี้ กรณีคีลาฟแข็ง
คีลาฟแข็งคือ
กรณีที่นักวิชาการมีน้ำหนักกันทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างมีหะดีษทั้งคู่ มีหะดีษทั้งคู่ทำไมถึงไม่ตรงกันอีก
เพราะ กรณีแบบนี้จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากประเด็นปัญหานั้นๆไม่มีตัวบทตรงๆเด็ดขาด
ที่อ่านแล้วทุกคนเข้าใจตรงกันหมดว่าต้องได้ข้อสรุปนั้น ไม่ตรงไม่เด็ดขาด มันเป็นเรื่องที่นักวิชาการหนึ่งอยู่ด้านหน้าแล้วพยายามเอาตัวบทที่มันมีลักษณะกว้างๆเอามาสวม หรือบ้างเรื่องไม่มีตัวบทเลยตั้งแต่ต้น
เช่น เรารู้กันใช่ไหมว่า เวลาจะฟ้องร้องคดีซีนาเวลาศาลอิสลามจะลงโทษใครในข้อหาทำซีนามันต้องใช่พยาน
คำถามมีอยู่ว่า ถ้าพยานเป็นใบ้ล่ะ เอาขึ้นศาลได้ไหม ? หาหลักฐานมาสิ กรณีเจาะจงที่เป็นใบ้
กรณีแบบนี้มันไม่มีหลักฐานตรงๆ มันไม่มีหะดีษชัด อย่าเอาคนใบ้ขึ้นเป็นพยาน อะไรแบบนี้
หรือยกตัวอย่างเช่นว่า คนคนหนึ่งมีพยาน4คน สลับกัน คนคนหนึ่งเขาถูกกล่าวหาว่าทำซีนา จากพยาน4คนโดยพยานพูดได้หมด คนถูกกล่าวหาเป็นใบ้ซะเอง และเวลาเป็นใบ้ถูกนำตัวขึ้นศาลโต้แย้งไม่ได้ ไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ โดยคำพูดชี้แจ้งไม่ได้ ก็เถียงกันอีกว่าตกลงแบบนี้ ว่าจะลงโทษไหมเนี้ยะ ปัญหายุ๋มยิ๋ม
หรือกรณี แบบสมมุติ ชายคนหนึ่ง ได้เอาอาวุธชนิดหนึ่งซึ่งโดยประเพณีอาวุธชนิดนั้นมันไม่มีโทษถึงตายไม่มีผลถึงตาย เช่นเอาแซ้ไปเฆี่ยนผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคดีทำร้ายกายแต่ปรากฏว่าเฆี่ยนแล้วตายขึ้นมา ตกลงกรณีแบบนี้จะเรียกว่าเจตนาฆ่าไหม คือถ้าเอาปืนไปยิงนั้นเจตนาฆ่าเพราะปืน (ฆอลิบ) ของมันทำให้ตาย
แต่เนี่ยะมันเป็นหว่ายเป็นไม้ตีเด็ก ปรากฏว่าไปตี คือสมมุติว่าชายคนหนึ่งจะปล้นของ หมายถึงจะไปขโมยทรัพย์สิน
แต่ไม่มีเจตนาฆ่า แต่แค่ใช้ไม้หว่ายตีคนที่ตัวเองขโมย ปรากฏว่าตีไปตีมามันดันตาย ตกลงนี่จะแถมคดีฆาตกรรมไว้ไหม
เนี่ย กรณีแบบนี้ ไม่มีหลักฐานตรงๆ มันเป็นเรื่องของการที่ดึงตัวบทมาสวม และมันก็ทำให้นักวิชาการเนี่ยะ
คัดแย้งกัน ฉะนั้นนักวิชาการจึงบอกว่ากรณีแบบนี้ว่า คีลาฟที่แข็ง ....
https://www.youtube.com/watch?v=nLk7Hi_bPWc&fbclid=IwAR3aVo6zFXO-dHAeoXXTtYM2QhicHZy3sgNSqOZoDlW2DvCAzE5hzrMvW1I
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น