วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

เขาถามว่าทำไมวะฮบีไม่เอาทัศนะอัลกุรฏุบีย์เป็นหลักฐาน / "กุลฮุวัลลอฮุอะหัด" 11 ครั้ง

เขาถามว่าทำไมวะฮบีไม่เอาทัศนะอัลกุรฏุบีย์เป็นหลักฐาน


เขาถามว่าทำไมวะฮบีไม่เอาทัศนะอัลกุรฏุบีย์เป็นหลักฐานอ่านอัลกุรอ่านโอนบุญให้คนตาย
Matty Ibnufatim Hamady
ติดตาม · 6 กุมภาพันธ์ ·
..
ท่าน อีหม่าม อัลกุรตุบีย์ อุลามะในมัศฮับมาลีกีย์ กล่าวในตำราของท่าน ว่า ผลบุญการอ่านอัลกุรอ่าน นั่นถึงคนตาย
ทำไมวะห์ฮะบีย์ ไม่ยกหลักฐานนี้ ให้ลูกหาบได้รู้
@@@@@@
ชี้แจง
สาเหตุที่ไม่มีการนำทัศนะของอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์มาเป็นหลักฐาน เพราะมันแค่ความเห็น ที่อ้างหลักฐานหะดิษเฎาะอีฟ และหะดิษปลอม เช่น
ในหนังสือ อัตตัซกิเราะฮ เล่ม 1 หน้า 276 ระบุหะดิษที่ว่า
รายงานจากอาลี บิน อบีฏอลิบ ว่า
مَنْ مَرَّ عَلَى الْمَقَابِرِ وَقَرَأَ قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ إِحْدَى عَشْرَةَ مَرَّةً ، ثُمَّ وَهْبَ أَجْرَهُ لِلأَمْوَاتِ أُعْطِيَ مِنَ الأَجْرِ بِعَدَدِ الأَمْوَاتِ " .
ผู้ใดผ่านบรรดาสุสาน และเขาอ่าน "กุลฮุวัลลอฮุอะหัด" 11 ครั้ง หลังจากนั้น เขาอุทิศผลตอบแทนของมัน แก่บรรดาผู้ตาย เขาก็จะได้รับผลตอบแทน เท่ากับจำนวนของผู้ตาย
.........
หะดิษข้างต้นเป็นหะดิษเมาฎัวะ (หะดิษปลอม) - ดูอะหกามุลญะนาอิซ ฯ ของอัลบานีย์ หน้า 193
ใน ฟัฎลุซูเราะฮอัลอิคลาศ ของ อัลค็อลลาล หะดิษหมายเลข 53 ผู้รายงานคนหนึ่งชื่อ อับดุลลอฮ บิน อะหมัด อัฏฏออีย์ ถูกกล่าวหาว่าปลอมหะดิษ
حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ بْنِ شَاذَانَ ، ثنا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ عَامِرٍ الطَّائِيُّ ، حَدَّثَنِي أَبِي ، ثنا عَلِيُّ بْنُ مُوسَى ، عَنْ أَبِيهِ ، مُوسَى ، عَنْ أَبِيهِ ، جَعْفَرٍ ، عَنْ أَبِيهِ ، مُحَمَّدٍ ، عَنْ أَبِيهِ ، عَلِيٍّ ، عَنْ أَبِيهِ الْحُسَيْنِ ، عَنْ أَبِيهِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ ، قَالَ : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : " مَنْ مَرَّ عَلَى الْمَقَابِرِ وَقَرَأَ قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ إِحْدَى عَشْرَةَ مَرَّةً ، ثُمَّ وَهْبَ أَجْرَهُ لِلأَمْوَاتِ أُعْطِيَ مِنَ الأَجْرِ بِعَدَدِ الأَمْوَاتِ "
(1) حسين بن علي
| (2) حسين بن علي
| | (3) علي بن حسين
| | | (4) محمد بن علي
| | | | (5) جعفر بن محمد
| | | | | (6) موسى بن جعفر
| | | | | | (7) علي بن موسى
| | | | | | | (8) عبد الله بن أحمد
| | | | | | | | (9) أحمد بن إبراهيم
| | | | | | | | | (10) حسن بن محمد
| | | | | | | | | | (11) الكتاب: فضائل سورة
الإخلاص للخلال [الحكم: إسناد فيه متهم بالوضع وهو عبد الله بن أحمد الطائي]
เพราะฉะนั้น คนฉลาดคือคนที่ไม่เอาของปลอมมาเป็นหลักฐานครับคุณ Matty Ibnufatim Hamady
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
28/2/61

เอกสารอ้างอิง

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ในอิสลาม

การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ในอิสลาม
มีพี่น้องถามมาทางอินบ็อกหลายวันแล้ว ว่าทำบุญขึ้นบ้านใหม่ได้ไหม วันนี้ขอตอบดังนี้
การทำบุญขึ้นบ้านใหม่ในต่างศาสนิก มีพิธีกรรมและความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ เช่น
1.ดูฤกษ์ยาม
2.นิมนต์พระสักรูปหนึ่ง มาประพรมน้ำพระพุทธมนต์ตามห้องต่างๆ
3.อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของครอบครัว เจ้าที่ และวิญญาณที่อาศัยอยู่ในสถานนั้น
สำหรับในอิสลามนั้น ไม่มีพิธรกรรม และความเชื่อในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ไม่มีการเชิญละแบมาตะฮลิล มาซิกีร มาดุอา เพื่อขจัดภัย ไล่ผี ไล่ญิน และไม่ได้มีบทบัญญัติให้ทำการอาซานในมุมต่างๆ ทั้งสี่หรือมุมใดมุมหนึ่งของบ้านขณะที่ย้ายไปสู่ที่พักอาศัยแห่งใหม่ และ เช่นเดียวกันก็ไม่มีบัญญัติให้ทำการอ่านซูเราะฮฺใดแบบเจาะจงเลือกอ่าน เนื่องจากว่ามันไม่มีหลักฐานจากซุนนะฮฺบ่งชี้ให้กระทำสิ่งต่างๆ ดังกล่าวนี้
ท่านเชคบักรฺ อบูซัยดฺ رحمه الله ได้กล่าวว่า
ومن البدع : التخصيص بلا دليل ، بقراءة آية ، أو سورة في زمان أو مكان أو لحاجة من الحاجات ، وهكذا قصد التخصيص بلا دليل
และส่วนหนึ่งจากสิ่งอุตริกรรมทั้งหลายนั้นคือ การเจาะจงทำสิ่งหนึ่งโดยไม่มีหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านอายะฮฺหรือซูเราะฮฺใดจากอัลกุรอานในช่วงเวลาหรือสถานที่หรือเพื่อเหตุผลหนึ่งใดเหตุผลหนึ่ง การกระทำเช่นนี้แหละคือการจงใจเจาะจงโดยไม่มีหลักฐาน"-บิดอะฮกิรออะฮ/14
ชัยค์อัลเฟาซาน(หะฟิเซาะฮุลลอฮ)กล่าวว่า
لا بأس بعمل الوليمة بمناسبة النزول في بيت جديد لجمع الأصدقاء والأقارب إذا كان هذا من باب الفرح والسرور ، أما إن صاحب ذلك اعتقاد أن هذه الوليمة تدفع شر الجن ، فهذا العمل لا يجوز ؛ لأنه شرك واعتقاد فاسد ، أما إذا كان من باب العادات فلا بأس به
ไม่เป็นไรถ้าจะจัดงานเลี้ยงอาหารเนื่องในโอกาสขึ้นบ้านใหม่เพื่อเป็นการเรียกรวมตัวมิตรสหายและญาติพี่น้อง หากว่าการจัดงานเป็นในเรื่องของความปิติยินดี
ส่วนถ้าหากเจ้าของงานมีความเชื่อว่าการจัดงานเลี้ยงอาหารนี้มันจะสามารถช่วยขจัดความชั่วร้ายของญิน การกระทำเช่นนี้ไม่เป็นที่อนุญาต เพราะว่ามันเป็นชิริกและเป็นอะกีดะฮฺที่เสีย ส่วนถ้าหากจัดงานตามปกติเป็นนิจศีล(ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ) ก็ไม่เป็นไร-
-อัลมุนตะกอ มิน ฟะตาวาอัลเฟาซาน 94/16
...........
สรุปคือ
1.เลี้ยงเพื่อเพื่อเป็นการเรียกรวมตัวมิตรสหายและญาติพี่น้อง หากว่าการจัดงานเป็นในเรื่องของความปิติยินดีได้ (แต่ไม่มีพิธีกรรมใดๆเกี่ยวกับศาสนาเพราะไม่มีหลักฐาน)
2.แต่การเชื่อว่าการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ คือสามารถช่วยขจัดความชั่วร้ายของญิน การกระทำเช่นนี้ไม่เป็นที่อนุญาต เพราะว่ามันเป็นชิริก
ความจริงจะให้เกิดบะเราะกัต(ความจำเริญ)ในการอยู่บ้านใหม่ มันขึ้นอยู่กับเจ้าของบ้าน ถ้าเจ้าของบ้านไม่อิบาดะฮต่ออัลลอฮ ไม่ละหมาด ไม่อ่านอัลกุรอ่าน มิหนำซ้ำเอาของหะรอมเข้ามาในบ้าน บ้านจะเกิดความจำเริญ(บะเราะกัต)ได้อย่างไร
ท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
لا تجعلوا بيوتكم مقابر، إن الشيطان ينفر من البيت الذي تقرأ فيه سورة البقرة
“พวกท่านจงอย่าทำให้บ้านของพวกท่านเป็น(เสมือน)สุสาน แท้จริงชัยตอนจะหนีไปจากบ้านที่มีการอ่านซูเราะฮฺอัล-บะเกาะเราะฮฺ” บันทึกโดยมุสลิม
.....
หากเจ้าบ้านทำอิบาดะฮและอ่านอัลกุรอ่านเป็นประจำในบ้าน ความจำเริญหรือการเพิ่มพูดความดีและการได้รับการคุ้มครองโดยอัลลอฮ จากเพทภัย ย่อมจะเกิดขึ้น อินชาอัลลอฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
16/7/62

จะปล่อยให้ชาติที่มีแผ่นดินหะรอมถูกฉายาให้เป็นชาติเตาอิฐ อย่างนั้นหรือ

จะปล่อยให้ชาติที่มีแผ่นดินหะรอมถูกฉายาให้เป็นชาติเตาอิฐ อย่างนั้นหรือ
เกียวกับแผ่นดินแห่งนี้อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า
وَإِذْ قَالَ إِبْرَاهِيمُ رَبِّ اجْعَلْ هَٰذَا الْبَلَدَ آمِنًا وَاجْنُبْنِي وَبَنِيَّ أَن نَّعْبُدَ الْأَصْنَامَ
และจงรำลึกเมื่ออิบรอฮีมกล่าวว่า “โอ้ พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงให้เมืองนี้ (มักกะฮ) ปลอดภัยและทรงให้ข้าพระองค์และลูกหลานของข้าพระองค์พ้นจากการบูชาเจว็ด- อิบรอฮีม/35
وَإِذْ قَالَ إِبْرَاهِيمُ رَبِّ اجْعَلْ هَـَذَا بَلَدًا آمِنًا وَارْزُقْ أَهْلَهُ مِنَ الثَّمَرَاتِ مَنْ آمَنَ مِنْهُم بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ قَالَ وَمَن كَفَرَ فَأُمَتِّعُهُ قَلِيلاً ثُمَّ أَضْطَرُّهُ إِلَى عَذَابِ النَّارِ وَبِئْسَ الْمَصِيرُ
และจงรำลึกถึงขณะที่อิบรอฮีมได้วิงวอนว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์โปรดทรงให้ที่นี่เป็นเมืองที่ปลอดภัย และโปรดประทานบรรดาผลไม้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่ชาวเมืองนั้นด้วย คือผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลกจากพวกเขา พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดที่ปฏิเสธการศรัทธา ข้าจะให้เขาได้รับความสำราญชั่วเวลาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภายหลังข้าจะบีบบังคับให้เขาไปสู่การทรมานแห่งขุมนรก และเป็นจุดหมายปลายทางอันชั่วช้ายิ่ง -อัลบะเกาะเราะฮ /126
........
ประเทศที่มีนครมักกะฮ เป็นแผ่นดินหะรอมตามคำขอของท่านนบี อิบรอฮีม อะลัยฮิสสลาม และอีกแห่งคือ นครมะดีดะฮ ดังหะดิษ
ดังที่ท่านนบีได้กล่าวว่า
" المَدِينَةُ حَرَمٌ مَا بَيْنَ عَيْرٍ إِلَى ثَوْرٍ، فَمَنْ أَحْدَثَ فِيهَا حَدَثًا، أَوْ آوَى مُحْدِثًا، فَعَلَيْهِ لَعْنَةُ اللَّهِ وَالمَلاَئِكَةِ وَالنَّاسِ أَجْمَعِينَ، لاَ يُقْبَلُ مِنْهُ يَوْمَ القِيَامَةِ صَرْفٌ وَلاَ عَدْلٌ."
“ เมืองมาดีนะหฺเป็นดินแดนสงวน(เป็นเขตที่ต้องห้าม) ระหว่างภูเขาอัยรฺจนถึงผู้เขาศูรฺ ดังนั้นผู้ใดที่ได้ทำสิ่งอุตริกรรมในนั้น หรือให้ที่พักพิงแก่ผู้ทำอุตริกรรม แน่นอน เขาจะถูกสาปแช่งจากอัลลอฮ์ และมาลาอีกะหฺ และมนุษย์ทั้งปวง และพระองค์จะไม่รับการการกระทำความดีของเขาใดๆในวันกียามะหฺ “
(รายงานโดย บุคคอรีย์ / ๖๗๕๕, ๑๘๗๐)
..............
แต่น่าสลดใจ และเราเกิดมาถึงยุคนี้ได้อย่างไร ยุคที่มุสลิมบางคนอคติต่อผู้นำประเทศนี้ จนตั้งฉายาประเทศนี้ว่า "ชาติเตาอิฐ" แทนคำว่า "ชาติเตาฮีด" เพื่อตอบโต้คนยกย่องประเทศนี้ว่า เป็นชาติเตาฮีด อันเนื่องมาจากประเทศนี้มีลักษณะเด่นคือ การยืนหยัดอยู่บนเตาฮีดตามแนวทางบรรพชนยุคสะลัฟ มากกว่าประเทศมุสลิมอื่นๆในมุมมองของเขา -นะอูซุบิลละฮ
เราไม่ได้บ้าคลั่งชาตินี้ แต่เราเห็นว่าควรที่จะให้เกียรติประเทศนี้และผู้นำประเทศนี้และชาติตระกูลของเขาที่ดูแลประเทศที่มีแผ่นดินหะรอม 2 แห่ง และได้อำนวยความสะดวกแก่แขกของอัลลอฮ
ที่มาเยือนบัยตุลลอฮในประเทศนี้มายาวนาน คุณูประการมากมากหมายที่เขามีต่อมวลมุสลิม ความบกพร่องของผู้นำ ในบางเรื่องหากว่ามี ก็ไม่ควรฉายาประเทศนี้ว่า "ชาติเตาอิฐ"ด้วยประการทั้งปวง
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
17/8/60

นบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ ปฏิเสธสถานที่เกี่ยวกับอัลลอฮจริงหรือ

นบีมุหัมหมัด ศอ็ลฯ ปฏิเสธสถานที่เกี่ยวกับอัลลอฮจริงหรือ
ในหนังสือ หลักอะกีดะฮ์แนวทางสะลัฟระหว่างอัลอะชาอิเราะฮ์กับวะฮฺฮาบียะฮ์ หน้า 121
อาจารย์อารีฟีน แสงวิมาน ได้อ้างหลักฐานต่อไปนี้ ปฏิเสธสถานที่เกี่ยวกับอัลลอฮคือ
ท่านอิหม่ามอัลบัยฮะกีย์กล่าวว่า
وَاسْتَدَلَّ بَعْضُ أَصْحِابِنَا فِيْ نَفْيِ الْمَكَانِ عَنْهُ بِقَوْلِ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ (أَنْتَ الظَّاهِرُ فَلَيْسَ فَوْقَكَ شَيْءٌ وَأَنْتَ الْبَاطِنُ فَلَيْسَ دُوْنَكَ شَيْءٌ) وَإِذَا لَمْ يَكُنْ فَوْقَهُ شَيْءٌ وَلاَ دُوْنَهُ شَيْءٌ لَمْ يَكُنْ فِيْ مَكَانٍ
“ปราชญ์(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์)บางส่วนแห่งเรา ได้อ้างหลักฐานในการปฏิเสธการมีสถานที่ให้กับอัลเลาะฮ์ ด้วยคำพูดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า “โอ้อัลเลาะฮ์ พระองค์ทรงปรากฏ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือพระองค์, และพระองค์ทรงเร้นลับ ดังนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่ใต้พระองค์” เมื่อไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือพระองค์ และไม่มีสิ่งใดอยู่ใต้พระองค์ แน่นอนว่าพระองค์ไม่มีสถานที่” อัลอัสมาอฺ วัสซิฟาต หน้า 400
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ชี้แจง
คำว่า "ส่วนหนึ่งจากบรรดาสหายของเรา ที่อิหม่ามอัลบัยฮะกีย์ระบุ แสดงว่า เป็นความเห็นของปาชญ์บางส่วน ในมัซฮับชาฟิอี ส่วนคำว่า "ปราชญ์(อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์) ข้อความนี้ ท่านอาจารย์อารีฟีนวงเล็บใส่เองเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเชื่อถือ ไม่ใช่ความหมายจากตัวบทที่เป็นคำพูดอิหม่ามอัลบัยฮะกีย์แต่อย่างใด
ขอเรียนว่า คำว่า “สถานที่” หากเป็นสิ่งที่เป็นมัคลูค แน่นอนไม่มีใครเชื่อและบอกว่า อัลลอฮอาศัยมัคลูคเป็นสถานที่
อิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)อธิบายชัดเจนว่า
السلف والأئمة وسائر علماء السنة إذا قالوا " إنه فوق العرش ، وإنه في السماء فوق كل شيء " لا يقولون إن هناك شيئا يحويه ، أو يحصره ، أو يكون محلا له ، أو ظرفا ووعاء ، سبحانه وتعالى عن ذلك ، بل هو فوق كل شيء ، وهو مستغن عن كل شيء ، وكل شيء مفتقر إليه ، وهو عالٍ على كل شيء
สะลัฟ ,บรรดาอิหม่ามและ อุลามาอฺสุนนะฮอื่นๆ เมื่อพวกเขากล่าวว่า แท้จริงพระองค์ อยู่เหนืออะรัช และแท้จริงพระองค์ อยู่บนฟ้าเหนือทุกๆสิ่ง แท้จริง ณที่นี้ พวกเขา ไม่ได้กล่าว(ไม่ได้หมายถึง) สิ่งใดๆ บรรจุพระองค์เอาไว้ หรือ จำกัดพระองค์ หรือ มันเป็นสถานที่ของพระองค์ หรือ เป็นภาชนะบรรจุ ,พระองค์ทรงมหาบริสุทธิ์ และสูงส่งจากดังกล่าว แต่ทว่า พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง และ พระองค์ทรงไม่พึงพาอาศัยทุกๆสิ่ง และทุกๆสิ่งพึงพาอาศัยพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่สูงเหนือทุกๆสิ่ง – มัจญมัวะฟาตาวา 16/111-101
คำว่า “สถานที่เกี่ยวกับอัลลอฮ คือ สถานที่เบื้องสูง เหนือมัคลูค
ท่านอับดุลเกาะดีร อัลญัยลานีย์ (ฮ.ศ 470-561)นักวิชาการตะเศาวูฟ มัซฮับหัมบะลีย์ กล่าวว่า
وهو بجهة العلو مستو على العرش، محتو على الملك، محيط علمه بالأشياء، {إليه يصعد الكلم الطيب والعمل الصالح يرفعه})
และพระองค์อยู่ทิศเบื้องสูง ทรงเป็นผู้สถิตเหนือบัลลังค์ ทรงเป็นผู้มีอำนาจเหนือการปกครอง ความรู้ของพระองค์ ครอบคลุมบรรดาสรรพสิ่ง (” คำกล่าวที่ดีย่อมจะขึ้นไปสู่พระองค์ และการงานที่ดีนั้นพระองค์ทรงยกย่องสรรเสริญมัน (ฟาฏิร/10) – อัลฆุนยะฮ ลิฏอลิบีย เฏาะรีกิลหัก 1/121
ส่วนคำคำว่า
وَأَنْتَ الظَّاهِرُ فَلَيْسَ فَوْقَكَ شَيْءٌ، وَأَنْتَ الْبَاطِنُ فَلَيْسَ دُونَكَ شَيْءٌ،
ความหพระองค์คือผู้โดดเด่นซึ่งไม่มีสิ่งใดเหนือกว่าพระองค์ และพระองค์คือผู้ซ่อนเร้นซึ่งไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากพระองค์
มาดูคำอธิบาย ของปราชญสะลัฟ คือ อิบนุญะรีร ในอายะฮที่ว่า
هُوَ الْأَوَّلُ وَالْآخِرُ وَالظَّاهِرُ وَالْبَاطِنُ ۖ وَهُوَ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمٌ ( 3 )
พระองค์ทรงเป็นองค์แรกและองค์สุดท้าย และทรงเปิดเผยและทรงเร้นลับ และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ท่านอิหม่ามอิบนุญะรีร อธิบายว่า
وَقَوْلُهُ : ( وَالظَّاهِرُ ) يَقُولُ : وَهُوَ الظَّاهِرُ عَلَى كُلِّ شَيْءٍ دُونَهُ ، وَهُوَ الْعَالِي فَوْقَ كُلِّ شَيْءٍ ، فَلَا شَيْءَ أَعْلَى مِنْهُ
และคำตรัสของพระองค์ที่ว่า (และผู้ทรงเปิดเผย) หมายถึง พระองค์คือผู้ทรงเปิดเผย บททุกสิ่งอื่นจากพระองค์ และพระองค์ทรงอยู่สูงเหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใด สูงกว่าพระองค์ – ดูตัฟสีร อัฏฏอบรีย์ 23/170 ซูเราะฮอัลหะดิด อายะฮที่ 3
มาดู หะดิษที่ระบุในเศาะเฮียะบุคอรี หมายเลข ๖๙๘๖ เรื่อง อิสรออฺ เมียะรอจญ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า
فَالْتَفَتَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم إِلَى جِبْرِيلَ كَأَنَّهُ يَسْتَشِيرُهُ فِي ذَلِكَ، فَأَشَارَ إِلَيْهِ جِبْرِيلُ أَنْ نَعَمْ إِنْ شِئْتَ. فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا، فَإِنَّ أُمَّتِي لاَ تَسْتَطِيعُ هَذَا. فَوَضَعَ عَنْهُ عَشْرَ صَلَوَاتٍ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مُوسَى فَاحْتَبَسَهُ، فَلَمْ يَزَلْ يُرَدِّدُهُ مُوسَى إِلَى رَبِّهِ حَتَّى صَارَتْ إِلَى خَمْسِ صَلَوَاتٍ
’ ดังนั้น นบี ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ ไปพบพบญิบรีล เพื่อขอคำชี้แนะต่อเขาในเรื่องดังกล่าวนั้น แล้ว ญิบรีลได้ชี้แนะแก่ท่านนบี ว่า เชิญ ครับ หากท่านต้องการ แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา เพราะแท้จริง อุมมะฮของข้าพระองค์ ไม่สามารถปฏิบัติแบบนี้ได้(หมายละหมาด ๕๐ เวลา) แล้วพระองค์ได้ลดย่อน จากมัน ให้เหลือ สิบเวลา หลังจากนั้น นบีก็ได้กลับไปยังมูซา แล้ว มูซา ได้กับตัวนบีเอาไว้ และมูซาได้ให้นบีกลับไป ยังพระผู้อภิบาลอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้ง ละหมาด กลายเป็น(หมายถึงถูกกำหนดให้เป็น)ห้าเวลา....
..........................
จากหะดิษข้างต้น เป็นการยืนยันการอยู่ ณ สถานที่เบื้องสูงของอัลลอฮ อย่างชัดเจน และ ญิบรีล นำท่านนบี ศอ็ลฯ ขึ้นไปยังพระองค์ โดยเฉพาะประโยคที่ว่า
فَعَلاَ بِهِ إِلَى الْجَبَّارِ فَقَالَ وَهْوَ مَكَانَهُ يَا رَبِّ خَفِّفْ عَنَّا،
แล้ว เขา(ญิบรีล)ได้นำท่านนบีขึ้นไปยัง พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง อนุภาพ แล้วนบี ได้กล่าว โดยที่พระองค์(พระเจ้าผู้ทรงอนุภาพ)อยู่สถานที่ของพระองค์ ว่า “โอ้พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์ ,ได้โปรดลดย่อนจากเรา
_________________
จากรายละเอียดข้างต้น แสดงว่ามีคนบางคนได้พยายามเอาคำพูดของอุลามาอฺ และหะดิษ มาใส่ความเห็นและความเข้าใจของตนเพื่อปฏิเสธการอยู่เบื้องสูงของอัลลอฮ -วัลอิยาซุบิลละฮ
والله أعلم بالصواب

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

อิบนุ ตัยมียะห์ มาจาก อะห์ลุซซุนนะฮ์ วัลญามาอะห์ หรือไม่?

