วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563
ชาฟากิลลาฮ์
เท่าที่สังเกตุมา มีหลายคนยังสับสน หรือ ใช้สำนวนดุอาผิด เเละยังไม่เหมาะสม ผมขออธิบายสำนวนคำดุอาเเก่ผู้ป่วยที่เหมาะสม เเละถูกต้อง ซึ่งมีดังนี้:
1.ชาฟากิลลาฮ์ ( شفاك الله) = ใช้กับผู้หญิงที่ป่วยที่เรากำลังพูดด้วย เช่น นางสาว ข. ป่วย เเละเรากำลังพูดกับนางอยู่
2.ชาฟากัลลอฮ์( شفاك الله) = ใช้กับผู้ชาย ผู้ที่กำลังป่วย ที่เรากำลังพูดด้วย เช่น นาย ก. ป่วย เรากำลังพูดกับนาย ก.
3. ชาฟาฮัลลอฮ์ ( شفاها الله)= ใช้กับผู้ป่วยหญิง ใช้กับคนป่วยที่เราไม่ได้พูดด้วย เเต่เป็นคำสรรพนาม พูดถึงบุคคลที่สาม เช่น นาย ก. บอกเราว่า เเม่ของเขาป่วย เราก็พูดว่า ชาฟาฮัลลอฮ์
4. ชาฟาฮุลลอฮ์ ( شفاه الله ) =ใช้กับผู้ป่วยชาย คำนิยามเหมือนข้อสาม เเต่ต่างกันคือ ผู้ป่วยคือ ผู้ชาย
5. ชาฟากุมุลลอฮ์ ( شفاكم الله) = ใช้สำหรับผู้ป่วย ผู้ชายหลายคน เช่น เราไปเจอผู้ป่วยชาย ในโรงพยาบาล 4 คน เราจะพูดว่า ชาฟากุมุลลอฮ์
6. ชาฟาฮุมุลลอฮ ( شفاهم الله)= ใช้กับผู้ป่วยชายหลายคน ที่กล่าวถึง เเต่เราไม่ได้พูดด้วย เช่น นาย ก. บอกว่า มีผู้ชายหลายคนป่วย เรา ก็พูดว่า ชาฟาฮุมุลลอฮ์
7. ชาฟาฮุนนัลลอฮ์ ( شفاهن الله) = คำนิยาม เหมือนกับข้อที่ 6 เเต่ใช้กับผู้หญิงหลายคน..
มีอีกหลายสำนวน....ต้องไปดูคำสรรพนามในภาษาอาหรับ ที่ใช้บ่อย คือ ชาฟากิลลาฮ์, ชาฟาฮัลลอฮ์, ชาฟากัลลอฮ์, ชาฟาฮุลลอฮ์...
Cr .Matty Ibnufatim Hamady
วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563
#นัจดฺ
ท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง กล่าวว่า : ท่านนบี ได้ถามท่านญิบรีล ว่าสถานที่ใดที่ชั่วร้ายที่สุด ท่านญีบรีลจึงได้ทูลถามอัลลอฮ์ เเละได้คำตอบว่า เป็นเมืองนัจดฺ คือเมืองริยาฎ ในปัจจุบัน เพราะสถานที่เเห่งนี้ มุสัยละมะฮฺ อัลกัซซาบ ออกมา
เรามาดูกันว่าสำนวนจริง ๆ เป็นอย่างไร
เล่าจาก มุฮำหมัด บิน ญุบัยรฺ บิน มุฏอิม จากบิดาของเขา เล่าว่า :
أَنَّ رَجُلًا أَتَى النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ وَسَلَّمَ ، فَقَالَ : يَا رَسُولَ اللهِ ، أَيُّ الْبِلَادِ شَرٌّ ؟ فَقَالَ : " لَا أَدْرِي " فَلَمَّا أَتَاهُ جَبْرَئِيلُ قَالَ : " يَا جَبْرَئِيلُ ، أَيُّ الْبُلْدَانِ شَرٌّ ؟ " قَالَ : لَا أَدْرِي حَتَّى أَسْأَلَ رَبِّي ، فَانْطَلَقَ جَبْرَئِيلُ فَمَكَثَ مَا شَاءَ اللهُ أَنْ يَمْكُثَ ، ثُمَّ جَاءَ ، فَقَالَ : يَا مُحَمَّدُ ، إِنَّكَ سَأَلْتَنِي أَيُّ الْبِلَادِ شَرٌّ ؟ وَإِنِّي قُلْتُ لَا أَدْرِي ، وَإِنِّي سَأَلْتُ رَبِّي فَقُلْتُ : أَيُّ الْبِلَادِ شَرٌّ ، فَقَالَ : " أَسْوَاقُهَا
มีชายคนหนึ่งมายังท่านเราะซูลฯ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า โอ้ เราะซูลุลลอฮฺครับ เมืองใดเป็นเมืองที่ชั่วร้ายเล่า ? ท่านนบีกล่าวว่า : “ฉันไม่รู้” เมื่อครั้นที่ญิบรีลมายังท่านนบี ท่านนบีจึงถามว่า : โอ้ญิบรีลเอ๋ย เมืองใดเป็นเมืองที่ชั่วร้ายเล่า ? ญิบรีลจึงกล่าวว่า : “ฉันไม่รู้ จนกว่าฉันจะทูลถามพระผู้อภิบาล” ดังนั้นญิบรีลก็จากไป แล้วได้รับรู้ตามพระประสงค์ของอัลลอฮฺที่จะให้ได้รับรู้ แล้วญิบรีลก็กลับมา พร้อมกล่าวว่า โอ้ มุฮำหมัด ท่านเคยถามฉันว่า เมืองใดเป็นเมืองที่ชัวร้าย ? และฉันกล่าวตอบว่าไม่รู้ ฉันจึงทูลถามพระผู้อภิบาล ว่า เมืองใดเป็นเมืองที่ชั่วร้าย พระองค์ทรงดำรัสว่า : “ตลาดของเมืองนั้นๆ”

1. มุสตัดร็อก อัลหากิม 302,303,304,2158
2. มุสนัด อะหมัด 17016
3. มุสนัด อบียะอลา 7403
4. มุสนัด อัลบัซซาร 3430,3431
5. มุอญัม อัลกะบีร 1545, 1546
สถานะหะดีษบทนี้ : #หะสัน (ดูในหนังสือ ศิฟะตุล ฟัตวา 9)
จากสำนวนที่ปรากฏในหะดีษ จริง ๆ เเล้วสถานที่ ๆ ชั่วร้าย ที่ปรากฏในตัวบทคือ “ตลาด” ไม่ใช่เมืองนัจดฺ ตามคำกล่าวอ้าง

มุสัยละมะฮฺ จอบโกหก เป็นคนจากเมืองนัจดฺ หรือไม่ ?
