วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564

ฟารีด เฟ็นดี้ 27 ตุลาคม 2018 · #ให้เกียรติต่ออุลามาอ์ตามสถานะที่เขาดำรงอยู่



#ให้เกียรติต่ออุลามาอ์ตามสถานะที่เขาดำรงอยู่

ในห้วงเวลานี้มีคำวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง การตามอุลามาอ์ และการให้เกียรติต่ออุลามาอ์ กันอย่างแพร่หลาย ตามเจตนาที่แต่ละคนยึดถืออยู่ แต่บรรดาอุลามาอ์เอง เขามีกฎเกณฑ์ที่เรียกว่า “กออิดะห์” ที่ทุกคนยอมรับและยึดถือตรงกัน ขอให้ท่านลองอ่านและทำความเข้าใจ และพิจารณาตัวเองว่า ท่านอยู่ในกฎหรือละเมิดกฎ ดังต่อไปนี้

قاعدة : كل يؤخذ من قوله ويرد إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم

#กฎที่ว่าด้วยเรื่อง : คำพูดของทุกคนจะรับหรือจะปฏิเสธก็ได้นอกจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม

#หลักฐานของกฎนี้คือ :
1 – อะห์หมัด อิบนุ อัมร์ อัลบัซซาร เล่าให้เราฟังว่า ซิยาด บิน อัยยูบ เล่าให้เราฟังว่า อบูอุบัยดะห์ อัลฮัดดาด เล่าให้เราฟังจาก มาลิก บินดีนาร จาก อิกริมะห์ จาก อิบนิ อับบาส กล่าวว่า
لَيْسَ أَحَدٌ إِلَّا يُؤْخَذُ مِنْ قَوْلِهِ وَيَدَعُ غَيْرَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
“ไม่มีผู้ใดหรอกนอกจากคำพูดของเขาจะถูกตอบรับหรือทิ้งก็ได้ นอกจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” บันทึกโดย อัตต๊อบรอนีย์ ในอัลมัวญัม อัลกะบีร ฮะดีษลำดับที่ 11941
2 – ซุฟยาน อิบนุ อุยัยนะห์ รายงานจาก อับดุลการีม จาก มุญาฮิด กล่าวว่า
لَيْسَ أَحَدٌ بَعْدَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلَّا يُؤْخَذُ مِنْ قَوْلِهِ وَيُتْرَكُ، إِلَّا النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
“ไม่มีผู้ใดหลังจากนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นอกจากคำพูดของเขาจะถูกตอบรับหรือถูกทิ้งก็ได้นอกจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” บันทึกโดยอบูนาอีม ในญุซที่ 3 ลำดับที่ 300 และ อิบนุ อับดิลบัร ในอัตตัมฮีด ลำดับที่ 118
3 – อับดุลวาริส อิบนุ ซุฟยาน เล่าให้เราฟังว่า กอเซ็ม บิน อัศบัฆ เล่าให้เราฟังว่า อะห์หมัด อิบนุ ซุฮัยร์ เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า พ่อของฉันเล่าให้ฟังว่า สะอี๊ด บิน อามิร เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า ชัวอ์บะห์เล่าให้เราฟังจาก อัลฮะกัม บิน อุตบะห์ กล่าวว่า
ليس أحد من خلق الله إلا يؤخذ من قوله ويترك إلا النبي صلى الله عليه وسلم
“ไม่มีผู้ใดจากมนุษย์นอกจากคำพูดของเขาจะถูกยอมรับหรือถูกปฏิเสธนอกจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” บันทึกโดย อิบนุ อับดิลบัร ในญามิอุลบะยาน เล่มที่ 2 หน้าที่ 91
4 – ท่านอิหม่ามมาลิก บิน อะนัส ได้รายงานเช่นเดียวกับที่กล่าวข้างต้น แต่เนื้อหาท่อนท้ายมีสำนวนที่แตกต่างกันคือ
إِلَّا صَاحب هَذَا الْقَبْر وَأَشَارَ إِلَى قبر النَّبِي صلى الله عَلَيْهِ وَسلم
“นอกจากเจ้าของหลุมศพนี้ แล้วท่านก็ชี้ไปที่หลุมศพของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” อบูซามะห์ อัลมักดิซีย์ ในมุคตะศ็อร หน้าที่ 66
คำพูดของท่านอิหม่ามมาลิก นี้เป็นที่แพร่หลายและรับรู้กันโดยทั่วไป