อิบนุ ตัยมียะห์ มาจาก อะห์ลุซซุนนะฮ์ วัลญามาอะห์ หรือไม่?
คำถาม
คนบางคนกล่าวว่า: จริงๆแล้ว อิบนุ ตัยมียะห์ ไม่ได้มาจาก อะห์ลุซซุนนะฮ์ วัล ญามาอะห์,และเขาหลงผิด และทำให้คนอื่นหลงผิด - และบนสิ่งนี้(ความเห็น)มาจากอิบนุ ฮาญาร์ และคนอื่นๆนอกจากเขา. คำกล่าวของพวกเขาถูกต้องหรือไม่? ตอบ:
โดยแท้จริง อัช ชัยค์ อะหมัด อิบนุ อับดิล ฮาลีม อิบนุ ตัยมียะห์ เป็นอิหม่ามคนหนึ่งจาก บรรดาอิหม่ามของ อะห์ลุซซุนนะฮ์ วัล ญามาอะห์. เขาเรียกร้องผู้คนสู่สัจธรรมและสู่เส้นทางที่เที่ยงตรง.
อัลลอฮ์ได้ให้ความช่วยเหลือซุนนะฮ์ผ่านเขาและเอาชนะประชาชนของอุตริกรรมและความเบี่ยงเบนผ่านเขา. และใครที่ตัดสินผ่านบนสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ของเขา เป็นนักอุตริกรรม,หลงผิด,และทำให้คนอื่นหลงผิด. แน่นอนพวกเขาตาบอดด้วยความเข้าใจผิด,ดังนั้นพวกเขาได้ตัดสินความจริงเป็นความเท็จและความเท็จเป็นความจริง.
บุคคลหนึ่งจะรู้สิ่งนี้ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ของเขาถูกฉายแสงโดยอัลลอฮ์และใครอ่านหนังสือของเขาและหนังสือของผู้ต่อต้านของเขา,และที่ได้เปรียบเทียบเรื่องราวในชีวิตของเขากับเรื่องราวในชีวิตของพวกเขา.
และนี่เป็นประจักษ์พยานและข้อแตกต่างที่ดีที่สุดระหว่างสองกลุ่ม.
และอัลลอฮ์เป็นเตาฟีก. และขออัลลอฮ์ทรงประทานศานติและพรแด่ท่านนบีมุฮัมมัดของเราและครอบครัวของเขาและบรรดาซอฮาบะฮ์ของเขา.
คณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยและให้คำชี้ขาดโดย
Shaykh `Abdul-`Azeez Bin Baz
Shaykh `Abdullah bin Ghudayaan
Shaykh `Abdullaah bin Qu`ood
Shaykh `Abdur-Razzaaq al-`Afeefee
คำถามหมายเลข 1 จากฟัตวา 9027 P253 ชุดที่ 2
ฟัตตาวาของคณะกรรมการถาวร แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย Abu Abdir Rahmaan Nasser ibn Najam
แปลโดย Firdaus Msd

จุดยืนต่อพวกบิดอะฮ์ / เชค ศอและฮฺ อิบนุ เฟาซาน อัลเฟาซาน ฮะฟิศ่อฮุ้ลลอฮฺ

จุดยืนต่อพวกบิดอะฮ์
เชค ศอและฮฺ อิบนุ เฟาซาน อัลเฟาซาน ฮะฟิศ่อฮุ้ลลอฮฺ
คำถาม:
อะไรคือฮุก่มของคนที่ยกย่องและให้เกียรติพวกอุตริ (أهل البدع) และกล่าวสรรเสริญพวกเขาว่า พวกเขานี้เป็นพวกที่น้อมนำเอาบทบัญญัติและคำตัดสินของอิสลามมาใช้ปฏิบัติจริงเป็นรูปธรรม ทั้งๆที่คนๆนี้เอง ก็รู้จักประเด็นการอุตริของคนกลุ่มดังกล่าวดี
อีกทั้งในบางครั้งบางโอกาสที่เขาคนนี้ได้พูดถึงคนกลุ่มนั้นในการบรรยายและการเรียนการสอนทั่วๆไปเขาก็จะบอกว่า : แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ต้องพยายามระวังบางประเด็นและบางเรื่องบางราวที่มีอยู่ที่พวกบิดอะฮฺพวกนี้
หรือไม่เขาก็จะพูดว่า : ทั้งนี้โดยไม่ได้จับจ้องไปที่ประเด็นที่เป็นเรื่องที่พวกบิดอะฮฺ
ซึ่งพวกบิดอะฮฺเป็นกลุ่มคนที่คนที่เป็นเจ้าของคำพูดนี้ โดยให้เกียรติกล่าวยกย่องและออกมาให้การปกป้องอยู่ ทั้งด้วยการพูดและการเขียน ซึ่งในนั้นก็มีการบันทึกข้อความที่เป็นการจาบจ้วงต่ออั้ซซุนนะฮฺ มีการบันทึกข้อความที่เป็นการกล่าวหาว่าบรรดาศ่อฮาบะฮฺนั้นอวิชาและมีการบันทึกข้อความที่มีการกระทบกระแทกและเสียดเสียท่านนบี ﷺ เอาไว้ด้วย
อยากทราบว่าอะไรคือฮุก่มของคนๆนี้ที่เป็นเจ้าของคำพูดนี้ครับ? และไม่ทราบว่าจะต้องมีการออกมาเตือนให้ระวังคำพูดพวกนี้ของเขาด้วยหรือไม่ครับ?
คำตอบ:
ไม่อนุญาตให้มีการเชิดชูและกล่าวชมเชยพวกที่อุตริ (المبتدعة) ถึงแม้ว่าที่พวกเขาจะมีอะไรที่เป็นสัจธรรมอยู่ด้วยบ้างก็ตาม เพราะการกล่าวชมเชยและยกย่องจะทำให้ความอุตริของคนพวกนั้นแพร่กระจายไปได้มากขึ้น อีกทั้งยังจะทำให้พวกอุตริพวกในสายตาของพวกเขาด้วยกันเอง กลายเป็นบุคคลสำคัญของอุมมะฮฺนี้ขึ้นมาเลยทีเดียว
บรรดาสลัฟได้เตือนพวกเราไม่ให้ไว้ใจพวกอุตริ (المبتدعة) ไม่ให้ไปชมเชยและไม่ให้ไปนั่งร่วมกัน
ในข้อความหนึ่งที่ท่าน อะซัด อิบนุ มูซา ได้เขียนเอาไว้ได้ระบุว่า “คุณจงระวัง อย่าได้ให้มีพวกอุตริมาเป็นพี่เป็นน้องของคุณ หรือเป็นผู้ที่นั่งร่วมอยู่กับคุณ หรือเป็นสหายของคุณเป็นอันขาด" เพราะข้อมูลในอตีดข้อมูลหนึ่งได้ระบุไว้ว่า
" من جالس صاحب بدعة، نُزعت منه العصمة، ووكل إلى نفسه، ومن مشى إلى صاحب بدعة، مشى إلى هدم الإسلام"[1]
“ใครที่นั่งร่วมกับพวกบิดอะฮฺ การปกปักคุ้มครองจะถูกถอนออกมาจากเขา และเขาก็จะถูกฝากไว้กับตัวของเขาเอง และใครที่ออกเดินก้าวย่างไปหาพวกบิดอะฮฺ ก็เท่ากับว่าเขาได้ย่างก้าวออกเดินเข้าสู่การทำลายล้างอัลอิสลามเสียแล้วนั่นเอง”
พวกบิดอะฮฺนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการเตือนให้ระวังพวกเขาเอาไว้และจำเป็นที่จะต้องออกห่างไว้ด้วย ถึงแม้ว่าจะมีอะไรที่เป็นสัจธรรมอยู่ด้วยบ้างก็ตาม เพราะส่วนใหญ่ของพวกที่หลงทางก็ล้วนมีอะไรที่เป็นสัจธรรมอยู่กับตัวบ้างด้วยกันทั้งนั้น แต่ในเมื่อตราบใดที่พวกเขายังมีเรื่องที่เป็นการอุตริบิดเบือน/ต่อเติมศาสนาอยู่ ตราบใดที่พวกเขายังมีการสวนทางอยู่ และตราบใดที่พวกเขายังมีชุดความคิดที่ไม่ดีๆอยู่ ก็ไม่อนุญาติให้ไปสรรเสริญและชมเชยพวกเขา และไม่อนุญาตให้ทำเป็นมองไม่เห็นการอุตริของพวกเขาด้วย เพราะพฤติกรรมแบบนี้ถือเป็นการส่งเสริมให้เรื่องอุตริบิดอะฮฺ สามารถแพร่กระจายและขยายตัวออกไปได้และยังเท่ากับเป็นการดูแคลนต่อเรื่องราวที่เป็นซุนนะฮฺอีกด้วย
ด้วยกับพฤติกรรมเช่นนี้นี่เองที่จะส่งผลทำให้พวกอุตริกลายเป็นพวกที่มีความโดดเด่นขึ้นมา และกลายมาเป็นแนวหน้าของอุมมะฮฺในที่สุด -ขออัลลอฮฺโปรดอย่าให้มันเป็นอย่างนั้นเลย- ดังนั้นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องเตือนให้มีการระวังเอาไว้
จริงๆแล้วในตัวของบรรดาบุคคลชั้นนำของอุมมะฮฺ พวกท่านต่างปราศจากการก่อการอุตริบิดเบือนที่ต่างก็มีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ก็ถือว่า เป็นการพอเพียงแก่อุมมะฮฺอยู่แล้ว -วะลิ้ลลาฮิ้ลฮัมดฺ- ซึ่งพวกท่านเหล่านี้เป็นบรรดาบุคคลต้นแบบ
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำการดำเนินตามบุคคลที่เที่ยงตรงอยู่บนแนวทางอัซซุนนะฮฺ ที่ปลอดและปราศจากประเด็นที่เป็นบิดอะฮฺ ส่วนสำหรับคนที่เป็นพวกอุตริบิดอะฮฺนั้น ก็เป็นหน้าที่เราจะต้องมีการเตือนให้ระแวดระวังเอาไว้ และจะต้องกล่าวปรามกลุ่มคนนั้นด้วย และเพื่อให้ตัวของเขาและคนที่คล้อยตามเขาได้รู้สึกถึงความผิดพลาด
สำหรับกรณี ของการที่พวกเขาเองก็มีสัจธรรมอยู่ด้วยบ้างนั้น เรื่องนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะอนุโลมให้มีการกล่าวชมเชยพวกเขาเกินกว่าผลประโยชน์ที่มีได้แต่อย่างใด ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่ามีกฏเกณฑ์หนึ่งของศาสนา ที่ได้กำหนดไว้ว่า
" إن درء المفاسد مقدم على جلب المصالح"[2]
“การปิดกั้นเรื่องที่เป็นผลเสีย ย่อมต้องมาก่อนการแสวงหาเรื่องที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ขึ้นเสมอ”
ในการเป็นปฏิปักษ์กับพวกบิดอะฮฺนั้น ถือได้ว่าเป็นการปิดกั้นเรื่องที่เป็นความเสียหายมิให้มาประสบกับอุมมะฮฺ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีน้ำหนักมากกว่าสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ที่มีอยู่ ตามที่ได้มีการแอบอ้างกันเอาไว้ ถ้าหากมันเป็นเช่นนั้นจริง และถ้าหากว่าเราไปยึดถือตามแนวคิด(หมายถึงความคิดที่ว่า พวกบิดอะฮฺก็มีดีเหมือนกัน พูดถึงเรื่องๆดีๆของเขาบ้าง เก็บของดีๆของเขาไว้บ้างก็ได้ -ผู้แปล-) ก็คงจะไม่สามารถไปตัดสินใครแม้แต่คนเดียวได้เลยว่า หลงหรือเป็นบิดอะฮฺ เพราะคนที่เป็นบิดอะฮฺทุกคนก็ล้วนมีเรื่องที่ถูกอยู่บ้าง และมีการเคร่งครัดจริงจังกับศาสนาอยู่บ้าง
คนที่เป็นบิดอะฮฺไม่ได้เป็นกาเฟร และไม่ได้เป็นคนที่ขัดแย้งกับบทบัญญัติทุกๆข้อแต่อย่างใด แต่เขาเป็นคนที่เป็นพวกบิดอะฮฺก่อการอุตริในแค่บางประเด็น หรือในหลายๆประเด็นส่วนใหญ่เท่านั้นเอง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าในกรณีที่มีการอุตริในเรื่องของอะกีดะฮฺ (หลักศรัทธา) และ มันฮัจ (แนวทางในการดำเนินศาสนา) อันนี้ก็ยิ่งเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะคนๆนี้จะกลายมาเป็นคนที่เป็นแนวหน้าและเป็นแบบอย่าง และเมื่อถึงตอนนั้น การอุตริก็จะแพร่กระจายออกไปท่ามกลางอุมมะฮฺ แล้วเขาผู้นี้ก็จะเข้ามากระตุ้นให้พวกบิดอะฮฺกระทำการแพร่กระจายเรื่องอุตริให้ขยายวงกว้างออกไปในที่สุด
จากที่กล่าวมานี้ จึงสรุปได้ว่า คนที่ไปชมเชยพวกบิดอะฮฺ และทำให้ผู้คนรู้สึกคลุมเครือ ด้วยการพูดถึงสัจธรรมที่คนพวกนั้นพอจะมีอยู่บ้างนั้น บุคคลๆนี้หนีไม่พ้นสองกรณี คือ ถ้าเขาไม่เป็น
(1) คนที่ไม่มีความรู้เรื่องแนวทางของสลัฟและท่าทีของพวกท่านต่อพวกอุตริ ซึ่งในกรณีของคนที่โง่เขลาไม่รู้เรื่องเช่นนี้ ไม่อนุญาตให้เขาออกมาพูด และไม่อนุญาตให้บรรดามุสลิมไปฟังเขาด้วย
(2) คนที่มีนัยซ้อนเร้นแอบแฝงอยู่ เพราะเขาเองก็รู้ถึงอันตรายของบิดอะฮฺและรู้จักอันตรายของพวกที่เป็นบิดอะฮฺอุตริต่อเติมศาสนาอยู่แก่ใจ แต่ว่าเขาเป็นคนที่มีนัยซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ นั่นคือ เขาเองต้องการที่จะทำให้เรื่องบิดอะฮฺมันกระจายตัวออกไปให้ได้นั่นเอง
อย่างไรก็แล้วแต่ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่อันตรายทั้งสิ้น และถือเป็นเรื่องที่ไม่อนุญาตที่จะทำเป็นเบาความกับเรื่องบิดอะฮฺ และพวกที่เป็นบิดอะฮฺก่อการอุตริบิดเบือนศาสนาเป็นอันขาด ไม่ว่าจะในกรณีใดๆ ก็ตาม
อาบีดีณ โยธาสมุทร แปลและเรียบเรียง