คำตอบคือ: ใช่ครับ เเต่เราไม่สามารถที่จะเหมารวมว่าคนที่เกิด ณ ที่เเห่งนั้นเป็นคนไม่ดี คนที่คอยสร้างฟิตนะฮ์ เพราะถ้าใช้คำนิยามว่าที่ไหนมีนบีปลอม ที่เเห่งนั้นย่อมไม่ดี เเนะนอนว่า หลายประเทศมุสลิม ก็ตกเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เพราะในโซนเอเชียก็มีผู้กล่าวอ้างว่าตัวเองเป็นนบี เช่นกัน
เเล้วท่านผู้รู้ท่านนี้กล่าวว่าอีกว่า ดังนั้น นบีจึงดุอาอ์ด้วยดุอาอ์ที่ปรากฏในหะดีษดังต่อไปนี้
عنِ ابْنِ عُمَرَ قَالَ: اللَّهُمَّ بَارِكْ لَنَا فِي شَامِنَا ، وَفِي يَمَنِنَا ". قَالَ: قَالُوا: وَفِي نَجْدِنَا؟ قَالَ: قَالَ: اللَّهُمَّ بَارِكْ لَنَا فِي شَامِنَا وَفِي يَمَنِنَا". قَالَ: قَالُوا: وَفِي نَجْدِنَا؟ قَالَ: قَالَ: هُنَاكَ الزَّلَازِلُ وَالْفِتَنُ ، وَبِهَا يَطْلُعُ قَرْنُ الشَّيْطَانِ .
จากอิบนุ อุมัร กล่าวว่า :
"โอ้ข้าแด่อัลเลาะฮ์ โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมือง
ชามของเราด้วยเถิด"
"โอ้ข้าแด่อัลเลาะฮ์ โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมือง
เยเมนของเราด้วยเถิด"
เหล่าบรรดาซอฮาบะฮ์ก็ถามว่า.โอ้ท่านร่อซูลุลลอฮ์ แล้วในเมือง
นัจด์ของเราล่ะครับ...
ท่าน รอซูลจึงกล่าวว่า
"ที่นั่น(คือที่เมืองนัจด์)มีแผ่นดินไหว มีบรรดาฟิตนะฮ์เกิดขึ้น ที่นั้น
และเขาของชัยฏอนได้ปรากฎขึ้นที่นั่น”

หะดีษบทนี้กล่าวถึงความประเสริฐของเมืองชามเเละเยเมน เเต่กล่าวถึงความวุ่นวายจะเกิดขึ้น ณ เมืองนัจดฺ ซึ่งมีผู้รู้ท่านหนึ่งใช้หะดีษบทนี้ ในการโจมตี อิบนุ ตัยมิยยะฮฺ หรือ วะฮะบีย์ ที่ออกมาจากสถานที่เเห่งนี้

เรามาดูกันว่า อุลามาอฺ ได้อธิบายคำว่า نجد ที่ปรากฏในหะดีษบทนี้ว่า เป็นไปตามที่เขากล่าวอ้างหรือไม่ ?
1. ท่านอิม่ามบุคอรีย์ ได้บรรจุหะดีษบทนี้ไว้ในหัวข้อ “ฟิตนะฮฺที่เกิดขึ้นทางทิศตะวันออก” , หะดีษบทนี้ท่านนบี กล่าว ณ ขณะที่ท่านอยู่มะดีนะฮ์ ซึ่งทิศตะวันออกของมาดีนะฮฺ มีอุลามาะอ์มาอธิบายถึงคำว่า نجد ดัวต่อไปนี้ :
อัลคอฏฏิบีย์ : กล่าวว่า : นัจดฺ จากทางทิศตะวันออก สำหรับคนที่อยู่เมืองมะดีนะฮ์ ซึ่งเป็นสถานที่อยู่ในประเทศอีรักเเละบริเวณโดยรอบ นั้นคือทางทิศตะวันออกของเมืองมะดีนะฮ์ ...
ท่านอัดดาวูดีย์ กล่าวว่า : เเท้จริง นัจดฺ เป็นส่วนหนึ่งของอีรัก คนบางคนเข้าใจผิดว่านัจดฺคือสถานที่เฉพาะ เเต่บนความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะทุก ๆ สิ่งที่อยู่เหนือสูงไป เราจะเรียกว่า نجد เเต่ถ้าหากสถานที่ต่ำเราจะเรียกว่า غورا เช่น เมืองมักกะฮ์ (ฟัตหุล บารีย์ 13/47)
2. เเละยิ่งไปว่านั้นในการบันทึกของอัฏฏ็อบบะรอนีย์ ได้ระบุชัดเจนว่าเป็น “อีรัก” เเละสิ่งที่เกิดขึ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เราก็ได้เห็นว่า ณ ที่เเห่งนั้นมีความวุ่นวายเกิดขึ้นตลอด ถึงเเม้จะมีการตำหนิถึงสถานที่เเห่งนั้น เเต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถไปตำหนิคนที่เกิดอยู่ในนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เป็นชาวอีรัก ที่อดทนกับบททดสอบ เเละอัลลอฮ์ได้ทำให้เขาปลอดภัยจากฟิตนะฮ์ เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ดีที่สุดได้ อินชาอัลลอฮฺ
3. ทำไมท่านนบีถึงไม่ดุอาอ์ให้เกิดความจำเริญในเมืองนัจดฺ เเละท่านได้ทิ้งท้ายว่า ณ ที่เเห่งนั้นเขาของชัยฏอนโผล่ออกมา ?
