วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

จะไม่มีสิ่งใดทำให้ยุคสุดท้ายของประชาชาตินี้ดีงามได้ นอกจากสิ่งที่เคยทำให้ยุคแรกของมันดีงามมาแล้ว - มุฮัมมัด อัล-บะชีร อัล-อิบราฮีมี - เผยแพร่เมื่อปี ฮ.ศ. 1372 / ค.ศ. 1952

 “จะไม่มีสิ่งใดทำให้ยุคสุดท้ายของประชาชาตินี้ดีงามได้ นอกจากสิ่งที่เคยทำให้ยุคแรกของมันดีงามมาแล้ว”

 มุฮัมมัด อัล-บะชีร อัล-อิบราฮีมี

(เผยแพร่เมื่อปี ฮ.ศ. 1372 / ค.ศ. 1952)

ประโยคนี้ หากจะไม่ใช่คำพูดจากวะหฺยูโดยตรง ก็คงต้องบอกว่ามันมีเค้าเงาของวะหฺยู มีแววแห่งจิตวิญญาณของมัน และมีแสงวาบจากประกายเรืองรองของมันอยู่ในนั้น

“ประชาชาติ” ที่ถูกกล่าวถึงในถ้อยคำนี้ ก็คือ ประชาชาติของมุฮัมมัด ﷺ และความดีงามของยุคแรกของประชาชาตินี้ เป็นสิ่งที่ผู้คนต่างยกมาเป็นแบบอย่าง กล่าวถึงด้วยหลักฐานอันชัดเจน แม้จะไม่เห็นกับตาก็ประจักษ์ด้วยหัวใจ มันได้ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ได้รับการยอมรับทั้งจากผู้เห็นด้วยและผู้คัดค้าน ผู้พอใจและผู้ไม่พอใจ ต่างก็พูดถึงมัน โลกทั้งใบและฟากฟ้าก็จารึกไว้

หากโลกสามารถพูดได้ มันคงบอกเราว่า:

"ตั้งแต่วันที่อัลลอฮฺทรงแผ่แผ่นดินนี้ ยังไม่เคยมีประชาชาติใดที่ยืนหยัดอยู่บนความจริง และนำทางด้วยความจริง ได้ดีงามเท่ากับยุคแรกของประชาชาตินี้"

"โลกไม่เคยเห็นกลุ่มมนุษย์ใด ที่ทั้งภายในและภายนอกของพวกเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันบนพื้นฐานของความดีงาม เหมือนดังที่ได้เห็นจากยุคแรกของประชาชาตินี้"

"โลกไม่เคยเห็นประชาชาติใด ที่เริ่มต้นสร้างกฎหมายแห่งความยุติธรรมกับตนเอง และบัญญัติแนวทางแห่งการทำดีต่อผู้อื่น ได้อย่างที่ยุคแรกของประชาชาตินี้ได้ทำไว้"

"ตั้งแต่วันที่อัลลอฮฺทรงส่งนบีอาดัมลงมา และให้มนุษย์ตั้งรกรากอยู่บนแผ่นดินนี้ โลกไม่เคยเห็นตัวอย่างที่สมบูรณ์ของมนุษยชาติอันแท้จริง จนกระทั่งโลกได้เห็นมันปรากฏในยุคแรกของประชาชาตินี้"

"โลกไม่เคยเห็นประชาชาติใดที่ยึดมั่นในเอกภาพแห่งอัลลอฮฺ แล้วกลายเป็นหนึ่งเดียวกันในการสร้างความดี เหมือนเช่นที่โลกได้เห็นจากชั้นแรกของประชาชาตินี้"

นี่คือคำเป็นพยานของแผ่นดิน

ที่แสดงออกมาในความเงียบ และความเงียบของมันกลับมีพลังชี้ชัดมากกว่าคำพูดของผู้คนทั้งหลายเสียอีก

จากนั้น ความจริงของประวัติศาสตร์ ก็ได้อธิบายถ้อยคำนั้น และ สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตา  แม้จะถูกบดบังด้วยกาลเวลาหลายศตวรรษ  ก็ได้ทำหน้าที่แปลความมันอย่างชัดแจ้ง

แท้จริงแล้ว ประชาชาตินี้ได้ดำรงตนอย่างถูกต้องในยุคแรกเริ่มของมัน บนพื้นฐานของทางนำแห่งอัลกุรอาน
และบนทางนำของผู้ที่อัลกุรอานถูกประทานลงสู่หัวใจของเขา