109229: มันดีกว่าสำหรับเขาในการไปทำฮัจญ์ในนามของพ่อแม่ของเขา หรือให้เงินช่วยเหลือสร้างมัสยิด

109229: มันดีกว่าสำหรับเขาในการไปทำฮัจญ์ในนามของพ่อแม่ของเขา หรือให้เงินช่วยเหลือสร้างมัสยิด
วันที่ลงเผยแพร่ : 14-07-2019
คำถาม
ฉันได้ประกอบพิธีฮัจญ์ภาคบังคับแล้ว,มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.ฉันต้องการทำฮัจญ์ในนามพ่อของฉัน,แต่เรามีมัสยิดหนึ่งหลังที่ต้องสร้างให้เสร็จ. มันดีกว่าสำหรับฉันในการไปทำฮัจญ์ในนามของพ่อของฉันหรือให้เงินช่วยเหลือสร้างมัสยิด?
ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์.
หากมีความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างหรือบูรณะมัสยิด,เมื่อนั้นเขาควรบริจาคค่าใช้จ่ายของฮัจย์(ดังกล่าวนั้น)ให้กับ(การสร้างหรือบูรณะ)อาคารของมัสยิด,เพราะประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่และต่อเนื่องของการทำเช่นนั้น,และเพราะจะช่วยให้พี่น้องมุสลิมได้ละหมาดญามาอะห์(ละหมาดหมู่).
แต่หากว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำฮัจย์ภาคสมัครใจไปกับการบูรณะมัสยิด,เนื่องจากคนอื่นๆก็ยังมีที่สามารถให้เงินช่วยเหลือในการบูรณะ(มัสยิด),เมื่อนั้นไปทำฮัจญ์ภาคสมัครใจในนามของพ่อแม่ของเขา,ไม่ว่าจะเป็นตัวเอง(คือตัวเขาเองไปทำฮัจญ์ในนามของพ่อหรือแม่ของเขา)หรือผ่านตัวแทนที่น่าเชื่อถือ(หมายถึงให้คนอื่นไปทำในนามของพ่อหรือแม่ของเขา),คือดีกว่า,อินชาอัลลอฮ์,แต่มันไม่สามารถถูกกระทำในนามของทั้งสองของพวกเขา(ทำฮัจญ์ในนามทั้งพ่อและแม่ในคราวเดียวกัน)ในฮัจญ์หนึ่งๆ; ที่เขาควรกระทำฮัจญ์ในนามของแต่ละคนของพวกเขาต่างหากแยกกัน(อาจทำเพื่อพ่อปีนี้และเพื่อแม่ปีหน้า เป็นต้น).จบอ้าง.
فضيلة الشيخ عبد العزيز بن باز رحمه الله .
"مجموع فتاوى ابن باز" (16/372) .
Source: Islam Q&A

ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ

ชุดที่ 1 (ตอนที่ 1-5)
(ตอนที่ 1) ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
คุณลักษณะของอัลลอฮ์เป็นจริงหรืออุปมาอุปไมย?
อีกหนึ่งในหลักฐานจากสะลัฟ
ที่ยืนยันว่าคุณลักษณะของอัลลอฮ์เป็นความจริงไม่ใช่อุปมาอุปไมย
แต่มีมุสลิมจำนวนมากที่ออกมาคัดค้าน
ไม่ทราบว่าเพราะ
صفات الله حقيقيّة أم غير حقيقية؟
إعداد: أم عبد الله الميساوي
لـ« موقع عقيدة السلف الصالح »
مقدمة:
إن معرفة الله عز وجل هي أهم وأجلّ العلوم، ومعرفته سبحانه تكون بمعرفة أسمائه الحسنى وصفاته العلى، وهي تُستمد من نصوص الوحي: القرآن والسنة، فلا يُوصف الله عز وجل إلا بما وصف به نفسه في كتابه العزيز أو على لسان رسوله صلى الله عليه وسلم. ومن تدبر هذه النصوص العظيمة وجدها واضحة وجليّة في دلالتها على صفاته العليا. ورغم وضوحها فقد وقع من بعض المنتسبين للإسلام تحريفٌ لمعاني هذه النصوص، فنَفوا عنها حقيقتها تذرعًا بالمجاز، ظنّا منهم أنه الحق. والسبب في ذلك هو أنهم جعلوا عقولهم حَكَمًا فيها دون نصوص الوحي، فاعتقدوا أن إثبات تلك الصفات حقيقةً لله يقتضي التشبيه، وهو ليس كذلك، فكما قال الحافظنُعيم بن حماد (ت. 228 هـ) : «ليس ما وصف الله به نفسه ورسوله تشبيه»(1)، فالتشبيه يكون باعتقاد أن صفات الله كصفات المخلوقين، قال الإمام إسحاق بن راهويه (ت. 238 هـ) : «إنما يكون التشبيه إذا قال: يد كيد أو مثل يد، أو سمع كسمع أو مثل سمع. فإذا قال سمع كسمع أو مثل سمع، فهذا التشبيه؛ أما إذا قال كما قال الله تعالى: يد وسمع وبصر، ولا يقول: كيفَ؟ ولا يقول: مثلَ سمع، ولا كسمع، فهذا لا يكون تشبيها، وهو كما قال الله تعالى في كتابه: {لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ} [الشورى : 11]»(2). فلو أن هؤلاء القوم تأملوا وتدبروا آيات الله وأحاديث رسوله صلى الله عليه وسلم حق التدبر ودرسوا آثار السلف الصالح في هذه النصوص، لما صرفوها عن حقائقها بأنواع المجازات؛ لأنها بينة في دلالتها، لا تقتضي تشبيها ولا معاني باطلة.
ودلالة النصوص على حقيقة صفات الله عز وجل تكون أحيانًا مُستفادةً من سياق الآية أو الحديث، وأحيانًا من فِعل النبي صلى الله عليه وسلم نفسه، وأحيانًا أخرى من غير ذلك مما سنُبَيّنُه في هذا المقال إن شاء الله تعالى.
1) شرح أصول اعتقاد أهل السنة للالكائي (ج3 ص532) من طريق ابن أبي حاتم الذي رواه في "الرد على الجهمية" عن عبد الله بن محمد بن الفضل الصيداوي [وهو صدوق (الجرح والتعديل لابن أبي حاتم 5/163)] عن نعيم بن حماد. سير أعلام النبلاء للذهبي (ج10 ص610) بسندٍ آخر؛ تاريخ مدينة دمشق لابن عساكر (ج62 ص163) بسنده.
(2) رواه عنه تلميذه أبو عيسى الترمذي في سننه: سنن الترمذي (ج2 ص42).
ข้อมูลโดย อุม อับดุลลอฮ์ อัล-มิซาวี
บทนำ
การรู้จักอัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจและผู้ทรงเกรียงไกรเป็นกรอบของความรู้ที่สำคัญยิ่งและประเสริฐยิ่ง.
การรู้จักพระองค์ ผู้ทรงรุ่งโรจน์ โดยการรู้จักพระนามที่สวยงามและคุณลักษณะที่ดีเลิศของพระองค์,ซึ่งได้รับจากตัวบทและการเปิดเผยโองการ: กุรอานและซุนนะห์; ดังนั้น อัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจและผู้ทรงเกรียงไกรจะไม่ถูกพรรณนายกเว้นกับสิ่งที่พระองค์ได้พรรณนาพระองค์เองในคัมภีร์ของพระองค์(กุรอาน)หรือผ่านลิ้นของรอซูลุลลอฮ์ﷺ. ใครก็ตามที่ไตร่ตรองบนตัวบทที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้จะพบว่าพวกมันแจ่มแจ้งและชัดเจนในความหมายของพวกมันของคุณลักษณะดีเลิศของพระองค์.
ถึงแม้ว่าความชัดเจนของพวกมัน, ประชาชนบางส่วนของผู้ที่อ้างตนเป็นอิสลามได้ทำการบิดเบือนความหมายของตัวบทเหล่านี้,ด้วยเหตุนั้นจึงปฏิเสธความเป็นจริงของพวกมันและอ้างว่าพวกมันเป็นรูปเป็นร่าง,คิดว่ามันเป็นความจริง.เหตุผลสำหรับเรื่องนั้นพวกเขาได้ใช้สติปัญญาของพวกเขาตัดสินและไม่ใช่ตามตัวบทของการเปิดเผยโองการ; เพราะฉะนั้นพวกเขาเชื่อว่าการยืนยันคุณลักษณะเหล่านั้นที่เป็นจริงสำหรับอัลลอฮ์จำเป็นที่ต้องตัชบีฮฺ[การทำให้อัลลอฮ์เหมือนสิ่งถูกสร้างของพระองค์],ในขณะที่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น.
อัล-ฮาฟิซ นุอัยมฺ บิน ฮัมมาด(เสีย ฮ.ศ 228) ได้กล่าวว่า: <<ไม่มีการตัชบีฮฺในสิ่งที่อัลลอฮ์ได้พรรณนาตัวพระองค์เอง,และพรรณนาโดยท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ.>>
ตัชบีฮฺเกิดขึ้นเมื่อคนหนึ่งเชื่อหรือกล่าวว่าคุณลักษณะของอัลลอฮ์เหมือนคุณลักษณะของสิ่งถูกสร้างของพระองค์.
อีมาม อิสฮาค บิน รอฮ์วียะห์(เสีย ฮ.ศ 238) ได้กล่าวว่า: <<ตัชบีฮฺเกิดขึ้นเมื่อคนหนึ่งกล่าวว่า พระหัตถ์(ของอัลลอฮ์) เหมือนมือ(ของคนหนึ่งหรือสิ่งหนึ่ง)หรือคล้ายคลึงมือหนึ่ง; หรือการได้ยิน(ของพระองค์)เหมือนการได้ยิน(ของคนหนึ่งหรือสิ่งหนึ่ง)หรือคล้ายการได้ยินหนึ่ง.ดังนั้น ถ้าคนหนึ่งพูดว่า การได้ยิน(ของอัลลอฮ์)เป็นเหมือนการได้ยินหนึ่งหรือคล้ายคลึงการได้ยินหนึ่ง,นี่คือการทำให้อัลลอฮ์เหมือนกับสิ่งถูกสร้างของพระองค์[ตัชบีฮฺ].อย่างไรก็ตาม,ถ้าหากคนหนึ่งพูดตามที่อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งได้ตรัส:พระหัตถ์[ยัด],การได้ยิน[สามิอฺ)และการมองเห็น[บาศาร],และไม่พูดว่า"เป็นอย่างไร",ไม่พูดว่า: เหมือนการได้ยินหนึ่งหรือคล้ายการได้ยินหนึ่ง,
เช่นนี้จะไม่ถือว่าเป็นการตัชบีฮฺ,และมันเป็นไปตามที่อัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งได้ตรัสในคัมภีร์ของพระองค์:{ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์,และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน,ผู้ทรงมองเห็น.}[42:11].>>(3)
หากว่าคนเหล่านี้ได้สะท้อนและไตร่ตรองโองการของอัลลอฮ์และฮาดิษของท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ตามวิธีที่ควรได้รับการพิเคราะห์และศึกษาจากรายงานของสะลัฟฟุซซอและห์ที่เกี่ยวกับตัวบทเหล่านี้,พวกเขาจะไม่เปลี่ยนแปลงมันไปจากความหมายที่รัดกุม(ชัดเจน)(หมายถึง ซอเฮร์)ไปสู่รูปแบบที่หลากหลายของการอุปมาอุปไมย/ความหมายเชิงเปรียบเทียบ; เพราะพวกมัน(คุณลักษณะ)มีความชัดเจนในความหมายของพวกมัน,และไม่จำเป็นที่จะต้องตัชบีฮฺ,รวมทั้งการให้ความหมายที่ผิดพลาด.
ข้อบ่งชี้ของตัวบทเกี่ยวกับสภาพที่เป็นจริงของคุณลักษณะของอัลลอฮ์บางครั้งโดยการผ่านบริบทของโองการหนึ่งหรือฮาดิษหนึ่ง บางครั้งจากการแสดงท่าทางของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ เอง,บางครั้งก็ด้วยวิธีอื่นๆตามที่เราจะอธิบายในหัวข้อนี้, หากอัลลอฮ์ทรงประสงค์.
แหล่งอ้างอิง
(1) “ชาเราะห์อุศูล อิติก๊อด อะห์ลุซซุนนะห์" โดย อัล-ลาลีกาอี(3/532). ถูกรายงานเช่นกันใน "ซียาร อะลาม อัน-นุบาละ"โดย อัซซาฮาบี(10/610) ด้วยอีกอิสนัด(สายรายงาน); และใน "ตารีฆ มาดีนะห์ ดีมาสค์" โดย อิบนุ อาสากีร(62/163) ด้วยสายรายงานของเขา.
(2) จากนักวิชาการปวงปราชญ์อุลามาอฺของสะลัฟฟุซซอและห์ผู้ที่เห็นสอดคล้องกันในเรื่องนี้. ดูประวัติของเขาที่นี่
http://as-salaf.com/article.php?aid=70&lang=ar
(3) ลูกศิษย์ของเขา อาบู อีซา อัต-ตีรมีซี ได้รายงานสิ่งนี้จากเขาในสุนันของเขา,สุนัน อัต-ตีรมีซี(2/42)
Firdaus Msd แปล
++++++
(ตอนที่ 2) ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
دلالة نصوص الكتاب والسنة على أن صفات الله حقيقية:
- القرآن الكريم:
2. قال الله تعالى: {وَاتَّخَذَ اللَّهُ إِبْرَاهِيمَ خَلِيلا} [النساء : 125]
تفسير هذه الآية في سنة النبي صلى الله عليه وسلم، والسنة مبينة للقرآن، قال النبي صلى الله عليه وسلم:
”إِنِّى أَبْرَأُ إِلَى اللَّهِ أَنْ يَكُونَ لِى مِنْكُمْ خَلِيلٌ فَإِنَّ اللَّهَ تَعَالَى قَدِ اتَّخَذَنِى خَلِيلاً كَمَا اتَّخَذَ إِبْرَاهِيمَ خَلِيلاً وَلَوْ كُنْتُ مُتَّخِذًا مِنْ أُمَّتِى خَلِيلاً لاَتَّخَذْتُ أَبَا بَكْرٍ خَلِيلاً“[صحيح مسلم].
وقال صلى الله عليه وسلم: ”أَلاَ إِنِّى أَبْرَأُ إِلَى كُلِّ خِلٍّ مِنْ خِلِّهِ وَلَوْ كُنْتُ مُتَّخِذًا خَلِيلاً لاَتَّخَذْتُ أَبَا بَكْرٍ خَلِيلاً إِنَّ صَاحِبَكُمْ(4) خَلِيلُ اللَّهِ“ [صحيح مسلم]
وفي لفظ: ”ألا إني أبرأ إلى كل خليل من خُلّته“(5).
والخليل من "الخُلّة" – بضم الخاء كما في الرواية الثالثة-، وهي غاية المحبة وخالصها وأتمها. قالالزجّاج (311هـ): «الخليل: المُحب الذي ليس في محبته خلل»(6).
وقال ابن كثير (ت. 774هـ): «والخُلّة: هي غاية المحبة ... وهكذا نال هذه المنزلة خاتم الأنبياء وسيُد الرسل محمد، صلوات الله وسلامه عليه كما ثبت في الصحيحين وغيرهما»(7).
والدليل على أن خُلّة الله لإبراهيم عليه السلام ونبينا محمد صلى الله عليه وسلم حقيقية، هو أن النبي صلى الله عليه وسلم امتنع عن اتخاذ أبي بكر رضي الله عنه خليلا لأجل أنه خليل الله، ولو لم تكن خُلة الله لنبيه حقيقية لما كان هناك مانع في اتخاذ النبي صلى الله عليه وسلم أبا بكر خليلا.
(4) قال وكيع: يعني نفسه. (سنن ابن ماجه 1/70) طبعة دار الرسالة.
(5) سنن ابن ماجه رقم 93 (ج1 ص70) - دار الرسالة العالمية؛ قال شعيب الأرنؤوط: إسناده صحيح. وأخرجه ابن عساكر في معجم الشيوخ وقال: حديث صحيح (ج1 ص61-62) تحقيق الدكتورة وفاء تقي الدين – دار البشائر – الطبعة الأولى؛ ورواه الإمام أحمد في مسنده (ج6 ص55=56) طبعة مؤسسة الرسالة.
(6) معاني القرآن وإعرابه لأبي إسحاق الزجاج (ج2 ص112)
(7) البداية والنهاية لابن كثير (ج1 ص390) تحقيق: عبد الله التركي، دار هجر.
การบ่งชี้จากกุรอานและซุนนะห์ของคุณลักษณะของอัลลอฮ์เป็นจริงทางภาษา(หมายถึงความหมายซอเฮร์ชัดเจนไม่คลุมเครือ)
อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งได้ตรัส:
ในสูเราะฮฺ อัน-นิสาอ์ โองการที่ 125
وَمَنْ أَحْسَنُ دِينًا مِّمَّنْ أَسْلَمَ وَجْهَهُ لِلَّهِ وَهُوَ مُحْسِنٌ وَاتَّبَعَ مِلَّةَ إِبْرَاهِيمَ حَنِيفًا وَاتَّخَذَ اللَّهُ إِبْرَاهِيمَ خَلِيلًا ( 125 )
{และผู้ใดเล่าจะมีศาสนา ดียิ่งไปกว่าผู้ที่มอบใบหน้าของเขาให้แก่อัลลอฮฺ และขณะเดียวกันเขาก็เป็นผู้กระทำดี และปฏิบัติตามแนวทางของอิบรอฮีม ผู้ใฝ่หาความจริง และอัลลอฮฺ ได้ถือเอาอิบรอฮีมเป็นสหาย(خَلِيلًا)}[4:125]