ท่านอัลค๊อฏฏอบีย์ กล่าวว่า : القرن คือกลุ่มจากผู้คนที่เกิดขึ้นมาหลังจากคนอื่นได้สูญหายไปแล้ว เเละท่านอื่น ๆ ได้กล่าวว่า: ณ เวลานั้นชาวทิศตะวันออก คือ ผู้ปฏิเสธศรัทธา ท่านนบีจึงบอกว่าจะเกิดฟิตนะฮฺจากทางทิศนั้น เเละก็เกิดในสิ่งที่ท่านเคยกล่าว เพราะฟิตนะฮฺเเรกที่เกิดขึ้นเกิดทางทิศตะวันออก เเละเป็นต้นเหตุของการเเตกเเยกของมุสลิม เเละสิ่งนั้นเองก็เป็นที่ชื่นชอบของชัยฏอน เเละมันก็ยังดีใจกับสิ่งนั้น , เฉกเช่นเดียวกับบิดอะฮฺ (อุตริกรรม) ก็เกิดขึ้นจากทิศนั้น (ฟัตหุลบารีย์ 13/47)
ดังนั้นจากการอธิบายในฟัตหุลบารีย์ เข้าใจได้ว่า نجد หมายถึงส่วนหนึ่งของ “อีรัก” ไม่ใช่เมืองริยาฎ อย่างที่เข้าใจกัน
(อ่านเพื่มเติม http://islamasian.blogspot.com/2016/10/3.html?m=1)
4. การกล่าวว่า อิบนุ ตัยมิยยะฮ์ ออกมาจากเมืองนัจดฺ ถือว่าผู้พูดอาจจะไม่รู้จักท่านจริง เพราะท่านเกิดที่เมืองชาม (ซีเรีย)
(อ่านเพิ่มเติมได้ https://www.facebook.com/.../a.14041.../1779192988987908/...)
35คุณ และคนอื่นๆ อีก 34 คน
1 ความคิดเห็น
แชร์ 14 ครั้ง
ถูกใจ
แสดงความคิดเห็น
แชร์
#ชี้เเจง_เขาชัยฏอน_โผล่ที่ซาอุฯ_จริงหรือ
#ชี้เเจง_เขาชัยฏอน_โผล่ที่ซาอุฯ_จริงหรือ
ตอบโต้การใส่ไคล้ที่มีต่อท่านอิหม่าม อัล-มุญัดดิด ชัยคุลอิสลาม มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ในประเด็น "นัจญดฺ เขาของชัยฏอน"
_______________________________________
عن ابن عمر رضي الله عنهما أنه سمع رسول الله صلى الله عليه وسلم و هو مستقبل المشرق يقول : ألا إن الفنتة هاهنا، ألا إن الفتنة هاهنا، ألا إن الفتنة هاهنا، من حيث يطلع قرن الشيطان [رواه الشيخان]
มีรายงานจากท่านอิบนุอุมัร رضي الله عنهما ว่า : แท้จริงท่านได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺﷺได้กล่าวขณะที่ท่านหันหน้าไปทางทิศตะวันออกว่า :
"พึงทราบเถิดว่า แท้จริงฟิตนะฮฺอยู่ที่นี่ พึงทราบเถิดว่า แท้จริงฟิตนะฮฺอยู่ที่นี่ พึงทราบเถิดว่า แท้จริงฟิตนะฮฺอยู่ที่นี่ โดยที่เขาของชัยฏอนจะปรากฎขึ้นที่นั่น
[บันทึกโดยท่านอิมามบุคอรีและท่านอิมามมุสลิม]
وعن ابن عمر رضي الله عنهما قال : ذكر النبي صلى الله عليه وسلم فقال : اللهم بارك لنا في شامنا ، اللهم بارك لنا في يمننا ، قالوا : وفي نجدنا ، قال : اللهم بارك لنا في شامنا ، اللهم بارك لنا في يمننا ، قالوا : يا رسول الله وفي نجدنا فأظنه قال الثالثة : هناك الزلازل والفتن ، وبها يطلع قرن الشيطان . رواه البخاري والترمذي وأحمد .
และมีรายงานจากท่านอิบนุอุมัร رضي الله عنهما ท่านกล่าวว่า : ท่านนบีﷺกล่าวว่า :
"โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองชามของเราด้วยเถิด โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองเยเมนของเราด้วยเถิด"
พวกเขา(บรรดาศ่อฮาบะฮฺ)ได้กล่าวว่า : แล้วในเมืองนัจญด์ของเราล่ะ ?
ท่านนบีﷺได้กล่าวต่อว่า : "โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองชามของเราด้วยเถิด โอ้อัลลอฮฺ ได้โปรดทรงประทานความจำเริญแก่เราในเมืองเยเมนของเราด้วยเถิด"
พวกเขา(บรรดาศ่อฮาบะฮฺ)ได้กล่าวว่า : โอ้ท่านร่อซูลั้ลลอฮฺ แล้วในเมืองนัจญดฺของเราล่ะ ?