ผู้ที่ได้อธิบายมันด้วยความซื่อสัตย์
ถ่ายทอดมันด้วยความซื่อสัตย์
ตัดสินด้วยมันด้วยความซื่อสัตย์
ใช้มันตัดสินในจิตใจผู้คนด้วยความซื่อสัตย์
อบรมสั่งสอนและชำระจิตใจด้วยความซื่อสัตย์
เขา (นบีมุฮัมมัด ﷺ) ได้วางอัลกุรอานไว้เป็นเครื่องชั่งระหว่างอารมณ์ของมนุษย์
ให้เป็นตัวแบ่งแยกระหว่างสัจจะกับความเท็จ
เป็นขอบเขตสกัดกั้นการล้ำเส้นของสัญชาตญาณ
เป็นปราการกั้นระหว่างเอกภาพแห่งอัลลอฮฺกับการตั้งภาคี 

 

ดังนั้น คนรุ่นแรกของประชาชาตินี้ พวกเขาตัดสินใจชีวิตของตนภายใต้อัลกุรอาน ยืนหยัดไม่ก้าวล้ำออกนอกขอบเขตของมัน แม้แต่ความคิดผุดวาบในใจ หรืออารมณ์เล็กน้อย พวกเขาก็ชั่งน้ำหนักมันด้วยอัลกุรอานและทุกสิ่งที่มีความเห็นแตกต่างกัน หรือความคิดที่แปลกแยก หรือสติที่หลงทิศ หรือสัญชาตญาณที่ดื้อรั้น
หรืออารมณ์ที่ก้าวร้าว พวกเขาก็ส่งมันกลับไปหาอัลกุรอานเสมอ

สิ่งที่ทำให้ชนรุ่นแรกของประชาชาตินี้ดีงาม จนพวกเขากลายเป็น “สะละฟุศศอลิห์” (บรรพชนผู้ทรงคุณธรรม) ก็คือ อัลกุรอาน นั่นเอง

ซึ่งผู้ประทานมันลงมา ได้พรรณนาว่า:

มันคือ ผู้นำ (إمام)
คือ ข้อเตือนใจ (موعظة)
คือ แสงสว่าง (نور)
คือ หลักฐานอันชัดเจน (بينات)
คือ พยานอันแน่นอน (برهان)
คือ คำอธิบาย (بيان)
คือ ทางนำ (هدى)
คือ เครื่องจำแนกสัจจกับเท็จ (فرقان)
คือ ความเมตตา (رحمة)
คือ การเยียวยาสิ่งที่อยู่ในหัวอก (شفاء لما في الصدور)
คือสิ่งที่ ชี้นำไปสู่แนวทางที่มั่นคงที่สุด (يهدي للتي هي أقوم)
และเป็นสิ่งที่ ความเท็จไม่อาจเข้าแทรกได้ไม่ว่าจากด้านหน้า หรือจากด้านหลัง
มันคือ วจนะที่เด็ดขาด ไม่ใช่ถ้อยคำล้อเล่น

และผู้ที่อัลกุรอานถูกประทานลงสู่หัวใจของเขา คือมุฮัมมัด บิน อับดุลลอฮฺ ﷺ ท่านได้พรรณนาอัลกุรอานไว้ว่า:

“ความใหม่ของมันไม่เคยเก่าไปตามกาลเวลา ความมหัศจรรย์ของมันไม่มีวันหมดสิ้น ในนั้นมีข่าวสารของคนก่อนหน้าเรา มีคำตัดสินสำหรับผู้ที่มาหลังจากเรา และสุดท้าย มันคือข้อพิสูจน์  ที่จะเป็น หลักฐานแก่เรา หรือ หลักฐานต่อต้านเรา ก็ได้”


อัลกุรอานนี้เอง

ที่ได้ แก้ไขจิตใจ ซึ่งเคยเบี่ยงเบนออกจากแนวทางแห่งฟิตเราะฮฺ (ธรรมชาติอันบริสุทธิ์) และได้ ปลดปล่อยสติปัญญา จากพันธนาการของขนบธรรมเนียมอันไร้สาระ เปิด สนามแห่งการใคร่ครวญและใช้เหตุผล ต่อหน้ามนุษย์ จากนั้นก็ ชำระจิตใจด้วยความรู้และการงานที่ดีงาม และ ประดับมันด้วยคุณธรรมและมารยาทอันดี