คำอธิบายของโองการนี้อยู่ในฮาดิษของท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ โดยที่ฮาดิษอธิบายกุรอาน.ท่านนบีได้กล่าวว่า:"ฉันยืนอย่างคนที่พ้นผิดต่อหน้าอัลลอฮ์ซึ่งฉันเอาคนหนึ่งในพวกท่านเป็นฆอลีล(สหายสนิท),สำหรับอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงส่งได้ทำให้ฉันเป็นสหายสนิทของพระองค์อย่างแท้จริง เหมือนที่พระองค์ทำให้อิบรอฮีม อาลัยฮิสลาม เป็นสหายสนิทคนหนึ่ง.และถ้าหากฉันต้องเลือกคนหนึ่งในอุมมัตของฉันเป็น ฆอลีล ฉันจะเอาอาบูบักร์ เป็นฆอลีลของฉัน."[ซอเฮียะมุสลิม]
ท่านนบีﷺ ยังกล่าวด้วยว่า:"ดูฉันเป็นอิสระจากการพึงพาอาศัยกันจากทั้งหมดของสหายที่สนิทและถ้าฉันต้องเลือกใครคนหนึ่งให้เป็นฆอลีล(สหายสนิท)ฉันจะเลือกอาบูบักร์เป็นฆอลีลของฉัน. โดยแท้จริง สหายของพวกท่าน[ตัวเขาเอง เป็นต้น]เป็นฆอลีลของอัลลอฮ์."[ซอเฮียะมุสลิม] ในอีกสำนวน,กล่าวว่า: "ฉันเป็นอิสระจากการพึงพาอาศัยของทุกๆสหายสนิทของฆุลละห์ของเขา."(5)
คำว่า อัล-ฆอลีลมาจาก อัล-ฆุลละห์,(ด้วยฎอมมะห์(ผนวก)เหนืออักษร ฆอ الخاء ตามคำรายงานลำดับที่สาม)อัล-ฆุลละห์เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบบริสุทธิ์และความจริงใจที่สุด.
อัซ-ซัจญัจ(เสีย ฮ.ศ 311)ได้กล่าวว่า: "อัล-ฆอลีลกล่าวถึงคนรักคนหนึ่งที่ปราศจากความบกพร่องในความรักของเขา."(6)
อิบนุ กาษิร(เสีย ฮ.ศ 774) ได้กล่าวว่า:
"อัล-ฆุลละห์เป็นรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความรัก ...ดังนั้นสภาพเช่นนี้บรรลุโดยตราประทับของบรรดานบีและผู้นำของบรรดารอซูล; มุฮัมมัดﷺ ตามที่ถูกระบุในซอเฮียะทั้งสอง[ซอเฮียะบุคอรีและมุสลิม]และอื่นๆ."(7)
ข้อพิสูจน์จากฆุลละห์ของอัลลอฮ์ต่อ
อิบรอฮีม(อาลัยฮิสลาม)และนบีของเราเป็นความจริงทางภาษา คือ ท่านนบีเลี่ยงที่จะเอาอาบู บักร์ รอดียัลลอฮูอันฮูเป็นสหายสนิทคนหนึ่งเพราะท่านฆุลละห์ของอัลลอฮ์เป็นสหายสนิทของอัลลอฮ์.
ฆุลละห์ของอัลลอฮ์ไม่เป็นความจริงหรือ,ไม่มีอุปสรรคใดๆกับท่านนบีมุฮัมมัดﷺ ที่จะถือเอาอาบู บักร เป็นสหายคนสนิทของท่าน(ฆอลีล).
(5) “สุนัน อิบนุ มาญะห์” เลขที่ 93, (1/70); ชุอัยบฺ อัล-อัรเนาทฺ ได้กล่าวว่า สายรายงานซอเฮียะ. มันยังถูกรายงานโดย อิบนุ อาสากีร ใน"มุญาม อัช-ชุยูฆ"(1/61-62)และเขาได้กล่าวว่า: ฮาดิษซอเฮียะ.อีหม่ามาอะห์มัดได้รายงานในมุสนัดของเขา(6/55-56)
(7) “อัล-บิดายะห์ วัน-นิฮายะห์"โดย อิบนุ กาษิร(1/390),ตะห์กีก:อับดุลลอฮ์ อัต-ตุรกี
++++
(ตอนที่ 3) ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
(คุณลักษณะการพูดของอัลลอฮ์)
قال تعالى: {وَكَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى تَكْلِيمًا} [النساء : 164]
الفعل "كَلّم" في هذه الآية مؤكد بالمصدر "تكليمًا"، وهو دليل على أن الله كلّم موسى حقيقةً، قال أبو جعفر النحّاس (ت. 338هـ) : «{وَكَلَّمَ اللَّهُ مُوسَى تَكْلِيمًا} مصدر مؤكد، وأجمع النحويّون على أنك إذا أكدّت الفعل بالمصدر لم يكن مجازًا ... فكذا لما قال: {تكليمًا}، وَجَبَ أن يكون كلامًا على الحقيقة من الكلام الذي يُعقل»(8).
(8) إعراب القرآن لأبي جعفر النحاس (ج1 ص507) تحقيق: زهير زاهد، الناشر: عالم الكتب.
การบ่งชี้จากกุรอานและซุนนะห์ของคุณลักษณะของอัลลอฮ์เป็นจริงทางภาษา(หมายถึงความหมายซอเฮร์ชัดเจนไม่คลุมเครือ)
อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งได้ตรัส: ในสูเราะฮฺ อัน-นิสาอ์ โองการที่ 164
وَرُسُلًا قَدْ قَصَصْنَاهُمْ عَلَيْكَ مِن قَبْلُ وَرُسُلًا لَّمْ نَقْصُصْهُمْ عَلَيْكَ وَكَلَّمَ اللَّهُ مُوسَىٰ تَكْلِيمًا ( 164 )
{และมีบรรดาร่อซูล ซึ่งเราได้เล่าถึงพวกเขาแก่เจ้ามาก่อนแล้ว และมีบรรดาร่อซูลซึ่งเรามิได้เล่าแก่เจ้าเกี่ยวกับพวกเขาและอัลลอฮฺได้ตรัสแก่มูซาจริงๆ}
[4:164]
คำกริยา"كَلّم"(พูด)ในโองการนี้เป็นการเน้นกับคำนามที่เกิดจากการผัน
คำกริยา"تكليمًا"ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า
อัลลอฮ์พูดกับมูซาจริง(ไม่อุปมาอุปไมย). อาบู ญะฟัร อัน-นะห์ฮาส(เสีย ฮ.ศ 338).ได้กล่าว:"โองการ,
{...และอัลลอฮฺได้ตรัสแก่มูซาจริงๆتَكْلِيمًا)เป็นการเน้นกับคำนามที่เกิดจากการผันคำกริยา,และนักไวยากรณ์(ผู้ชำนาญทางภาษา)มีความเห็นสอดคล้องกันว่าถ้าคุณเน้นที่คำกริยากับคำนามที่เกิดจากการผันคำกริยา,มันไม่สามารถพิจารณาว่าเป็นการอุปมาอุปไมย...ดังนั้นเมื่อพระองค์(อัลลอฮ์)พูด: 'تَكْلِيمًا,'มันกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่คำพูดเป็นคำพูดที่แท้จริง."(8)
(8) "อิร๊อบ อัล-กุรอาน"ของอาบูญะฟาร อัน-นะห์ฮาส(1/507); ตะห์กีก: ซอเฮร ซอฮีด.
++++++
(ตอนที่ 4) ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
ซุนนะห์ของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ
قال ابن عمر رضي الله عنه: «سمعت رسول الله صلى الله عليه وسلم وهو على المنبر يقول: ”يأخذ الجبّار سماواته وأرضيه بيده“ وقبض بيده فجعل يقبضها ويبسطها ”ثم يقول: أنا الجبار، أين الجبارون؟ أين المتكبرون“، قال: ويتميّل رسول الله صلى الله عليه وسلم عن يمينه وعن شماله، حتى نظرت إلى المنبر يتحرك من أسفل شيء منه، حتى إنّي لأقول: أساقط هو برسول الله صلى الله عليه وسلم؟».[صحيح مسلم، وسنن النسائي، واللفظ لابن ماجه](11)
قبَضَ النبي صلى الله عليه وسلم يده ليُبَيّن أن الله يقبض الأرض والسموات بيده حقيقةً، وليس مقصوده تشبيه قبض الله بقبضه.
(11) صحيح مسلم - كتاب صفة القيامة والجنة والنار (ص1285) دار طيبة - الطبعة الأولى؛ والسنن الكبرى للنسائي (ج7 ص145) مؤسسة الرسالة – الطبعة الأولى؛ وسنن ابن ماجه (ج1 ص137) تحقيق شعيب الأرنؤوط – مؤسسة الرسالة - الطبعة الأولى.
อิบนุ อุมัร (รอดียัลลอฮูอันฮู) ได้รายงาน: ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์ﷺ กล่าวขณะที่อยู่บนแท่น(มินบัร),"ผู้ทรงอำนาจจะยึดเอาบรรดาชั้นฟ้าของพระองค์และแผ่นดิน(โลก)ด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์;"และท่านนบี(รอซูลุลลอฮ์ﷺ)กำมือของท่าน,และเริ่มกำมันและกางมัน,(แล้วท่านได้กล่าวว่า): "หลังจากนั้นพระองค์(อัลลอฮ์)จะตรัส:'ข้าคือผู้มีอำนาจ!ผู้หยิ่งผยองอยู่ที่ไหน? ผู้ยโสโอหังอยู่ที่ไหน?เขา(อิบนุ อุมัร,ผู้รายงานฮาดิษ)ได้กล่าวว่า:"ท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ได้เคลื่อนไหวตัวท่านไปทางขวาและซ้ายมาก,จนกระทั่งฉันเห็นมินบัรสั่นไหวจากด้านล่างจนกระทั่งฉันกล่าว,'มันจะเป็นเหตุให้ท่านรอซูลุลลอฮ์ﷺ ล้มหรือไม่?[ซอเฮียะมุสลิม,สุนัน อัน-นาสาอี,และสำนวนนั้นเป็นของอิบนุ มาญะห์].(11)
ท่านนบีมุฮัมมัดได้กำมือของท่านเพื่อจะให้ชัดเจนว่าการกำแผ่นดินและบรรดาชั้นฟ้าของอัลลอฮ์ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ในวันกียามัตต้องถูกทำความเข้าใจเป็นความหมายจริงและไม่ใช่อุปมาอุปไมย. ท่านนบีﷺ ไม่ได้ตั้งใจโดยมันที่จะทำให้เหมือนสภาพที่แท้จริง(กัยฟียะห์)จากการกำของอัลลอฮ์ด้วยการกำของท่าน,ท่านนบีﷺ บริสุทธิ์ สันติจงมีแด่ท่าน - จากเรื่องนั้น.
(11) ซอเฮียะมุสลิม(1285) บท: การบรรยายเหตุการณ์ในวันกียามัต. และ"อัส-สุนัน อัล-กุบรา"โดย อัน-นาสาอี(7/145); และ"สุนัน อิบนุ มาญะห์"(1/137),ตะห์กีก:ชุอัยบฺ อัล-อัรเนาท.
+++++++
(ตอนที่ 5)
ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
فهم السلف الصالح لنصوص الصفات:
ثبت عن عدد من أئمة السلف الصالح من الصحابة والتابعين وتابعيهم فتابعيهم، أقوال وأفعال تدل على أنهم فهموا هذه الصفات على الحقيقة كما هو ظاهر النص، فأثبتوها لله عز وجل من غير تشبيه ولا تكييف ولا تحريف بالمجازات، وما يلي ذكرٌ لمجموعةٍ منها:
- أم المؤمنين عائشة (ت. 58 هـ) رضي الله عنها:
قالت في صفة السمع لله عز وجل: «الحمد لله الذي وسع سمْعُه الأصوات، لقد جاءت المجادلة إلى النبي صلى الله عليه وسلم تُكلمه، وأنا في ناحية البيت ما أسمع ما تقول، فأنزل الله عز وجل: {قَدْ سَمِعَ اللَّهُ قَوْلَ الَّتِي تُجَادِلُكَ فِي زَوْجِهَا} [المجادلة : 1] إلى آخر الآية».(14)
(14) مسند الإمام أحمد (ج40 ص228)، قال شعيب الأرنؤوط: إسناده صحيح على شرط مسلم. ورواه البخاري في صحيحه – كتاب التوحيد/ باب قوله تعالى (إن الله كان سميعا بصيرا)؛ والنسائي في سننه؛ وأبو الشيخ في "العظمة" (ج2 ص537)، وغيرهم.
ความเข้าใจของบรรพชนผู้ชอบธรรม(สะลัฟ)เกี่ยวกับตัวบทของคุณลักษณะ
มีคำกล่าวและการกระทำจำนวนมากที่มาจากสะลัฟฟุซซอและห์ท่ามกลางซอฮาบัต,ตาบิอีนและผู้ที่ประสบความสำเร็จจากพวกเขา,ซึ่งบ่งชี้ว่าพวกเขาเข้าใจคุณลักษณะเหล่านี้ว่ามีความหมายที่เป็นจริง (الحقيقة)ตามที่ปรากฎชัดเจน(ظاهر)ของตัวบทที่กล่าวถึง.ดังนั้นพวกเขายืนยันพวกมัน(คุณลักษณะของอัลลอฮ์)สำหรับอัลลอฮ์โดยไม่ทำให้พระองค์เหมือนกับสิ่งถูกสร้างของพระองค์[تشبيه]หรือไม่บิดเบือน/ตีความหมายผิด[تكييف]กับความหมายที่เป็นรูปเป็นร่าง(อุปมาอุปไมย)/เชิงเปรียบเทียบ. ต่อไปนี้เป็นการรวบรวมบางส่วนของคำกล่าวจากพวกเขา(สะลัฟ):
(คุณลักษณะการได้ยิน)
1. มารดาผู้ศรัธทา อาอีชะห์ รอดียัลลอฮูอันฮา(เสีย ฮ.ศ 58) ได้กล่าวถึงการได้ยินของอัลลอฮ์: <<มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์,ผู้ทรงได้ยินเสียงทั้งหมด.ผู้หญิงที่พิพาทได้มาหาท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ โดยแท้จริง และโต้เถียงกับท่าน(นบี)ขณะที่ฉันอยู่ในอีกบริเวณของห้อง,ไม่สามารถได้ยินสิ่งที่เธอพูด,แล้วอัลลอฮ์ ผู้ทรงอำนาจและผู้ทรงเกรียงไกรได้ลงโองการอายัตนี้:
สูเราะฮฺ อัล-มุญาดิละฮฺ โองการที่ 1
قَدْ سَمِعَ اللَّهُ قَوْلَ الَّتِي تُجَادِلُكَ فِي زَوْجِهَا وَتَشْتَكِي إِلَى اللَّهِ وَاللَّهُ يَسْمَعُ تَحَاوُرَكُمَا إِنَّ اللَّهَ سَمِيعٌ بَصِيرٌ ( 1 )
{โดยแน่นอน อัลลอฮฺทรงได้ยินถ้อยคำของสตรีที่กำลังโต้แย้งกับเจ้าในเรื่องสามีของนางและนางได้ร้องทุกข์ต่ออัลลอฮฺ และอัลลอฮฺนั้นทรงได้ยินการตอบโต้ของเจ้าทั้งสอง แท้จริงอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรู้เห็นเสมอ}[58:1]
(13)
(13) มุสนัด อีหม่ามอะห์มัด (40/228); ชุอัยบฺ อัล-อัรเนาท ได้กล่าว: สายรายงานของมันถูกต้องตามเงื่อนไขของมุสลิม'. มันถูกรายงานเช่นกันในซอเฮียะบุคอรี: กีตาบ อัตเตาฮีด/บท คำดำรัสของอัลลอฮ์: {อัล-อัซฮามาด"(2/537),และท่านอื่นๆ.
@@@@@
แปลโดย Firdaus Msd