(และฉันก็คาดว่าท่านนบีได้กล่าวในครั้งที่สามว่า) : ที่นั่นมันมีแผ่นดินไหวและฟิตนะฮฺ และเขาของชัยฏอนก็โผล่ขึ้นที่นั่น"
[บันทึกโดยอิหม่ามบุคอรี , อัตติรมีซี เเละอะหมัด]
ซึ่งมีคนบางกลุ่มใช้หะดีษข้างต้นยัดเยียดข้อกล่าวหาให้กับท่านอิมามมุญัดดิด มุฮัมมัด อิบนุอับดิลวะฮฺฮาบ رحمه الله ว่าเป้าหมายของหะดีษนี้หมายถึงท่าน เนื่องจากว่าบ้านเกิดของท่านนั้นอยู่ที่แคว้นนัจญดฺ ซึ่งเราสามารถชี้แจงและตอบโต้พวกเขาได้ในหลายประเด็นดังนี้
ประเด็นที่ 1
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักปราชญ์ว่าตัวบทหลักฐานต่างๆเกี่ยวกับเรื่องการยกย่องให้เกียรติสถานที่บางแห่งหรือกลุ่มชนบางกลุ่มชนมากกว่ากลุ่มชนอื่น ที่ได้มีการระบุไว้ในอัล-กุรอานหรือในหะดีษนั้น มันไม่ได้หมายถึงว่ามันจะเป็นการยกย่องคนทุกคนที่มาจากสถานที่แห่งนั้นหรือมาจากกลุ่มชนกลุ่มนั้นว่ามีความประเสริฐมากกว่ามนุษย์คนอื่นๆ และในทำนองเดียวกัน ตัวบทหลักฐานต่างๆที่ได้มีระบุไว้ถึงการตำหนิสถานที่บางแห่งและความชั่วร้ายที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่า(ไม่ว่าจะในกรณีใดๆก็ตาม)มันจะเป็นการตำหนิ หรือลดเกียรติทุกๆคนที่มาจากสถานที่แห่งนั้น
และหลักฐานในเรื่องนี้คือ ดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่ว่า :
ความว่า : โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่าและตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
[อัลหุญุร๊อต:13]
และมีรายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ رضي الله عنه ว่า ท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺﷺได้กล่าวว่า :
"แท้จริงอัลลอฮฺนั้นมิได้ทรงมองไปยังรูปลักษณ์ของพวกเจ้าและทรัพย์สินของพวกเจ้า แต่ทว่าพระองค์จะทรงมองไปยังหัวใจของพวกเจ้าและการงานต่างๆของพวกเจ้า"
[บันทึกโดยท่านอิมามมุสลิม]
ดังนั้นสิ่งที่จะใช้เป็นบรรทัดฐานวัดความดีความชั่วนั้น มันคือหัวใจและการกระทำ มันไม่ได้วัดกันที่เผ่าพันธุ์หรือชาติกำเนิด และมันก็ไม่ได้วัดกันที่เพศหรือสีผิว และการยืนยันเรื่องนี้นั้นเป็นสิ่งที่เห็นพ้องต้องกันในหมู่มวลนักปราชญ์
ท่านอิมามมาลิก رحمه الله ได้รายงานไว้ใน "อัลมุวัฏเฏาะอฺ" ว่า มีรายงานจากท่านยะหฺยา อิบนุสะอีดว่า: ท่านอะบุดดัรดาอฺได้เขียนจดหมายเชิญชวนท่านซัลมานอัลฟาริซียฺให้มายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์(ดินแดนชาม) แล้วท่านซัลมานก็ได้เขียนจดหมายกลับไปหาท่านอะบุดดัรดาอฺว่า : แท้จริงแผ่นดินนั้นไม่ได้ทำให้ใครสะอาดบริสุทธิ์ได้ แต่แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่จะทำให้มนุษย์สะอาดบริสุทธิ์ได้นั้นคือการกระทำของเขาเอง.
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ رحمه اللهได้กล่าวว่า :
"และมันเป็นก็ไปตามที่ท่านซัลมานอัลฟารีซียฺได้กล่าวไว้ เพราะว่าแท้จริงเมืองมักกะฮฺ(ขออัลลอฮฺทรงปกปักรักษามัน)นั้นเป็นดินแดนที่ทรงเกียรติที่สุด ทั้งๆที่ในตอนยุคต้นๆของอิสลามมันเคยเป็นเมืองแห่งกุฟรฺและเมืองของศัตรูสงคราม ซึ่งการพำนักอยู่ที่นั่นเป็นที่ต้องห้าม และทั้งๆที่เมืองชามในสมัยของท่านนบีมูซา عليه السلام ก่อนที่ท่านจะพาชาวบนีอิสรออีลออกมา มันเคยเป็นบ้านเมืองของกลุ่มชนที่เคารพสักการะดวงดาว กลุ่มชนที่ทำชิริก กลุ่มชนที่มีความยโสโอหังและฝ่าฝืน และอัลลอฮฺตะอาลาได้กล่าวกับชาวบนีอิสรออีลเกี่ยวกับเมืองนี้ไว้ว่า :
ความว่า : ข้าจะให้พวกเจ้าได้เห็นที่อยู่ของผู้ละเมิดทั้งหลาย
[อัล-อะอฺรอฟ:145]
เพราะแท้จริงการที่ผืนแผ่นดินมันจะเป็นเมืองแห่งกุฟรฺหรือเมืองแห่งความสันติหรือเมืองแห่งอีหม่าน หรือเป็นเมืองแห่งความสงบสุขหรือเมืองแห่งสงคราม หรือการที่จะเป็นเมืองแห่งการเชื่อฟังหรือฝ่าฝืน หรือเป็นเมืองแห่งบรรดาผู้ศรัทธาหรือบรรดาผู้ฝ่าฝืนนั้น มันก็เป็นเพียงลักษณะที่ชั่วคราว ไม่ใช่ลักษณะที่ติดตัวตลอดไป บางทีมันอาจจะเปลี่ยนแปลงจากลักษณะหนึ่งไปเป็นอีกลักษณะหนึ่งก็ได้ มันก็เหมือนกับการที่ชายคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงตัวของเขาเองจากการกุฟรฺไปสู่การอีหม่านและความรู้ และในทำนองเดียวกันมันก็อาจเป็นไปในทางตรงกันข้าม
แต่สำหรับความประเสริฐที่มันจะอยู่ในทุกๆเวลาและทุกๆสถานที่นั้น มันขึ้นอยู่กับการอีหม่านและการงานที่ดี ดังที่อัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสไว้ว่า :
ความว่า : แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธา และบรรดาผู้ที่เป็นยิว และบรรดาผู้ที่เป็นคริสเตียนและอัศซอบิอีนนั้น ผู้ใดก็ตามที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันปรโลก และประกอบสิ่งที่ดีแล้ว พวกเขาก็จะได้รับรางวัลของพวกเขา ณ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา
[อัลบะเกาะเราะฮฺ:62]
และอัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสว่า :
ความว่า : และพวกเขากล่าวว่า จะไม่มีใครเข้าสวรรค์เลย นอกจากผู้ที่เป็นยิวหรือเป็นคริสเตียนเท่านั้น นั่นคือความเพ้อฝันของพวกเขา จงกล่าวเถิด(มุฮัดมัด)ว่า พวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมาหากพวกท่านเป็นผู้สัจจริง - หาใช่เช่นนั้นไม่ ผู้ใดที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮฺและขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทำความดีแล้วไซร้ เขาจะได้รับรางวัลของเขา ณ ที่พระเจ้าของเขา
[อัลบะเกาะเราะฮฺ:111/112]
และอัลลอฮฺตะอาลาได้ตรัสไว้อีกว่า :
ความว่า : และผู้ใดเล่าจะมีศาสนา ดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮฺ และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำดี และปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีม
[อันนิซาอฺ:125]
ดังนั้นจึงไม่สมควรสำหรับผู้ใดก็ตามที่เมื่อเขาจะดูว่าใครมีความประเสริฐ เขาก็จะไปพิจารณาที่ความประเสริฐของพื้นที่ แต่ให้เขามอบสิทธิแก่เจ้าของ การที่จะพิจารณาถึงความประเสริฐของใครนั้น ให้ดูที่อีหม่าน การงานที่ดีและคำพูดที่ดีของเขา
และเมื่อกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งได้ถูกยกย่องให้เกียรติเหนือกว่ากลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นการให้ความประเสริฐยกย่องเหนือกว่าเป็นรายบุคคล ดังเช่นการให้ความประเสริฐต่อยุคศตวรรษที่สองเหนือกว่ายุคศตวรรษที่สาม และดังเช่นการให้ความประเสริฐแก่คนอาหรับเหนือกว่าคนที่ไม่ใช่อาหรับ และดังเช่นการให้ความประเสริฐแก่เผ่ากุเรชเหนือกว่าเผ่าอื่นๆ ดังนั้นสิ่งนี้อัลลอฮฺทรงรู้ดีที่สุด" ...จบคำพูดของชัยคุลอิสลาม..