#วัตถุประสงค์และเป้าหมายของกฎนี้
المراد بهذه القاعدة عند السلف: أن كلَّ أحدٍ من الناس كائنًا من كان، يُؤخذ من قوله ويُترك، أي: يُؤخذ منه ويُقبل ما وافق الحق، ويُترك ويُردُّ ما خالف الحق؛ لأنه غير معصوم، إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم، فيُؤخذ بكل ما قاله ويُقبل لأنه وحيٌ يوحى
“เป้าหมายของกฎนี้ ณ.ที่สะลัฟก็คือ : ทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่คำพูดของเขาจะถูกรับหรือถูกปฏิเสธ หมายถึง ถูกเอาหรือถูกตอบรับในสิ่งที่ตรงกับสัจธรรม และถูกทิ้งหรือปฏิเสธในสิ่งที่ค้านกับสัจธรรม เพราะเขาไม่ใช่มะอ์ศูม (ผู้ที่ได้รับการปกป้องให้ปราศจากความผิด) นอกจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ที่จะถูกยึดถือและถูกตอบรับทุกสิ่งที่ท่านกล่าว เพราะเป็นวะฮีย์ที่มีมายังท่าน”
وهذا إن دلَّ على شيءٍ إنما يدلُّ على شِدَّة تعظيم أهل السنة للنصوص الشرعية، المتمثلة في كتاب الله تعالى وسنة رسوله صلى الله عليه وسلم، وتقديمها على أقوال الرجال واجتهاداتهم، فهم لا يعاملون أقوال أئِمتهِم معاملة النصوص الشرعية من حيث القبول والتسليم المطلق، ولا يجعلون أقوال علمائهم بمنزلة النصوص التي تحرم مخالفتها ومعارضتها؛ بل يأخذون منها ما وافق الحق والأدلة، ويتركون ما خالف ذلك؛ لأنها ليست وحيًا منزَّلاً صادرًا عن معصوم
“มันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงการให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดของ อะห์ลิสซุนนะห์ ต่อตัวบททางด้านนิติบัญญัติ ที่จะต้องยึดเอาไว้คู่กันทั้งในคัมภีร์ของอัลลอฮ์และซุนนะห์ของรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยเอาทั้งสองนี้ก่อนถ้อยคำใดๆของบรรดาอุลามาอ์และในการวินิจฉัยของพวกเขา โดยพวกเขานั้นจะไม่เอาถ้อยคำของบรรดาผู้นำแห่งปวงปราชญ์ของพวกเขากับตัวบทศาสนาเขามาคละ โดยให้การยอมรับและยึดถือแบบดุษฎี และพวกเขาจะไม่ทำให้ถ้อยคำใดๆของอุลามาอ์อยู่ในสถานะเดียวตัวบทซึ่งห้ามละเมิดและคัดค้าน แต่ทว่า พวกเขาจะยึดเอาในสิ่งที่สอดคล้องกับสัจธรรมและหลักฐานต่างๆ และพวกเขาจะทิ้งสิ่งที่มันขัดแย้งในเรื่องดังกล่าว เพราะว่ามันนั้นไม่ใช่วะฮีย์ที่ถูกประทานมาซึ่งออกมาจากผู้ที่เป็นมะอ์ศูม (ผู้ที่ได้รับการปกป้องให้ปราศจากความผิด) “