อัลกุรอาน

คือสิ่งที่ ฟื้นฟูเตาฮีด (เอกานุภาพของอัลลอฮฺ) ให้กลับมา หลังจากที่ บูรณาการถูกทำลายด้วยชิริก (การตั้งภาคี) มัน เยียวยาบาดแผลแห่งความแตกแยก และ ความคลั่งชาติ ด้วย เอกภาพของอุมมะฮฺ

อัลกุรอาน ทำให้มนุษย์เสมอภาคกัน ในความยุติธรรมและความดีงาม ไม่มีความเหนือกว่ากันระหว่างชาวอาหรับกับชาวต่างชาติ นอกจากในเรื่อง “ตักวา” และ ไม่มีพระราชากลุ่มใดเหนือกว่าชาวบ้านธรรมดา นอกจากในความดีงามที่พวกเขากระทำ ไม่มีชนชั้นใดที่มีสิทธิ์ล่วงหน้าเหนือชนชั้นอื่นอย่างถาวร

อัลกุรอานคือผู้ไขปัญหาอันยิ่งใหญ่

ซึ่งโลกทั้งโลกกำลังวุ่นวายและสับสนกับมันอยู่ในวันนี้ นั่นคือ ปัญหาระหว่างความมั่งคั่งและความยากจน อัลกุรอานได้ กำหนดความหมายของ “ความยากจน” ไว้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับที่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ได้รับการนิยามอย่างแม่นยำ จากนั้น อัลกุรอานได้ส่งเสริมการทำงาน ในฐานะที่มันเป็นหนึ่งในคุณธรรมเชิงปฏิบัติที่สูงส่ง และหลังจากที่ได้กำหนดสถานะของ “คนยากจน” อย่างชัดเจนแล้ว

อัลกุรอานก็บัญญัติว่า คนยากจนนั้นมี “สิทธิ์ที่ชัดเจน”

ในทรัพย์สินของคนมั่งมี ซึ่งผู้มั่งมีต้องจ่ายให้ ด้วยความเต็มใจ เพราะเขาเชื่อว่า การจ่ายนั้นเป็น “อิบาดะฮฺ” และ “การแสวงหาความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ” และคนยากจนก็รับไว้ ด้วยเกียรติศักดิ์ศรี เพราะเขามองว่านี่คือ การให้ของอัลลอฮฺ และ เป็นบทบัญญัติของพระองค์ แต่เมื่อเขาพอเพียง ไม่จำเป็นต้องรับอีก เขาก็จะ ปฏิเสธ การรับมัน เช่นเดียวกับที่เขา ละเว้นสิ่งต้องห้าม เขาจะไม่โลภในทรัพย์นั้น และจะไม่เอื้อมมือไปหา


และอัลกุรอานนั่นเอง

ที่ได้ยกระดับพวกเขา (ชาวอิสลามยุคแรก) ขึ้นสู่ขั้นสูงสุดของการอบรมบ่มเพาะจิตใจ และได้วางมาตรวัดที่เที่ยงธรรมในการประเมินสถานะและคุณค่าของผู้คน ทำให้แต่ละคนรู้จักขอบเขตของตนเองและยึดมั่นในมัน

ทุกคนจึงเปรียบดั่งดวงดาวที่โคจรอยู่ในวงโคจรของตน โดยไม่มีการเบียดเบียนกัน อัลกุรอานได้หล่อหลอมจิตใจของพวกเขาด้วย มารยาทอันสูงส่งจากพระเจ้า จนทำให้แต่ละคนรู้สึกมั่นคงกับตำแหน่งของตนในสังคม ภาคภูมิใจในหน้าที่ของตน มุ่งมั่นทำหน้าที่นั้นให้สมบูรณ์ที่สุด ไม่ล้ำเส้นต่อหน้าที่ของผู้อื่น และรู้ดีว่าผู้อื่นก็จะไม่ล้ำเส้นของเขาเช่นกัน

ดังนั้น…

ผู้หญิง จึงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกับสถานะของตนเมื่อเทียบกับผู้ชาย