[مجموع الفتاوى (٤٥/٢٥-٤٧)]
ประเด็นที่ 2
ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงไม่เป็นที่อนุญาตให้เข้าใจหะดีษดังกล่าวว่าเป็นการตำหนิชาวเมืองนัจญดฺทั้งหมดในหน้าประวัติศาสตร์ มิหนำซ้ำในหะดีษนี้ก็ไม่ได้มีการตำหนิเมืองนัจญดฺอย่างสิ้นเชิง แต่ที่จริงแล้วการตำหนิและการให้ออกห่างจากเมืองนัจญดฺที่ถูกระบุไว้ในหะดีษนี้มันมีข้อจำกัดคือเมื่อมีฟิตนะฮฺและความชั่วร้ายต่างๆ มันไม่ได้บ่งชี้ถึงว่ามีการตำหนิและสั่งใช้ให้ออกห่างจากเมืองนัจญดฺในทุกยุคทุกสมัยโดยไม่มีการยกเว้นช่วงเวลาใด เพราะมันอาจจะมีประภาคารแห่งความรู้ ทางนำ ความประเสริฐและความดีงามเกิดขึ้นยุคสมัยใดยุคสมัยหนึ่งก็ได้
ท่านเชคอับดุรเราะหฺมาน อิบนุฮะซัน ได้กล่าวว่า:
"อย่างไรก็ตาม การตำหนินั้นที่จริงแล้วมันจะเกิดขึ้นกับสภาพหนึ่งโดยไม่เกิดขึ้นในอีกสภาพหนึ่ง และมันจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งโดยไม่เกิดขึ้นกับอีกช่วงเวลาหนึ่ง กล่าวคือมันขึ้นอยู่กับสภาพของผู้อยู่อาศัย เพราะว่าแท้ที่จริงแล้วนั้นการตำหนิมันขึ้นอยู่กับสภาพไม่ใช่สถานที่ ถึงแม้ว่าสถานที่หลายๆแห่งนั้นมันจะมีความประเสริฐมากน้อยต่างกันไป แต่มันก็อาจจะเกิดการหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปในสถานที่ต่างๆเหล่านั้น เพราะแท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงสับเปลี่ยนหมุนเวียนในหมู่สิ่งถูกสร้างของพระองค์ แม้กระทั่งในพื้นที่ต่างๆ ดังนั้นสถานที่แห่งมะอฺศิยัตในช่วงเวลาหนึ่งนั้นมันอาจกลายเป็นสถานที่แห่งการฏออัตในอีกช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ และในทางกลับกัน สถานที่แห่งการฏออัตในช่วงเวลาหนึ่งนั้นมันอาจกลายเป็นสถานที่แห่งมะอฺศิยัตในอีกช่วงเวลาหนึ่ง"
[مجموعة الرسائل والمسائل (4/265)]
ประเด็นที่ 3
ไม่ได้มีปรากฎในถ้อยคำของตัวหะดีษที่ระบุถึงการตำหนิชาวเมืองนัจญดฺและผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั้น แต่ทว่าในหะดีษนี้เป็นการบอกถึงฟิตนะฮฺและความชั่วร้ายต่างๆที่จะเกิดขึ้นและออกมาจากเมืองนั้น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นการตำหนิผู้ที่อาศัยในเมืองนั้นอย่างสิ้นเชิงโดยไม่มีข้อยกเว้น
ได้มีการบอกถึงการเกิดขึ้นของฟิตนะฮฺต่างๆในเมืองมะดีนะฮฺมุเนาวะเราะฮฺไว้ในหะดีษของท่านนบีﷺ ดังเช่นที่ท่านนบีﷺได้กล่าวกับบรรศอฮาบะฮฺของท่านว่า :
"แท้จริงฉันได้เห็นจุดต่างๆที่เกิดฟิตนะฮฺที่มันอยู่ในระหว่างบ้านเรือนของพวกท่าน(มันมากมาย)ดั่งจุดต่างๆที่ฝนตก"
[บันทึกโดยท่านอิมามบุคอรีและท่านอิมามมุสลิม]
และไม่เป็นที่อนุญาตให้เข้าใจจากหะดีษดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการตำหนิใดๆแก่ชาวเมืองมะดีนะฮฺมุเนาวะเราะฮฺ
ท่านเชคมุฮัมมัดบะชีร อัซซะฮฺซะวานียฺ อัลฮินดียฺ رحمه الله (เสียชีวิตปีฮ.ศ.1326) ได้กล่าวว่า :
"และหะดีษบทต่างๆเหล่านี้ และหะดีษอื่นๆที่ถูกระบุไว้ในหมวดนี้ เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของฟิตนะฮฺต่างๆในเมืองมะดีนะฮฺมุเนาวะเราะฮฺ ดังนั้นหากว่าการที่ฟิตนะฮฺเกิดขึ้นในสถานที่หนึ่งสถานที่ใดแล้วมันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงว่ามันจะต้องเป็นการตำหนิผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนั้น มันก็จำเป็นที่จะต้องตำหนิชาวเมืองมะดีนะฮฺทั้งหมดทุกคน แต่ทว่าไม่มีผู้ใดกล่าวอย่างนี้สักคน ทั้งๆที่มักกะฮฺและมะดีนะฮฺนั้นเคยเป็นเมืองแห่งชิริกและกุฟรฺในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วฟิตนะฮฺใดเล่าที่มันจะร้ายแรงกว่าชิริกและกุฟรฺ แต่ทว่ามันไม่มีเมืองหรือหมู่บ้านใดๆเลยที่มันไม่เคยเป็นหรือไม่ได้กลายเป็นสถานที่แห่งฟิตนะฮฺ ในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วเหตุไฉนมุอฺมินคนหนึ่งถึงกล้าตำหนิมุสลิมทั้งหมดในดุนยานี้ ? แต่ที่จริงแล้วการตำหนิบุคคลแบบเจาะจงตัวนั้น มันก็ขึ้นอยู่กับการที่เขาเป็นต้นเหตุแห่งฟิตนะฮฺ ไม่ว่าจะเป็นกุฟรฺ ชิริกและบิดอะฮฺทั้งหลาย"
