วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564

ฟารีด เฟ็นดี้ 8 มิถุนายน 2020 · #คุณคือใคร?



#คุณคือใคร?
ส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมวุ่นวายอยู่ ณ เวลานี้ ก็เนื่องจาก บรรดาผู้คนในสังคมต่างไม่รู้สถานภาพของตัวเอง
บางคนพยายามแสดงบทบาทในเวทีสาธารณะเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม, บางคนไม่ได้เรียนรู้ แต่ทำตนประหนึ่งดังเป็นผู้เรียนรู้ที่แก่กล้าวิชาการ, จนเกิดสภาพอุลามาอ์วิจารณ์เกลื่อนเฟส ดั่งที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้
ส่วนคนเรียนรู้ (บางคน) ก็ทำตนบื่อใบ้ ทำตนเหมือนดั่งคนที่ไม่เคยเรียนรู้อะไรมาก่อนเลย ไม่กล้าที่จะพูดจากบอกกล่าวตามความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา เพราะกลัวเปลืองตัว และกลัวตกเป็นจำเลยของสังคม (ห่วงตัวเองมากกว่าห่วงศาสนาของอัลลอฮ์)
บางคนรอดูท่าทีก่อนว่า กระแสสังคมจะเอนไปทางไหน ค่อยชี้นำไปทางนั้น
และคนเรียนรู้จริงบางคนที่นำเสนอหลักฐานและวิชาการกลับไม่ได้รับการยอมรับ เนื่องจากผู้คนเข้าใจว่า “ความจริงต้องอิงอุลามาอ์”
คนรู้ไม่ชี้ และคนชี้ไม่รู้ นี่คือปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ จนทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่าไม่จบสิ้น
หากแต่ละคนดำรงตนอยู่ในสถานภาพที่เป็นจริงของตนเอง สังคมก็คงไม่วุ่นวายถึงเพียงนี้..... แล้วคุณคือใคร ?
.
บรรดาอุลามาอ์ได้จำแนกคนออกเป็น 3 ประเภท คือ
.
1 – มุจตะฮิด หรือปราชญ์ที่มีความรอบรู้, สามารถที่จะวินิจฉัยปัญหาและชี้แจงข้อฮุก่มต่างๆของศาสนาตามตัวบทหลักฐาน ซึ่งเขาสามารถปฏิบัติตามการวินิจฉัยของตนเองได้ โดยไม่อนุญาตให้ตั๊กลีด หรือ ปฏิบัติตามผู้อื่นโดยไม่รู้หลักฐาน
.
2 – ฏอลิบุ้ลอิลม์ คือ บรรดาผู้ที่เรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าจนสามารถจำแนกแยกแยะและให้น้ำหนักทัศนะต่างๆของบรรดาอุลามาอ์ได้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถวินิจฉัยปัญหาต่างๆด้วยตัวเองได้ก็ตาม สำหรับคนกลุ่มนี้ ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปผูกขาดความรู้หรือผูกขาดอยู่กับฟัตวาของอุลามาอ์คนใด แต่จะต้องเอาทัศนะต่างๆของอุลมาอ์มากลั่นกรอง แล้วเลือกปฏิบัติที่ชัดเจนมากที่สุด
.
3 – อาวาม คือคนที่ไม่รู้บทบัญญัติของศาสนา ไม่สามารถวินิจฉัยหรือกลั่นกรองทัศนะต่างๆของบรรดาอุลามาอ์ได้ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของอุลามาอ์คนใดคนหนึ่งที่เขามั่นใจที่สุดตามความสามารถที่เขามี
.
(อ้างถึงไฟล์ภาพประกอบที่แนบมาท้ายบทความนี้)
.
แล้วคุณคือใคร ในสามข้อข้างต้นนี้ ระหว่าง ปราชญ์ที่สามารถวินิจฉัยปัญหาเองได้ หรือ คนเรียนรู้ ที่สามารถสืบค้นและแจกแจงได้ หรือ คนที่ไม่ได้เรียนรู้
.
หากจะมีผู้กล่าวว่า ในบ้านเมืองเราไม่มีอุลามาอ์ระดับมุจตะฮิดที่สามารถวินิจฉัยปัญหาเองได้ แต่ก็ใช่ว่าในบ้านในเมืองนี้จะไม่มีคนเรียนรู้เอาเสียเลย หากแต่ยังมีคนที่เรียนรู้ผ่านตำรา,ผ่านอุลามาอ์อีกจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าเขาจะศึกษาจากต่างประเทศหรือในประเทศก็ตาม แล้วคนเรียนรู้ในกลุ่มนี้ไปอยู่ที่ไหน
.