#คำอธิบายของปราชญ์
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
وَقَدْ اتَّفَقَ سَلَفُ الْأُمَّةِ وَأَئِمَّتُهَا عَلَى أَنَّ كُلَّ أَحَدٍ يُؤْخَذُ مِنْ قَوْلِهِ وَيُتْرَكُ إلَّا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَهَذَا مِنْ الْفُرُوقِ بَيْنَ الْأَنْبِيَاءِ وَغَيْرِهِمْ، فَإِنَّ الْأَنْبِيَاءَ صَلَوَاتُ اللَّهِ عَلَيْهِمْ وَسَلَامُهُ يَجِبُ لَهُمْ الْإِيمَانُ بِجَمِيعِ مَا يُخْبِرُونَ بِهِ عَنْ اللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ، وَتَجِبُ طَاعَتُهُمْ فِيمَا يَأْمُرُونَ بِهِ؛ بِخِلَافِ الْأَوْلِيَاءِ فَإِنَّهُمْ لَا تَجِب طَاعَتُهُمْ فِي كُلِّ مَا يَأْمُرُونَ بِهِ وَلَا الْإِيمَانُ بِجَمِيعِ مَا يُخْبِرُونَ بِهِ؛ بَلْ يُعْرَضُ أَمْرُهُمْ وَخَبَرُهُمْ عَلَى الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ فَمَا وَافَقَ الْكِتَاب وَالسُّنَّةَ وَجَبَ قَبُولُهُ وَمَا خَالَفَ الْكِتَابَ وَالسُّنَّةَ كَانَ مَرْدُودًا
“บรรดาสะลัฟและบรรดาผู้นำของพวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่า ทุกๆคนนั้นคำพูดของเขาจะถูกรับหรือถูกปฏิเสธก็ได้นอกจากรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และนี่คือการจำแนกระหว่างบรรดานบีกับคนอื่น เพราะบรรดานบีนั้น จำเป็นต้องศรัทธาต่อพวกเขาในทุกเรื่องที่เขานำมาบอกจากอัลลอฮ์ และจำเป็นต้องภักดีต่อพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาใช้ ซึ่งแตกต่างจากบรรดาผู้นำ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องภักดีต่อพวกเขาในทุกๆเรื่องที่พวกเขาใช้ และไม่จำเป็นต้องตามในทุกเรื่องที่เขาบอก แต่จะต้องนำเอาสิ่งที่พวกเขาใช้และบอกนั้นไปตรวจสอบกับอัลกุรอานและซุนนะห์ และสิ่งใดที่สอดคล้องกับอัลกุรอานและซุนนะห์ก็จำเป็นต้องน้อมรับ แต่สิ่งที่ค้านคัดกับอัลกุรอานและซุนนะห์นั้นก็ต้องปฏิเสธ” ฟะตาวาอัลกุ๊บรอ 11/208
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
قد ثبت بالكتاب والسنة والإجماع أن الله سبحانه وتعالى فرض على الخلق طاعته ، وطاعة رسوله صلى الله عليه وسلم ، ولم يوجب على هذه الأمة طاعة أحد بعينه فى كل ما يأمر به وينهى عنه إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم ، واتفقوا كلهم على أنه ليس أحد معصوماً فى كل ما يأمر به وينهى عنه إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم ، ولهذا قال غير واحد من الأئمة : كل أحد من الناس يؤخذ من قوله ويترك إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم
“มีคำยืนยันด้วยอัลกุรอาน,ซุนนะห์และ อิจมาอ์ว่า พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกำหนดให้บ่าวภักดีต่อพระองค์ และภักดีต่อรอซูลของพระองค์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยไม่เป็นความจำเป็นใดๆต่อประชาชาตินี้ที่จะต้องภักดีต่อตัวตนของคนหนึ่งคนใด ในสิ่งที่ใช้หรือห้ามในเรื่องนั้น นอกจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม พวกเขาทุกคนได้เห็นพ้องต้องกันว่า ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์ปราศจากมลทินใดๆ ในทุกสิ่งที่ใช้และห้ามในเรื่องนั้น นอกจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และนี้ที่บรรดาปราชญ์ต่างพูดถึงกันว่า : มนุษย์ทุกคนนั้นคำพูดของเขาถูกยึดถือและถูกทิ้งก็ได้ นอกจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” มัจมัวอุ้ลฟะตาวา ญุซอ์ที่ 20 หน้าที่ 210
ท่านชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
أما وجوب اتباع القائل في كل ما يقوله من غير ذكر دليل يدل على صحة ما يقول فليس بصحيح ‘ بل هذه المرتبة هي مرتبة الرسول التي لا تصلح إلا له
“ส่วนความจำเป็นในการตามผู้กล่าวในทุกๆเรื่องที่เขากล่าว โดยไม่อ้างถึงหลักฐานที่แสดงถึงความถูกต้องในสิ่งที่เขากล่าวนั้น ถือว่าไม่ถูกต้อง ทว่าสถานะนี้คือสถานะของท่านรอซูล ซึ่งไม่มีผู้ใดคู่ควรต่อสถานะนี้นอกจากท่านเท่านั้น” มัจมัวอุลฟะตาวา ญุชอ์ที่ 35 หน้าที่ 121
กฎเกณฑ์ตามที่กล่าวข้างต้นนี้ เป็นที่ยอมรับและถือปฏิบัติของอุลามาอ์ซุนนะห์ ตั้งแต่ในยุคสะลัฟเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่การลดเกียรติ และมิใช่เป็นการเทิดเกียรติอุลามาอ์จนเลยเถิด แต่เป็นกฏเกณพ์ที่แจ้งสถานะของพวกเขาตามความเป็นจริงที่พวกเขาดำรงอยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น