เพราะอิสลามได้มอบสิทธิของเธอไว้อย่างครบถ้วน และได้ ผูกพันผู้ชายไว้ ว่าต้องรักษาสิทธิของเธอไว้อย่างแน่นหนา ทาส ก็ไม่รู้สึกคับข้องใจกับสถานะของตนต่อเจ้านาย เพราะอิสลามได้ช่วยเขาหลุดพ้นจากอดีตอันโหดร้าย ทำให้เขาอยู่ในความปลอดภัย อิสลามได้กำหนดสิทธิของเขาในปัจจุบันไว้อย่างยุติธรรม เขาจึงอยู่กับมันด้วยความพึงพอใจ และเขายังมี “ความหวัง” อันสดใสรออยู่ในวันข้างหน้า เพราะเขารอคอย อิสรภาพ ได้ทุกเมื่อ และอิสรภาพนั้นก็อยู่ไม่ไกล
ตราบใดที่เจ้านายของเขา มองว่าการปลดปล่อยเขาคือความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ เป็น หนทางไปสู่สวรรค์ และเป็น การชำระบาป

และเช่นกัน...

อัลกุรอานได้วางขอบเขตระหว่าง ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง
โดยทำให้ พื้นฐานร่วมกันของทั้งสองฝ่าย คือโองการของอัลลอฮฺที่ว่า:

"ومن يتعد حدود الله فقد ظلم نفسه"

“และผู้ใดที่ล่วงละเมิดขอบเขตของอัลลอฮฺ แน่นอนเขาได้อธรรมต่อตัวของเขาเอง”

การที่ขอบเขตเหล่านี้ถูก ระบุว่าเป็นของอัลลอฮฺ ก็เพื่อจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่นั่นคือ เพื่อเหนี่ยวรั้งความเห็นแก่ตัวของจิตใจมนุษย์

อัลกุรอานคือการแก้ไขที่ครอบคลุมต่อข้อบกพร่องทั้งมวลของมนุษยชาติที่สืบทอดกันมา

ไม่เพียงแค่แก้ไข หากแต่ขจัดข้อบกพร่องเหล่านั้นให้สิ้นซากจากรากเหง้า และเป็นการวางรากฐานชีวิตที่ผาสุก ชีวิตที่มนุษย์จะไม่ถูกอธรรม และสิทธิใด ๆ ของเขาจะไม่ถูกลิดรอน โดยอาศัยพื้นฐานแห่ง ความรัก ความยุติธรรม และความดีงาม

อัลกุรอานคือรัฐธรรมนูญจากฟากฟ้า ซึ่งปราศจากข้อบกพร่องและความผิดพลาดใด ๆ

  • หลักความเชื่อ (อะกีดะฮฺ) ในนั้นบริสุทธิ์ชัดเจน

  • การอิบาดะฮฺ (การนมัสการ) นั้นบริสุทธิ์เพื่ออัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว

  • บทบัญญัติต่าง ๆ เปี่ยมด้วยความยุติธรรม

  • มารยาทมีความเที่ยงตรง

  • คุณธรรมมีความมั่นคง

  • จิตวิญญาณของมนุษย์จะไม่ถูกลิดรอนสิทธิในอัลกุรอาน
    และไม่มีสิ่งใดที่จิตวิญญาณแสวงหาแล้วจะสูญเปล่าในนั้น

อัลกุรอานเล่มนี้เอง

ที่ทำให้ยุคแรกของประชาชาตินี้มีความดีงาม และจะไม่มีสิ่งใดสามารถเยียวยายุคหลังของประชาชาตินี้ได้
เว้นแต่อัลกุรอานเช่นเดียวกัน

ดังนั้น... หากประชาชาติอิสลามในวันนี้ มีความรู้สึกถึงความเลวร้ายในสภาพของตน และมีความตั้งใจจริงในการแก้ไขมัน สิ่งเดียวที่จำเป็นต้องทำก็คือ หวนกลับคืนสู่คัมภีร์แห่งพระผู้อภิบาลของตน

  • นำมันมาตัดสินกับตนเอง

  • ปกครองด้วยมัน

  • ดำเนินชีวิตภายใต้แสงสว่างของมัน

  • ปฏิบัติตามหลักการและบทบัญญัติของมัน

แล้วอัลลอฮฺจะทรงประทานความช่วยเหลือแก่พวกเขา และจะทรงยืนหยัดเคียงข้างพวกเขา และพระองค์นั้นคือผู้ทรงอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง


ที่มา: เลือกสรรโดยเว็บไซต์ الدرر السنية
แหล่งอ้างอิง: “อาถารของอิหม่ามมุหัมมัด อัลบะชีร อัลอิบราฮีมี” (4/93), สำนักพิมพ์ดารุลฆ็อบ อัลอิสลามี, พิมพ์ครั้งที่ 1, ค.ศ.1997