ภาพที่ปรากฏให้เห็นก็คือ ในสังคมของเรามีกลุ่มคนที่พยายามจะลดคุณค่าของคนเรียนรู้, ทำลายสถานภาพของผู้รู้ โดยการทำให้คนเรียนกับคนไม่เรียนมีค่าเท่ากัน, สร้างภาพให้ผู้คนเข้าใจว่า ในบ้านนี้เมืองนี้มีแต่คนระดับอะวามไปเสียทั้งหมด ไม่มีใครสามารถจะพิจาณา หรือชี้แจงให้ผู้คนได้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด นี่คือภาพความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
.
เมื่อทุกคนถูกทำให้อยู่ในระดับเท่ากัน คือไม่มีคนเรียนรู้ (ตามข้อที่สอง) อยู่ในบ้านนี้เมืองนี้ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้น จึงต้องยึดตามอุลามาอ์ หรือตามฟัตวาของอุลามาอ์,โดยไม่ต้องพิสูจน์ว่า ฟัตวานั้นถูกต้องหรือไม่ หรือตรงกับบริบทหรือเปล่า, ผู้คนก็รอการแปลฟัตวาของอุลามาอ์กันอย่างเดียว, ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ยินคำว่า “กิบารเขาว่า..” อุลามาอ์เขาฟัตวาไว้” โดยไม่สามารถแจกแจงได้ว่า ที่อุลามาอ์เขาว่านั้นถูกผิดอย่างไร หรือฟัตวาไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน มิเช่นนั้นจะโดนข้อหา “ฮุก่มอุลามาอ์” หรือ “เปตรฮุก่มปราชญ์” อย่างนี้เป็นต้น
.
เพราะสังคมถูกทำให้เข้าใจว่าในบ้านนี้เมืองนี้มีแต่คนอะวาม (ในข้อที่ 3) ดังนั้นจึงเกิดขบวนการต่อต้านคนเรียนรู้ด้วยการสร้างวาทะกรรมแผงๆเสนอต่อผู้คน เช่นคำว่า “ไม่เอาอุลามาอ์” หรือ“ตั้งตัวเป็นอุลามาอ์” หรือ “กระโดดข้ามหัวอุลามาอ์” และฯลฯ
.
แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่มีเพียงขบวนการทำลายสถานภาพคนเรียนรู้เท่านั้น แต่บางครั้งคนที่เรียนรู้ (บางคน) ก็ลดคุณค่าด้วยตัวเองเหมือนกัน
.
อย่างที่เราได้เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่อกระแสเรียกร้องให้ตามอุลามาอ์ และให้ตามฟัตวามาแรง คนเรียนรู้ (บางคน) ก็ปิดปากเงียบ ไม่กล้าที่จะนำความรู้ที่ร่ำเรียนมามาใช้ได้ตามความจริง บางคนก็เลยผันตัวเองไปเป็นนักแปลฟัตวา หรือนักสร้างวาทะกรรมตามหน้าเฟส จึงทำให้คนเรียนรู้กับคนไม่ได้เรียนรู้มีค่าเท่ากันคือ คนไม่ได้เรียนแต่รู้ภาษาก็แปลฟัตวา คนเรียนรู้ก็เป็นนักแปลฟัตวา คนไม่ได้เรียนก็สร้างวาทกรรมชี้นำชาวบ้าน คนเรียนรู้ก็สร้างวาทกรรมชี้นำชาวบ้านเช่นเดียวกัน ทำตัวตามกระแส กลมกลืนกันไป
.
การที่คนเรียนรู้ถ่อมตนนั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าคนเรียนรู้ ไม่รู้สถานะของตนเอง และไม่รู้หน้าที่ หรือไม่มีอามานะห์ที่ตนเองได้ร่ำเรียนมา ถ้าเช่นนั้นจะต้องไปร่ำเรียนหลักเกณฑ์หลักการทางวิชาการให้เสียเงินทอง เสียเวลากันทำไม แค่เรียนภาษาให้แปลฟัตวาได้ก็พอ
.
#ลุกขึ้นเถิด..ผู้ที่เรียนรู้จริงทั้งหลาย ท่านไม่ใช่คนอะวาม, ท่านไม่ได้เป็นดั่งไอ้โล๊ะ,ไอ้ควัด,ไอ้เป๋อ,ไอ้ป๋อง อย่าพูดเหมือนคนที่ไม่ได้เรียนรู้เขาพูดว่า “กิบารเขาว่า” หรือ “อุลามาอ์เขาฟัตวาไว้” ท่านทั้งหลายจะต้องไม่หลับหูหลับตาตามโดยไม่รู้ที่มาที่ไป เพราะท่านคือคนเรียนรู้
.