[صيانة الإنسان عن وسوسة الشيخ دحلان (ص500)]
ดังนั้นเป้าประสงค์ของหะดีษนี้คือการบอกถึงฟิตนะฮฺและการทดสอบที่ใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นในแคว้นนัจญดฺในช่วงเวลาหนึ่งของประวัติศาสตร์ และชาวเมืองนั้นจะตกเป็นเหยื่อของฟิตนะฮฺ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าชาวเมืองทุกคนนั้นจะเป็นผู้ที่กระทำและปลุกปั่นให้เกิดฟิตนะฮฺ และผู้ใดที่เข้าใจหะดีษอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเขานั้นได้ทำชั่วและอธรรม
ท่านเชคอัล-อัลบานียฺ رحمه الله กล่าวว่า :
"และพวกเขาก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่า การที่ชายคนหนึ่งมาจากเมืองบางเมืองที่ถูกตำหนินั้น มันก็ไม่ได้ส่งผลให้เขาต้องถูกตำหนิเหมือนกันกับเมืองนั้นถ้าหากว่าเขาเป็นคนดี และมันก็เช่นเดียวกันในทางตรงกันข้าม มันมีคนฝ่าฝืนและคนชั่วช้ามากน้อยเท่าไหร่ล่ะในมักกะฮฺ มะดีนะฮฺและชาม และมันมีผู้รู้และคนดีมากน้อยเท่าไหร่ล่ะในอิรัก และคำพูดของท่านซัลมาน อัลฟาริซียฺที่ได้กล่าวแก่อบุดดัรดาอฺช่างคมคายเสียนี่กะไร ในขณะที่เขาได้เชิญชวนท่านให้อพยพจากอิรักไปสู่ดินแดนชาม(โดยกล่าวว่า) : อัมมาบะอฺด , แท้จริงแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ทำให้ผู้ใดสะอาดบริสุทธิ์ได้ แต่ที่จริงแล้วมนุษย์จะถูกทำให้สะอาดบริสุทธิ์ก็ด้วยกับการงานของเขาเอง"
[السلسلة الصحيحة (305/5)]
ประเด็นที่ 4
บรรดาอุลามาอฺในยุคแรกได้อรรถธาธิบายหะดีษนี้ไว้แล้ว และพวกเขาได้กล่าวว่าเป้าหมายของฟิตนะฮฺต่างๆที่ท่านนบีﷺได้บอกเกี่ยวกับมันนั้น คือฟิตนะฮฺของมุซัยละมะฮฺจอมโกหก ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นนบี และความชั่วร้ายที่เขาได้นำมันมา และบรรดานักพยากรณ์ทั้งหลายที่ติดตามเขา
ท่านอิหม่ามอัล-ฮาฟิซ อิบนุฮิบบานได้กล่าวไว้หลังจากที่ท่านได้รายงานหะดีษของท่านอับดุลลอฮฺอิบนุอุมัร ว่าท่านได้กล่าวว่า :
"หลังจากนั้นฉันก็เห็นท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺﷺชี้ไปทางทิศตะวันออก และท่านก็ได้กล่าวว่า :
"แท้จริงฟิตนะฮฺมันอยู่ที่นี่ แท้จริงฟิตนะฮฺมันอยู่ที่นี่ ซึ่งเป็นที่ที่เขาของชัยฏอนจะโผล่ขึ้นมา"
ท่านอบูฮาติม رحمه الله ได้กล่าวว่า : ทางตะวันออกของมะดีนะฮฺนั้นคืออัลบะหฺรอยนฺ และมุซัยละมะฮฺก็มาจากที่นั้น และการปรากฎตัวของเขานั้นคือ เหตุการณ์ร้ายแรงแรกที่เกิดขึ้นในอิสลาม
[الإحسان بترتيب صحيح ابن حبان (15/24)]
และดังที่ผู้รู้บางท่านได้อรรถธาธิบายไว้มันไว้อีกเช่นกันว่ามันคือฟิตนะฮฺต่างๆที่จะเกิดขึ้นที่อิรัก เพราะว่าอิรักนั้นมันก็ถือว่าอยู่ทางทิศตะวันออกของคนที่อยู่ในฮิญาซเหมือนกัน และเช่นเดียวกันในอิรักนั้นมันก็มี"นัจญดฺ" เพราะว่าทุกๆพื้นที่ที่มันสูงขึ้นเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆนั้น มันจะถูกเรียกว่า "นัจญดฺ" และศ่อฮาบะฮฺบางท่านก็มีความเข้าใจในหะดีษนี้ว่ามันหมายรวมถึงที่ที่อิรักด้วย
มีรายงานว่าท่านซาลิม อิบนุ อับดิ้ลลาฮฺ อิบนุ อุมัร ท่านได้กล่าวว่า :
"โอ้ชนชาวอิรักทั้งหลาย ! ไฉนพวกท่านนั้นถึงถามกันมากมายเกี่ยวกับบาปเล็กๆ ทั้งที่ๆพวกท่านนั้นก็ทำบาปใหญ่กันมากมายเหลือเกิน! ฉันได้ยินท่านอบูอับดิลลาฮฺ อิบนุอุมัรกล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านร่อซูลุ้ลลอฮฺﷺกล่าวว่า : แท้จริงฟิตนะฮฺนั้นจะมาจากทางนี้ (และท่านก็ใช้มือชี้ไปทางทิศตะวันออก) โดยที่เขาทั้งสองของชัยฏอนจะโผล่ขึ้นที่นั่น และพวกท่านก็จะเข่นฆ่ากันเอง"