ประวัติของท่านโดยสังเขป 


อิหม่าม มุหัมมัด อัล-บะชีร อัล-อิบราฮีมี (محمد البشير الإبراهيمي, 1889–1965) คือหนึ่งใน นักปราชญ์และนักปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอาหรับในศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในแอฟริกาเหนือ ท่านเป็น นักวิชาการสายสะลัฟียฺ และเป็น ผู้นำขบวนการตื่นตัวทางศาสนาและวัฒนธรรมในแอลจีเรีย ร่วมกับอิหม่าม อับดุลหะมีด บิน บาดีส


ชื่อเต็ม: มุหัมมัด อัล-บะชีร อัล-อิบราฮีมี (محمد البشير الإبراهيمي)
เกิด: ปี ค.ศ.1889 ตรงกับ 1306 ฮ.ศ. ที่แคว้นสะตีฟ (Sétif), ประเทศแอลจีเรีย
เสียชีวิต: ปี ค.ศ.1965


สถานะทางวิชาการและบทบาทสำคัญ

1. ผู้นำขบวนการ “อัล-อิสลาห” ในแอลจีเรีย

  • ร่วมก่อตั้ง สมาคมนักปราชญ์แห่งแอลจีเรีย (جمعية العلماء المسلمين الجزائريين) ปี ค.ศ.1931

  • เคียงข้างกับอิหม่าม อับดุลหะมีด บิน บาดีส (رحمهما الله)

  • จุดยืนชัดเจน: ต่อต้านบิดอะฮฺ, ซูฟีย์หัวรุนแรง, ความงมงาย และการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส

2. นักคิดและนักเขียนระดับสูง

  • ผลงานของท่านถูกตีพิมพ์ในวารสาร “อัช-ชิฮาบ”, “อัล-บะศีร”, และรวบรวมภายใต้ชุดหนังสือชื่อว่า

    “آثار الإمام محمد البشير الإبراهيمي” (อาถารของอิหม่ามอัล-อิบราฮีมี) จำนวน 5 เล่ม
    ซึ่งเป็นแหล่งอ้างอิงหลักที่คุณถามถึง

3. แนวทางทางศาสนา

  • ยึดมั่นใน แนวทางสะลัฟ ทั้งในอะกีดะฮฺ มันฮัจ และการปฏิบัติ

  • ตำหนิซูฟีย์หัวรุนแรง และต่อต้านการบิดเบือนศาสนาโดยชนชั้นนักบวชและผู้นำที่ไม่รู้หลักฐาน

  • วางรากฐานการศึกษาใหม่ที่กลับไปสู่ อัลกุรอานและสุนนะฮฺตามความเข้าใจของสะลัฟ

จุดยืนทางการเมือง

  • ต่อต้าน ลัทธิล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส ที่ปกครองแอลจีเรียกว่า 130 ปี

  • ถูกจับกุมและเนรเทศหลายครั้ง

  • หลังแอลจีเรียได้รับเอกราชในปี ค.ศ.1962 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็น ประธานสภาศาสนาแห่งชาติ

ผลงานเด่น

  • “آثار الإمام محمد البشير الإبراهيمي” (อาถาร – รวบรวมบทความและคำปราศรัย, 5 เล่ม)

  • บทความเชิงแนวคิดทางอิสลาม, การตีความสถานการณ์ร่วมสมัย, และการฟื้นฟูเตาฮีด

คำรับรองจากอุละมาอ์ร่วมสมัย

  • ชัยคฺ อับดุรรเราะซาก อัล-บัดร์ กล่าวว่า:

    "ท่านคือหนึ่งในผู้ปกป้องแนวทางอะฮลุสสุนนะฮฺวาลญะมาอะฮฺในยุคของตน ด้วยปากกาที่เด็ดขาดและอีหม่านที่มั่นคง"

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2567






 สารบัญความรู้ที่รวบรวมทั้งหมด
กำลังอยู่ในช่วงพัฒนา เร็ว ๆ นี้ 

อินชา อัลลอฮฺ 

ขออัลลอฮฺทรงได้โปรดช่วยเหลือให้บ่าวทำสำเร็จด้วยเถิด 

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

อิบนุล ก็อยยิม ได้อรรถธิบายอายะฮ์ที่ 5-6 ในซูเราะฮ์อัชชัรฮ์ ที่อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า :