เราเคยเตือนสติและสะกิดเตือนกันในบทความครั้งที่แล้วว่า “ตอนที่เราเรียนกันนั้น ต้องเรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติควบคู่กันไป,คือนอกจากการเรียนในตำรากับอาจารย์แล้ว ยังต้องเข้าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเพื่อค้นคว้า หรือต้องทำวิจัยทั้งแบบตัวใครตัวมันและแบบกลุ่ม บางครั้งก็ต้องซื้อตำราเพิ่มเติมตามที่อาจารย์แนะนำ เพื่อทำการค้นคว้าและทำวิจัยในประเด็นหรือปัญหาต่างๆ ที่อาจารย์ให้ตัวอย่างมา เช่น
.
การสืบค้นและวิเคราะห์หลักฐาน (ตัวบทฮะดีษ,สายรายงาน,ผู้รายงาน) ที่อุลามาอ์แต่ละฝ่ายนำมาอ้าง เพื่อจะได้ทราบว่า ตัวบทไหนมีที่มาอย่างไร, มีสถานะเช่นไร, เนื้อหามีความถูกต้องชัดเจนไหม
.
และผลสรุปที่ได้จากการค้นคว้าและวิจัยนั้นก็ไม่ได้เกิดจากทัศนะของตนเอง แต่จากการอ้างอิงตำราของอุลามาอ์ในศาสตร์และแขนงต่างๆ เพราะฉะนั้นเวลากลับมาเมืองไทย จึงต้องแบกตำราที่ใช้ค้นคว้าและทำวิจัยเหล่านั้นกลับมาด้วย เพื่อว่าจะได้ใช้ค้นคว้าทำวิจัยและเผยแพร่ความรู้ที่ชัดเจนและถูกต้องสืบต่อไป (กระบวนการศึกษาที่พวกเราเคยผ่านเป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ แต่ถ้าใครได้เรียนหรือไม่เคยเรียนกระบวนการสืบค้นและพิสูจน์หลักฐานตามที่กล่าวมานี้ก็ต้องขอมะอัฟ)
.
แต่เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว ทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติที่เคยร่ำเรียนกันมากลับนำมาใช้ไม่ได้เลย ต้องเก็บใส่ลิ้นชัก เพราะกระแสสังคมเวลานี้ได้ชี้นำผู้คนให้หวนกลับไปยึดฟัตวาของอุลามาอ์เป็นที่ตั้ง, แม้คนที่เคยเรียนรู้กระบวนการตรวจสอบหลักฐานทั้งทฤษฏีและภาคปฏิบัติมาแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะกล่าวได้ว่า หลักฐานที่บรรดาอุลามาอ์แต่ละฝ่ายนำเสนอนั้นถูกผิดอย่างไร แม้จะอ้างการค้นคว้า,หรืออ้างอิงจากตำราเล่มใดก็ตาม มิเช่นนั้นแล้วก็จะถูกพิพากษาว่าเป็น “เปรตฮุก่มปราญช์” น่าเศร้ายิ่งนัก”
.
เราเขียนเรื่องนี้เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้ทราบถึงการจำแนกประเภทบุคคลตามกฎเกณฑ์ทางวิชาการ,เพื่อให้แต่ละคนได้รู้สภาพที่เป็นจริงของตนเอง และเพื่อเตือนสติคนที่เรียนรู้ให้รักษาอะมานะห์ทางวิชาการตามที่ได้เรียนรู้กันมา
ถามตนเองกันหน่อยว่า สภาพที่แท้จริงของคุณคือใคร ระหว่าง ปราชญ์ที่สามารถวินิจฉัยปัญหาเองได้ หรือ คนเรียนรู้ ที่สามารถสืบค้นและแจกแจงได้ หรือ คนที่ไม่ได้เรียนรู้
แต่จะว่าในเมืองไทยไม่ปราชญ์มุจตะฮิดก็คงพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะเห็นมีคำประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่า “ให้ยืนห่างกันในแถวละหมาด” ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า ใครบ้างเป็นปราชญ์มุจตะฮิดที่วินิจฉัยเรื่องนี้ หรือ เพียงแค่ก๊อปฟัตวาจากที่อื่นมา “วัลลอฮุอะอ์ลัม”
.
แต่ถ้าใครจะถามเราว่า เอ็งเป็นใคร เราก็จะตอบว่า “ข้าเป็นคนเรียนรู้”
แล้วถ้าเราจะถามกลับบ้างว่า เอ็งเป็นใคร ? เอ็งจะตอบยังไง....
ถ้าตอบว่า เป็นคนเรียนรู้
ถ้าเช่นนั้น เอาหลักฐานและวิชาการมาคุยกัน...
.
.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น