[บันทึกโดยท่านอิมามมุสลิม]
ดังนั้นหะดีษนี้จึงกินความรวมทุกๆ "นัจญดฺ" : ซึ่งก็คือที่ที่สูงขึ้นจากผืนดิน เมื่อเทียบกับแคว้นฮิญาซ ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของแคว้นนั้น ดังนั้นมันจึงกินความรวมทั้ง "นัจญดฺ"ของฮิญาซ และ"นัจญดฺ"ของอิรัก
ท่านอิหม่ามชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ رحمه الله ได้กล่าวว่า :
"นี่คือสิ่งที่ชาวเมืองมะดีนะฮฺมุเนาวะเราะฮฺพูดกันในช่วงเวลานั้น พวกเขาจะเรียกชาวนัจญดฺและชาวอิรักว่า "ชาวตะวันออก"
[مجموع الفتاوى (41-42/27)]
ท่านอิมามอัลฮาฟิซ อิบนุหะญัร رحمه الله ได้กล่าวว่า :
"ชาวตะวันออกในช่วงเวลานั้นเป็นชาวกุฟรฺ ดังนั้นท่านนบีﷺจึงได้บอกว่าฟิตนะฮฺจะเกิดจากพื้นที่นั้น แล้วมันก็เป็นไปตามที่ท่านบอก และฟิตนะฮฺแรกนั้นมันมาจากทางตะวันออก และมันก็เป็นสาเหตุแห่งความแตกแยกระหว่างบรรดามุสลิม และมันก็เป็นส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ชัยฏอนรักและปีตียินดี และเช่นเดียวกัน บิดอะฮฺต่างๆนั้นก็มาจากทางทิศนั้น
และท่านอัลค็อฏฏอบียฺได้กล่าวว่า : "นัจญดฺ" อยู่ทางทิศตะวันออก และผู้ที่อยู่ที่มะดีนะฮฺ "นัจญดฺ"ของเขาก็คือทะเลทรายและพื้นที่ต่างๆของอิรัก และมันก็คือทิศตะวันออกของชาวมะดีนะฮฺ และรากศัพท์เดิมของ "นัจญดฺ" นั้นคือ ผืนดินที่มันสูงขึ้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ อัลเฆาวรฺ (الغور) ซึ่งมันคือผืนดินที่มันต่ำลง และติฮามะฮฺ(تهامة พื้นที่ราบลุ่มระหว่างชายฝั่งและภูเขา)ทั้งหมดนั้น มันก็คือ อัลเฆาวรฺ และมักกะฮฺนั้นคือติฮามะฮฺ...(จบคำพูดของท่านอัลค็อฏฏอบียฺ)
ท่านอัดดาวุดียฺกล่าวว่า : แท้จริง "นัจญดฺ" ก็เป็นส่วนหนึ่งจากพื้นที่ของอิรัก และมันได้มีการคิดทึกทักไปเองว่า "นัจญดฺ"นั้นเป็นสถานที่เฉพาะ แต่ว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น แต่ทว่าทุกๆสิ่งที่สูงกว่าสิ่งที่อยู่ข้างๆมัน สิ่งที่สูงขึ้นมานั้นก็จะถูกเรียกว่า "นัจญดฺ" ส่วนที่ต่ำลงไปเรียกว่า "เฆาวรฺ"
[فتح الباري (47/13)]
นักปราชญ์แห่งอิรัก มะหฺมูดชุกรียฺอัลอาลูซียฺ ได้กล่าวถึงประเทศอิรักของเขาไว้ว่า :
"และไม่ต้องแปลกใจ เพราะประเทศอิรักนั้นเป็นต้นกำเนิดและศูนย์รวมของทุกๆความหายนะและความเจ็บปวด และบรรดามุสลิมนั้นก็ยังคงได้รับความวิบัติครั้งแล้วครั้งเล่าจากอิรัก ดังนั้นชาวฮะรูรออฺและสิ่งที่พวกเขาได้กระทำไว้กับอิสลามมันก็ชัดเจน และฟิตนะฮฺของพวกญะฮฺมียะฮฺพวกที่ชาวสะลัฟจำนวนมากได้ขับพวกเขาออกจากอิสลาม ที่จริงแล้วพวกเขานั้น
ได้ปรากฏตัวขึ้นที่อิรัก และพวกมั๊วอฺตะซิละฮฺและสิ่งที่พวกเขาได้กล่าวไว้กับฮะซันอัลบัศรียฺที่ได้มีรายงานกันมาอย่างมากมายนั้น... แท้ที่จริงแล้วพวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่เมืองบัศเราะฮฺ ต่อมาก็พวกรอฟิเฎาะฮฺและชีอะฮฺและความเลยเถิดของพวกเขาที่มีต่ออะหฺลุลบัยตฺ และคำพูดที่มีความร้ายแรงเลยเถิดในตัวท่านอลีและบรรดาอิมามทั้งหมด และการด่าทอบรรดาศ่อฮาบะฮฺรุ่นอาวุโส.. ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นที่รู้กันอย่างแพร่หลาย
[غاية الأماني (148/2)]
และท่านเชคฮะกีม มุฮัมมัดอัชรอฟ ซินดฺฮู رحمه الله ท่านมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ชี้แจงสิ่งที่เราได้บอกไว้ ในหัวข้อ "การชี้แจงที่สมบูรณ์แบบที่สุดในการอรรถธาธิบายหะดีษ : "นัจญด์ เขาของชัยฏอน" และหนังสือเล่มนี้ก็ถูกตีพิมพ์แล้ว โดยที่ท่านเชคอับดุลกอดิร อิบนุฮะบีบุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวคำนำให้กับหนังสือเล่มนี้ไว้ว่า :