ชุดที่ 2 (ตอนที่ 6 -10) ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
ความเข้าใจของบรรพชนผู้ชอบธรรม(สะลัฟ)เกี่ยวกับตัวบทของคุณลักษณะ
มีคำกล่าวและการกระทำจำนวนมากที่มาจากสะลัฟฟุซซอและห์ท่ามกลางซอฮาบัต,ตาบิอีนและผู้ที่ประสบความสำเร็จจากพวกเขา,ซึ่งบ่งชี้ว่าพวกเขาเข้าใจคุณลักษณะเหล่านี้ว่ามีความหมายที่เป็นจริง (الحقيقة)ตามที่ปรากฎชัดเจน(ظاهر)ของตัวบทที่กล่าวถึง.ดังนั้นพวกเขายืนยันพวกมัน(คุณลักษณะของอัลลอฮ์)สำหรับอัลลอฮ์โดยไม่ทำให้พระองค์เหมือนกับสิ่งถูกสร้างของพระองค์[تشبيه]หรือไม่บิดเบือน/ตีความหมายผิด[تكييف]กับความหมายที่เป็นรูปเป็นร่าง(อุปมาอุปไมย)/เชิงเปรียบเทียบ. ต่อไปนี้เป็นการรวบรวมบางส่วนของคำกล่าวจากพวกเขา(สะลัฟ):
(ตอนที่ 6) ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
2- الصحابي ابن مسعود (ت. 33 هـ) رضي الله عنه:
عن عبد الله بن مسعود -رضى الله عنه- قال: جاء حبر من اليهود فقال: "إنه إذا كان يوم القيامة جعل الله السموات على إصبع ، والأرضين على إصبع، والماء والثرى على إصبع، والخلائق على إصبع، ثم يهزهن، ثم يقول: أنا الملك أنا الملك." فلقد رأيت النبى صلى الله عليه وسلم يضحك حتى بدت نواجذه تعجبا وتصديقا لقوله؛ ثم قال النبى صلى الله عليه وسلم: {وَمَا قَدَرُوا اللَّهَ حَقَّ قَدْرِهِ وَالْأَرْضُ جَمِيعًا قَبْضَتُهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَالسَّمَاوَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِينِهِ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَى عَمَّا يُشْرِكُونَ} [الزمر : 67]
فابن مسعود رضي الله عنه فهم أن ضحك النبي صلى الله عليه وسلم كان لتعجبه وتصديقه لقول اليهودي، من أن الخلائق يوم القيامة ستكون على أصابع الله عز وجل حقيقة، ولكن من غير تشبيهها بصفة المخلوقين، وكيفيتها لا يعلمها إلا هو سبحانه، وواجبنا الإيمان والتسليم.
2. ซอฮาบี อิบนุ มัสอูด รอดียัลลอฮูอันฮู (เสีย ฮ.ศ 33) ได้กล่าวว่า:
<<บาทหลวงชาวยิวคนหนึ่งได้มาและพูดว่า: "ในวันฟื้นคืนชีพ,อัลลอฮ์จะเอา 7 ชั้นฟ้าวางบนนิ้วหนึ่ง,น้ำและฝุ่นดินบนนิ้วหนึ่ง,และสิ่งต่างๆของสิ่งถูกสร้างบนนิ้วหนึ่ง,หลังจากนั้นพระองค์จะเขย่า(يهزهن)พวกมันและตรัส:'ข้าคือกษัตริย์,ข้าคือกษัตริย์."ฉันเห็นท่านรอซูลุลลอฮ์ ﷺ ยิ้มกว้างมากจนฟันกรามของท่านปรากฏออกมาจากความอัศจรรย์ใจและเป็นการยืนยันกับคำพูดของบาทหลวงยิวผู้นั้น(ว่ามันถูกต้อง เป็นต้น).หลังจากนั้นท่านนบีมุฮัมมัดได้อ่าน:
สูเราะฮฺ อัซ-ซุมัร โองการที่ 67
وَمَا قَدَرُوا اللَّهَ حَقَّ قَدْرِهِ وَالْأَرْضُ جَمِيعًا قَبْضَتُهُ يَوْمَ الْقِيَامَةِ وَالسَّمَاوَاتُ مَطْوِيَّاتٌ بِيَمِينِهِ سُبْحَانَهُ وَتَعَالَىٰ عَمَّا يُشْرِكُونَ ( 67 )
{และพวกเขามิได้ให้ความยิ่งใหญ่แด่อัลลอฮฺอันพึงมีต่อพระองค์อย่างแท้จริง และแผ่นดินนี้ทั้งหมดเป็นเพียงกำพระหัตถ์หนึ่งของพระองค์ในวันกิยามะฮฺ และชั้นฟ้าทั้งหลายจะม้วนกลิ้งด้วยพระหัตถ์ขวาของพระองค์มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์ และพระองค์ทรงสูงส่งเหนือจากสิ่งที่พวกเขาตั้งภาคี}[39:67].
[ซอเฮียะ บุคอรี]
*ดังนั้น อิบนุ มัสอูด รอดียัลลอฮูอันฮู เข้าใจว่าการยิ้มของท่านนบี ﷺ ปรากฏออกมาจากความอัศจรรย์ใจและเป็นการยืนยันกับคำพูดของบาทหลวงยิวผู้นั้นว่าในวันฟื้นคืนชีพ,สิ่งต่างๆจากการสร้างจะอยู่บนบรรดานิ้วของอัลลอฮ์อย่างแท้จริง(ใช้คำพูดในความรู้สึกปกติหรือพื้นฐานที่สุดโดยไม่มีการอุปมาอุปมัย),
แต่ไม่ทำให้เหมือนสภาพที่แท้จริงของมันกับคุณลักษณะของสิ่งถูกสร้าง;
และสภาพที่แท้จริงไม่เป็นที่รู้จักกับใครก็ตามนอกจากอัลลอฮ์. สิ่งที่้เป็นภาคบังคับต่อเราคือเชื่อในมันและยอมรับ.
+++++++++
(ตอนที่ 7 ) ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
สุไลมาน อัล-อามาช(เสีย ฮ.ศ 148)ได้รายงานว่าท่านนบี ได้กล่าว:"หัวใจ(ของลูกของอาดัม)อยู่ระหว่างสองนิ้วของพระผู้ทรงเมตตามากที่สุด,และพระองค์ทรงพลิกผันพวกมัน(ตามวิธีใดๆที่พระองค์ทรงประสงค์)." [ฮาดิษซอเฮียะ] จากนั้นเขา(อิหม่าม อัล-อามาช)ได้แสดงท่าทางด้วยสองนิ้วของเขา.(14)
คำอธิบาย: เขาหมายถึงโดยสิ่งนั้นเพื่อบอกว่าคุณลีกษณะของอัลลอฮ์เป็นความจริงและไม่ใช่อุปมาอุปไมย.เขาไม่ได้หมายถึงโดยมันเพื่อเปรียบเทียบอัลลอฮ์กับการสร้างของพระองค์,เขาบริสุทธิ์จากสิ่งนั้น.
(14) สุนัน อิบนุ มาญะห์ (5/9-10), ฉบับพิมพ์ ดัร อัร-ริซาละห์ อัล-อาลามิยะห์
- سليمان الأعمش (ت. 148 هـ) :
روى الأعمش قول النبي صلى الله عليه وسلم: ”إن القلوب بين إصبعين من أصابع الرحمن عز وجل يُقلبها“ [حديث صحيح]، ثم أشار بإصبعيه(14).
(14) سنن ابن ماجه (ج5 ص9-10) طبعة دار الرسالة العالمية.
++++++
(ตอนที่ 8 ) ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
حماد بن أبي حنيفة (ت. 176هـ) :
قال في مناظرة له مع المبتدعة: «قلنا لهؤلاء : أرأيتم قول الله عز وجل{وَجَاءَ رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفًّا صَفًّا} [الفجر : 22] وقوله عز وجل: {هَلْ يَنْظُرُونَ إِلَّا أَنْ يَأْتِيَهُمُ اللَّهُ فِي ظُلَلٍ مِنَ الْغَمَامِ وَالْمَلَائِكَةُ} [البقرة : 210] فهل يجيء ربنا كما قال؟ وهل يجيء الملك صفًا صفًا؟ »قالوا: أما الملائكة فيجيئون صفا صفا، وأما الرب تعالى فإنا لا ندري ما عنى بذلك، ولا ندري كيف جيئته. فقلنا لهم: «إنا لم نكلفكم أن تعلموا كيف جيئته، ولكنا نكلفكم أن تؤمنوا بمجيئه، أرأيتم من أنكر أن الملك لا يجيء صفا صفا، ما هو عندكم؟ » قالوا: كافر مكذب.
قلنا: «فكذلك من أنكر أن الله سبحانه لا يجيء فهو كافر مكذب». (16)
القاسم عبد الكريم (ج1 ص55)، و أبو القاسم إسماعيل الأصبهاني التيمي في "الحجة في بيان المحجة".
(16) رواه أبو عثمان الصابوني في "عقيدة السلف وأصحاب الحديث" عن كتاب أبي عبد الله محمد بن أحمد أبي حفص البخاري، والذي رواه عن عبد الله بن عثمان الملقب بعبدان، عن محمد بن الحسن الشيباني، عن حماد بن أبي حنيفة. (ص 233-234) بتحقيق الجديع، و(ص63) بتحقيق أبو اليمين المنصوري.
4. ฮัมมาด บิน (ลูกชายของ) อาบู ฮานีฟะห์ (เสีย ฮ.ศ 176) ได้กล่าวในระหว่างการดีเบท(ถกเถียง)กับนักอุตริบิดอะห์:
<<เราพูดกับประชาชนเหล่านี้,'พวกท่านไม่เห็นดอกหรือว่าคำดำรัสของอัลลอฮ์ ผู้ทรงอำนาจและผู้ทรงเกรียงไกร(ในสูเราะฮฺ อัล-ฟัจญ์รฺ โองการที่ 22):
وَجَاءَ رَبُّكَ وَالْمَلَكُ صَفًّا صَفًّا ( 22 )
{และพระเจ้าของเจ้าเสด็จมาพร้อมทั้งมะลาอิกะฮฺด้วยเป็นแถว ๆ,}
[89:22]
และคำดำรัสของอัลลอฮ์(ในสูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮ โองการที่ 210):
هَلْ يَنظُرُونَ إِلَّا أَن يَأْتِيَهُمُ اللَّهُ فِي ظُلَلٍ مِّنَ الْغَمَامِ وَالْمَلَائِكَةُ وَقُضِيَ الْأَمْرُ وَإِلَى اللَّهِ تُرْجَعُ الْأُمُورُ ( 210 )
{และพวกเขามิได้คอยอะไร นอกจากการที่อัลลอฮ์และมลาอิกะอ์ของพระองค์จะมายังพวกเขา ในร่มเงาจากเมฆ และเรื่องนั้นได้ถูกชี้ขาดไว้แล้ว และยังอัลลอฮ์นั้นเรื่องราวทั้งหลายจะถูกนำกลับไป}
[2:210].
พระเจ้าของเราจะเสด็จมาตามที่พระองค์บอกหรือไม่?
บรรดามะลาอีกะห์(ฑูตสวรรค์)จะมาเป็นแถวๆหรือไม่?'
พวกเขากล่าวว่า:'สำหรับมะลาอีกะห์,พวกเขาจะมาเป็นแถวๆ. แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง,เราไม่ทราบอะไรที่พระองค์หมายถึงเรื่องนั้น,
เราไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมาอย่างไร.'
ดังนั้นเราได้พูดกับพวกเขาว่า: 'เราไม่ได้ประกาศิตให้พวกท่านรู้ว่าพระองค์จะเสด็จมาอย่างไร; แต่เราออกประกาศิตให้พวกท่านเชื่อในการเสด็จมาของพระองค์.
ท่านคิดอย่างไรกับคนที่ปฏิเสธว่ามะลาอีกะห์(ทูตสวรรค์)จะมา?
เขาเป็นอย่างไรในความเห็นของท่าน?'
พวกเขากล่าวว่า:'ผู้ปฏิเสธศรัธทา,ผู้ปฏิเสธคนหนึ่ง.'เรากล่าวว่า:
'ในทำนองเดียวกันผู้ใดปฏิเสธว่าอัลลอฮ์จะเสด็จมาเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา,ผู้ปฏิเสธคนหนึ่ง.'>>(15)
(15) รายงานโดย อาบู อุสมาน อัส-สาบุนี ใน อากีดะห์ อัส-สาลาฟ วา อัศฮาบุล-ฮาดิษ"(หน้า 233-234), ตะห์กีก: อัล-จุดาย': และ (หน้า 63) ตะห์กีก โดย อาบู อัล-ยามีน อัล-มันซูรี
+++++++++
(ตอนที่ 9) ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
حمّاد بن زيد (ت. 179 هـ) :
قال: «مَثَلُ الجهمية مثل رجل قيل له: أفي دارك نخلة؟ قال: نعم. قيل: فلها خوص؟ قال: لا. قيل: فلها سعف؟ قال: لا. قيل: فلها كرب؟ قال: لا. قيل: فلها جذع؟ قال: لا. قيل: فلها أصل؟ قال: لا. قيل: فلا نخلة في دارك. هؤلاء مِثل الجهمية قيل لهم:
لكم ربّ؟ قالوا: نعم. قيل: يتكلم؟ قالوا: لا. قيل: فله يد(17)؟ قالوا: لا. قيل: فله قدم(18)؟ قالوا: لا. قيل: فله إصبع؟ قالوا: لا. قيل: فيرضى ويغضب؟ قالوا: لا. قيل: فلا رب لكم! » إسناده صحيح.(19)
(17) من أدلة صفة اليد لله عز وجل قوله تعالى: {قَالَ يَا إِبْلِيسُ مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ} [ص : 75]
(18) دليل صفة القَدم لله عز وجل: قول النبي صلى الله عليه وسلم: ”لا تزال جهنم تقول: هل من مزيد؟ حتى يضع رب العزة فيها قدمه فتقول: قط قط وعزتك. ويزوى بعضها إلى بعض.“ حديث صحيح مُتفق عليه [صحيح البخاري ومسلم].
(19) رواه ابن شاهين في "شرح مذاهب أهل السنة"، قال: "حدثنا عبد الله بن سليمان بن الأشعث السجستاني، حدثنا أبي، عن سليمان بن حرب، قال: قال حماد بن زيد: ..." وذكره. شرح مذاهب أهل السنة (ص34-35) تحقيق: عادل بن محمد.
وذكره أبو يعلى في "إبطال التأويلات" عن أبي القاسم عبد الكريم (ج1 ص55)، و أبو القاسم إسماعيل الأصبهاني التيمي في "الحجة في بيان المحجة".
5. ฮามมาด บิน ไซด์ รอฮีมาฮุลลอฮ์ (16) (เสีย ฮ.ศ 179) ได้กล่าว:
«ความเหมือนของญะห์มียะห์เป็นเหมือนชายคนหนึ่งผู้ที่ถูกถามว่า:'มีต้นอินทผลัมในบ้านของท่านหรือไม่?' เขาบอก:'ใช่.'
'มันมีใบไหม?' เขาบอก,'ไม่.'
เขาถูกถาม:'มันมีกิ่งไหม?' เขาบอก,'ไม่.'
เขาถูกถาม:'มันมีตอไหม? เขาบอก,'ไม่.'
เขาถูกถาม,'มันมีลำต้นไหม?เขาบอก:'ไม่.'
เขาถูกถาม,'มันมีรากไหม? เขาบอก:'ไม่.'
มันถูกกล่าว(กับเขา): 'ไม่มีต้นอินทผลัมในบ้านของท่าน.
บุคคลนี้เป็นเหมือนญะห์มียะห์ที่มันถูกกล่าวกับเขา:
'พวกท่านมีพระเจ้าหรือไม่?' พวกเขาบอก,'ใช่.'
มันถูกกล่าว(กับพวกเขา):'พระองค์ทรงตรัส(พูด)หรือไม่?'
พวกเขาบอก,'ไม่.'
มันถูกถาม:'พระองค์มีพระหัตถ์(มือ)(17)หรือไม่?' พวกเขาบอก:'ไม่.'
มันถูกถาม:'พระองค์ทรงมีนิ้วหรือไม่? พวกเขาบอก:'ไม่.'
มันถูกกล่าว:'พระองค์ทรงพึงพอพระทัยและทรงกริ้วโกรธหรือไม่? พวกเขาบอก:'ไม่.'
มันถูกกล่าว:'พวกท่านไม่มีพระเจ้า'."(19) สายรายงานของผู้รายงานของมันถูกต้อง(ซอเฮียะ).
คำอธิบาย: เพราะ กิ่ง,ลำต้น,รากและใบเป็นคุณลักษณะจริงของต้นอินทผลัม ซึ่งการปฏิเสธพวกมันเท่ากับว่าปฏิเสธต้นอินทผลัม; มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ พระหัตถ์,การพูด,นิ้ว,การกริ้วและการพึงพอใจ,ซึ่งเป็นคุณลักษณะจริงของอัลลอฮ์ ที่ถูกรายงานในกุรอานและซุนนะห์(ฮาดิษ),การปฏิเสธพวกมันจะเป็นการปฏิเสธอัลลอฮ์ อัซซาวาญัล.
เชิงอรรถแหล่งอ้างอิง
(16) หนึ่งในอุลามาอฺปราชญ์ของสะลัฟฟุซซอและห์,ผู้เป็นต้นตำรับและผู้ได้รับความเคารพนับถือเป็นที่ยอมรับตรงกัน. อ่านประวัติเต็มของท่านที่นี่: http://www.as-salaf.com/article.php?aid=116&lang=en
(17) หนึ่งในหลักฐานที่เป็นพยานพิสูจน์สำหรับอัลลอฮ์ที่อ้างถึงการมีพระหัตถ์ คือคำดำรัสของพระองค์(ในสูเราะฮฺ ศอด โองการที่ 75):
قَالَ يَا إِبْلِيسُ مَا مَنَعَكَ أَن تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ أَسْتَكْبَرْتَ أَمْ كُنتَ مِنَ الْعَالِينَ ( 75 )
"พระองค์ตรัสว่า “อิบลีสเอ๋ย อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสองของข้า ? เจ้าเย่อหยิ่งจองหองนักหรือ หรือว่าเจ้าอยู่ในหมู่ผู้สูงส่ง"[38:75]
(19) รายงานโดย อิบนุ ชาฮีน ใน"ชาเราะห์ มัซฮาฮิบ อะห์ลุซ-ซุนนะห์"(หน้า 34-35) ตะห์กีก: อาดิล บิน มุฮัมมาด.และ อาบู ยะลา อ้างมันใน"อิบาฏอล อัต-ตาวีลาต"ในหนังสือของ อาบุล-กอซิม อับดุล-การีม(1/55). และ อาบุล-กอซิม อัล-อัสบาฮานี อัต-ตัยมี ใน"อัล-ฮุจจะห์ ฟี บายาน อัล-มาฮัจจะห์".
+++++++
(ตอนที่ 10)ซีฟาตของอัลลอฮ์เป็นจริงหรือเปรียบเทียบ
يحيى بن سعيد القطان (ت. 198 هـ) :
قال عبد الله ابن الإمام أحمد بن حنبل: سمعت أبـي رحمه الله: حدثنا يحيى بن سعيد بحديث سفيان ... عن النبي صلى الله عليه وسلم: ”أن الله يمسك السموات على أصبع“ قال أبي رحمه الله: جعل يحيى يشير بأصابعه، وأراني أبي كيف جعل يشير بأصبعه، يضع أصبعا أصبعا حتى أتى على آخرها.(20)
(20) كتاب السنة لعبد الله بن أحمد بن حنبل (ج1 ص264) تحقيق: محمد بن سعيد القحطاني – دار ابن القيم. وذكر مثله أبو يعلى في "إبطال التأويلات" عن أبي طالب، فقال: "نص عليه أحمد في رواية أبي طالب: سُئل أبو عبد الله عن حديث الخبر ”يضع السموات على إصبع، والأرضين على إصبع، والجبال على إصبع“ يقول إلا شار بيده هكذا؛ أي: يشير، فقال أبو عبد الله (الإمام أحمد) : "رأيت يحيى يحدث بهذا الحديث ويضع إصبعا إصبعا ..." (إبطال التأويلات لأبي يعلى 2/322).
ورواه عن الإمام عبد الله بن أحمد: الحافظ ابن حجر في "فتح الباري"، قال: "وكذا خرجه أحمد بن حنبل في كتاب "السنة" عن يحيى بن سعيد وقال: وجعل يحيى يشير بأصبعه يضع أصبعا على أصبع حتى أتى على آخرها." (فتح الباري 13/409)
6. ยะห์ยา บิน สะอีด อัล-คอตตัน รอฮีมาฮุลลอฮ์(เสีย ฮ.ศ 198):
'อับดุลลอฮ์,ลูกชายของอีหม่ามอะห์มัด,ได้กล่าว: <<ฉันได้ยินพ่อของฉัน(อีหม่ามอะห์มัด) -รอฮีมาฮุลลอฮ์ - รายงานฮาดิษของซุฟยานว่าท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ได้กล่าว:"อัลลอฮ์จะเอาบรรดาชั้นฟ้าไว้บนนิ้วหนึ่ง.."พ่อของฉัน(รอฮีมาฮุลลอฮ์)ได้กล่าวว่า:"ยะห์ยา(บิน ค๊อตตัน)เริ่มแสดงท่าทางกับนิ้วของเขา( يشير بأصابعه); และพ่อของฉันแสดงให้ฉันเห็นว่าเขากำลังทำท่าทางด้วยนิ้วของเขา.
เขาวางนิ้วข้างหนึ่งไว้ข้างหลังอีกนิ้วหนึ่งจนกระทั่งนิ้วสุดท้าย.>>(20)
อธิบาย: พวกเขาหมายถึงโดยเรื่องนั้นเพื่อบอกเราว่าคุณลักษณะของอัลลอฮ์เป็นความจริง,และฮาดิษสื่อด้วยภาษาจริงและไม่ใช่อุปมาอุปไมยหรือรูปของคำพูด,พวกเขาไม่ได้มีเจตนาโดยมันที่จะทำให้อัลลอฮ์เหมือนสิ่งถูกสร้างของพระองค์,พวกเขาบริสุทธ์จากเรื่องเช่นนั้น.
(2) "กีตาบ อัซ-ซุนนะห์"โดย อับดุลลอฮ์ ลูกชายของอีหม่ามอะห์มัด บิน ฮัมบาล(1/264),ตะห์กีก: มุฮัมมัด บิน สะอีด อัล-ค๊อตตานี. อิบนุ ฮาญาร อ้างอิงเรื่องนี้ใน"ฟัตฮุลบารี" บอกว่า:"มันถูกรายโดยอะห์มัด บิน ฮัมบาลในหนังสือ:"อัซ-ซุนนะห์"จากยะห์ยา บิน สะอีด,และกล่าว:และยะห์ยากำลังชี้นิ้วของเขา,กำลังวางนิ้วหนึ่งบนนิ้วหนึ่งจนกระทั่งนิ้วสุดท้าย.'[ฟัตฮุลบารี(13/409)]

ใครคือผู้นำที่ทำให้คนหลง / อะสัน หมัดอะดั้ม

ใครคือผู้นำที่ทำให้คนหลง
ท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า
إِنَّمَا أَخَافُ عَلَى أُمَّتِي الْأَئِمَّةَ الْمُضِلِّينَ
แท้จริง ฉันกลัวที่จะเป็นอันตรายแก่อุมมะฮของฉัน คือ บรรดาผู้นำที่ทำให้หลงผิด
أبو داود (4252) ، والترمذي (2229
อัสสินดีย์(ร.ฮ) ได้กล่าวว่า
" ( أئمة مضلين ) أي : داعين الخلق إلى البدع
(บรรดาผู้นำที่ทำให้หลงผิด) หมายถึง บรรดาดาอีย์ (นักเผยแพร่ศาสนา ที่เรียกร้องเชิญชวนมนุษย์ไปสู่บรรดาบิดอะฮ - หาชียะฮ อิบนิมาญะฮ 2/465 และ ชัรหสุนันอิบนิมายะฮ ของอัสสินดีย์ เล่ม 4 หน้า 329
............
เพราะฉะนั้น ปัจจุบันมีดาอีย์ไลฟ์สดมากมายเป็นดอกเห็ด ถ้าเรียกร้องและส่งเสริมให้ทำบิดอะฮ อย่าได้รับฟัง ไร้สาระและเสียเวลา
والله أعلم بالصواب
อะสัน หมัดอะดั้ม
8/6/61

360025 ฟัตวาหมายเลข: อัลลอฮ์เปลี่ยนรูปลักษณ์ของพระองค์ในวันฟื้นคืนชีพ




360025  ฟัตวาหมายเลข: 

วันที่ออกฟัตวา :3-1-2018 - Rabee' Al-Aakhir 16, 1439
คำถาม
ฉันได้อ่านเรื่องนี้บางแห่ง'....และอัล-ญับบาร์ จะมาที่พวกเขาในรูปหนึ่งที่แตกต่างจากรูปลักษณ์ที่พวกเขาได้เห็นพระองค์ในตอนแรก...'(อัล-บุคอรี 7440,มุสลิม 183). ฮาดิษนี้หมายความว่าอัลลอฮ์,ผู้ทรงสูงส่ง,มีความสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของพระองค์ใช่หรือไม่?
ตอบ
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์,พระเจ้าแห่งโลกทั้งหลาย. ฉันขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่มีค่าควรแก่การเคารพสักการะยกเว้นอัลลอฮ์ และมุฮัมมัดصلى الله عليه وسلم เป็นบ่าวและศาสนฑูตของพระองค์.
อัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจมีความสามารถในทุกสิ่ง,และไม่มีอะไรยากสำหรับพระองค์ มันพอเพียงสำหรับคุณที่ต้องเชื่อในสิ่งที่ฮาดิษบ่งชี้; ว่าอัลลอฮ์มาที่พวกเขาในอีกรูปลักษณ์หนึ่ง,โดยไม่พยายามไต่สวนหรือเสาะแสวงหาเรื่องนั้น.
ฮาดิษที่คุณได้อ้างถึงคือชัดเจน แน่นอน แจ่มแจ้ง ว่าอัลลอฮ์มาที่ผู้ศรัธทาในพระองค์ในวันฟื้นคืนชีพและปรากฎกับพวกเขาในรูปลักษณ์หนึ่งที่นอกเหนือจากรูปลักษณ์ที่พวกเขาได้เห็นในก่อนหน้านี้ ในฐานะเป็นบททดสอบหนึ่งสำหรับพวกเขา. พระองค์จะตรัส(กับพวกเขา),"ข้าคือพระเจ้าของพวกเจ้า."พวกเขาจะกล่าว,"เราขอความคุ้มครองกับอัลลอฮ์จากท่าน. เราจะพักอยู่ที่นี่จนกว่าพระเจ้าของเราเสด็จมาที่เรา." และเมื่อพระเจ้าของเราเสด็จมา,เราจะจำพระองค์ได้.ดังนั้น,อัลลอฮ์จะมาที่พวกเขาในรูปลักษณ์ของพระองค์เอง,ซึ่งพวกเขาจำได้,และกล่าว,"ข้าคือพระเจ้าของพวกเจ้า.'พวกเขาจะกล่าว,"ท่านเป็นพระเจ้าของเรา..."
ฮาดิษนี้ถูกรายงานในสำนวนที่แตกต่างกัน.
ชัยค์ อัล-ฆุนัยมาน ได้กล่าวใน ชาเราะห์ กีตาล อัต-เตาฮีด จาก ซอเฮียะ อัล-บุคอรี ว่ามันถูกพิสูจน์ว่าพวกเขาจะเห็นอัลลอฮ์ในหลายครั้งในหลายรูปลักษณ์,และนี่เป็นบททดสอบหนึ่งสำหรับพวกเขา,โดยถูกพิสูจน์ด้วยคำพูดของท่านนบีصلى الله عليه وسلم "อัล-ญับบาร์(ผู้ทรงฟื้นฟูและผู้ทรงความน่าเกรงขาม - อัลลอฮ์ เป็นต้น) จากนั้นจะมาที่พวกเขาในรูปลักษณ์หนึ่งที่นอกเหนือจากรูปลักษณ์ของพระองค์เองในสิ่งซึ่งพวกเขาได้เห็นพระองค์ในครั้งแรก..."[อัล-บุคอรี และมุสลิม]; และคำพูดของเขา:"จากนั้น(อัลลอฮ์)พระเจ้าแห่งโลกทั้งหลายจะมาที่พวกเขาในรูปลักษณ์หนึ่งใกล้เคียงที่สุดกับรูปลักษณ์ที่พวกเขาได้เคยเห็นพระองค์ในครั้งแรก,"ตามในคำรายงานโดยมุสลิม.ยังมีฮาดิษของอาบู อาซิม ที่ว่า,"แล้วอัลลอฮ์ปรากฎกับเราในรูปลักษณ์หนึ่งนอกเหนือจากรูปลักษณ์ของพระองค์ในสิ่งซึ่งเราได้เห็นพระองค์ในครั้งแรก."ในอีกรายงานหนึ่งโดยเขาด้วย:""จากนั้นพระองค์ยกคุณธรรมของเรา[ยอมรับการกระทำของพวกเขา]และผู้ทำบาปชองเรา[ยกโทษพวกเขา],ในขณะที่พระองค์ได้กลายเป็นรูปลักษณ์ที่เราได้เห็นพระองค์ในครั้งแรก."
ฮาดิษโดยมุสลิม มีความว่า,"...แล้วพวกเขายกศรีษะของพวกเขาขึ้นและเห็นว่าพระองค์ได้กลับไปเป็นรูปลักษณ์ที่พวกเขาได้เห็นพระองค์ในครั้งแรก." พระองค์จะตรัส,"ข้าคือพระเจ้าของพวกเจ้า." พวกเขาจะกล่าว,"พระองค์เป็นพระเจ้าของเรา..."
ถ้อยคำของฮาดิษเหล่านี้มีความชัดเจน แจ่มแจ้งที่พวกเขาจะเห็นพระองค์ในรูปลักษณ์ที่พวกเขารู้จักพระองค์มาก่อน,ก่อนที่พระองค์มาที่พวกเขาในเวลานี้.
อัลลอฮ์รู้ดีที่สุด.
แปลโดย Firdaus Msd