"และสถานที่ที่ถูกเจาะจงโดยพวกโง่เขลาและหลงผิดในปัจจุบันนี้(หมายถึงเมืองนัจญดฺที่อยู่ประเทศซาอุดี้) ไม่มีสะลัฟหรือแม้กระทั่งค่อลัฟคนใดได้กล่าวมันไว้เลย เว้นแต่หลังจากการปรากฏขึ้นของการดะอฺวะฮฺของท่านชัยคุลอิสลาม มุฮัมมัดอิบนุอับดิ้ลวะฮฺฮาบ رحمه الله ซึ่งเป็นการดะอฺวะฮฺที่เป็นการฟื้นฟูศาสนาที่เที่ยงแท้ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ได้มีความเข้าใจในอะกีดะฮฺนี้ที่ถูกต้อง หรือพวกเขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่สนใจอะกีดะฮฺที่ถูกต้องนี้ และพวกเขาก็ไม่เคยได้รู้ถึงประวัติศาสตร์อิสลามที่ถูกต้องที่มันจะชี้ให้พวกเขาได้เห็นถึงฟิตนะฮฺที่ใหญ่หลวงที่มันได้ปรากฏขึ้นยังชัดเจนแจ่มแจ้งที่เมืองนัจญดฺที่แท้จริงนั้น
ประเด็นที่ 5
และผู้คนจำนวนมากได้ผิดพลาดเมื่อพวกเขาได้คิดไปเองว่าเป้าหมายของคำว่า "เขาของชัยฏอน" นั้นมันหมายถึงบุคคลคนหนึ่งแบบเจาะจงตัว เพราะว่าเป้าหมายของมันนั้นหมายถึงตำแหน่งที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและสิ่งที่เกิดขึ้นกับมัน เพราะแท้จริงท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :
"แท้จริงมัน(ดวงอาทิตย์)จะขึ้นที่ระหว่างเขาทั้งสองของชัยฏอน"
[บันทึกโดยท่านอิมามบุคอรีและท่านอิมามมุสลิม]
และหลักฐานในเรื่องดังกล่าวนี้นั้น คือรายงานของท่านอิมามบุคอรีที่ว่า : ท่านนบีﷺได้กล่าวว่า : "ฟิตนะฮฺอยู่ตรงนี้ ฟิตนะฮฺอยู่ตรงนี้ โดยที่เขาของชัยฏอนจะขึ้นที่ตรงนี้ หรือท่านนบีกล่าวว่า ส่วนแรกที่โผล่ขึ้นมาของดวงอาทิตย์ในขณะที่มันขึ้น" และความสงสัยนั้นมาจากผู้รายงาน
ท่านอิมามอัลฮาฟิซ อิบนุหะญัร ได้กล่าวว่า :
"และส่วนคำพูดของท่านที่ว่า : "กอรนุชชัมสฺ"(قرن الشمس ส่วนแรกที่โผล่ขึ้นมาของดวงอาทิตย์ในขณะที่มันขึ้น) ท่านอัดดาวุดียฺได้กล่าวว่า : สำหรับดวงอาทิตย์นั้นมันมี"กอรนฺ"จริงๆ และเป็นไปได้ว่าเป้าหมายของคำว่า "กอรฺน"นั้นหมายถึงพลังอำนาจของชัยฏอน และสิ่งที่มันใช้เพื่อล่อลวงทำให้ผู้คนหลงผิด และการให้ความหมายแบบนี้นั้นเป็นที่แพร่หลายมากที่สุด และมีผู้กล่าวว่า แท้จริงชัยฏอนมันจะเอาหัวของมันไปอยู่คู่กับดวงอาทิตย์ในขณะที่ดวงอาทิตย์ขึ้น เพื่อที่ผู้ที่สักการะบูชาดวงอาทิตย์จะได้สุญูดต่อมัน และเป็นไปได้ว่าที่ดวงอาทิตย์มันจะมีชัยฏอนตัวหนึ่ง ซึ่งดวงอาทิตย์ก็จะขึ้นระหว่างเขาทั้งสองของมัน
ประเด็นที่ 6
แล้วหลังจากนี้ยังจะมีคำกล่าวอ้างอะไรเหลืออยู่อีกไหม สำหรับผู้ที่ยกหะดีษนี้มาอ้างเป็นหลักฐานในการตำหนิท่านเชคมุฮัมมัด อิบนุอับดิ้ลวะฮฺฮาบ رحمه الله และอ้างมันเป็นหลักฐานในการตำหนิการดะอฺวะฮฺที่เป็นการฟื้นฟูศาสนาของท่าน!!??
แล้วหลักฐานอะไรอีกเล่าที่พวกที่มีเจตนาร้ายบางคน(พวกซูฟีสุดโต่งและพวกรอฟิเฎาะฮฺ)จะใช้เป็นตัวกำหนดเป้าหมายของหะดีษของท่านนบีﷺว่าหมายถึงการตำหนิหนึ่งในอุลามาอฺที่สุดโด่งดังของบรรดามุสลิม และหนึ่งในนักดาอียฺแห่งการฟื้นฟูแก้ไขที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งในยุคหลัง และผู้ที่แบกรับภาระหน้าที่ในการเชิญชวนไปสู่เตาฮีดทั้งด้านความรู้และการปฏิบัติ และบรรดาผู้รู้ก็ได้นับว่าท่านนั้นเป็นมุญัดดิด(ผู้ฟื้นฟู)แห่งยุคนั้น!!??
แบบนี้นะหรือที่หะดีษของท่านนบีจะถูกอธิบายด้วยอารมณ์และความปราถนา !
และแบบนี้นะหรือที่หะดีษของท่านนบีﷺจะถูกบิดเบือนไปเพื่อสนองต่ออุดมการณ์ทางแนวคิดและกลุ่มก๊ก!!??
ที่มา : https://islamqa.info/ar/99569
แปลเเละเรียบเรียง / อิสลามตามแบบฉบับ
ดูน้อยลง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)