อิบนุล ก็อยยิม ได้อรรถธิบายอายะฮ์ที่ 5-6 ในซูเราะฮ์อัชชัรฮ์ ที่อัลลอฮ์ทรงตรัสว่า :

قوله تعالى : { فَإِنَّ مَعَ الْعُسْرِ يُسْراً ، إِنَّ مَعَ الْعُسْرِ يُسْراً }

}
ฉะนั้นแท้จริงพร้อมกับความยากลำบาก ก็จะมีความง่ายได้อยู่
แท้จริงพร้อมกับความยากลำบาก ก็จะมีความง่ายได้อยู่ 
}

فالعسر - وإن تكرر مرتين - فتكرر بلفظ المعرفة ، فهو واحد ، واليسر تكرر بلفظ النكرة ، فهو يسران ، فالعسر محفوف بيسرين ، يسر قبله ، ويسر بعده ، فلن يغلب عسر يسرين .

[ بدائع الفوائد : ٢\١٥٥ ]

ความยากลำบากถึงแม้ว่ามันจะมีกล่าวซ้ำไว้ถึงสองครั้งด้วยกันแต่กล่าวด้วยถ้อยคำที่เป็นมะอฺริฟะฮ์(เจาะจง)ซึ่งมันหมายถึง ความยากลำบากเพียงอย่างเดียว

ส่วนความง่ายดาย ที่มีการกล่าวซ้ำไว้สองครั้งเช่นกัน และกล่าวด้วยถ้อยคำที่เป็น นะกิเราะฮ์(ไม่เจาะจง) ซึ่งมันหมายถึง ความง่ายดายมีสองอย่าง

ดังนั้น 

ความยากลำบากเพียงหนึ่งอย่าง 
ได้ถูกห้อมล้อมด้วยความง่ายดายถึงสองอย่างด้วยกัน คือ :

- ความง่ายดายก่อนที่จะเกิดความยากลำบากนั้น
- และความง่ายดายหลังที่เกิดความยากลำบากนั้นไปแล้ว

ฉะนั้นแล้ว 
ความยากลำบากเพียงอย่างเดียว จะไม่มีทางเอาชนะความง่ายดายที่มีถึงสองอย่างได้.

วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

คนไม่เคยละหมาดตลอดชีวิตมีข้อตัดสินอย่างไร ?


คนไม่เคยละหมาดตลอดชีวิตมีข้อตัดสินอย่างไร ?


ในกรณีนี้ ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ)ได้กล่าวว่า

فأما من كان مصرًا على تركها، لا يصلي قط، ويموت على هذا الإصرار والترك؛ فهذا لا يكون مسلمًا،

สำหรับผู้ที่เขาเป็นผู้ที่ยืนกรานบนการทิ้งละหมาดและเขาไม่ละหมาดเลย และเขาตายบนสภาพของการยืนกราน(บนการทิ้งละหมาด)และการทิ้ง(ละหมาด) กรณีนี้เขาไม่เป็นมุสลิม

بل أكثر الناس يصلون تارة، ويتركونها تارة، فهؤلاء ليسوا يحافظون عليها، وهؤلاء تحت الوعيد، وهم الذين جاء فيهم الحديث الذي في "السنن"، حديث عبادة عن النبي صلى الله عليه وسلم أنه قال: "خمس صلوات، كتبهن الله على العباد في اليوم والليلة، من حافظ عليهن؛ كان له عهد عند الله أن يدخله الجنة، ومن لم يحافظ عليهن؛ لم يكن له عهد عند الله، إن شاء عذبه، وإن شاء غفر له".

แต่ทว่า บรรดาผู้คนส่วนใหญ่พวกเขาละหมาด บางครั้งและทิ้งละหมาดบางครั้ง พวกเขาเหล่านี้ ไม่ใช่บรรดาผู้ที่รักษาละหมาด และพวกเขาเหล่านี้อยู่ภายใต้สัญญาการลงโทษ และพวกเขาคือ ผู้ที่หะดิษ ซึ่งอยู่ในอัสสุนันได้มีมาเกี่ยวกับพวกเขา คือหะดิษอุบาดะฮ จากท่านนบี ศ็อลฯ ว่า ...

ท่านนบีได้กล่าวว่า "บรรดาละหมาดห้าเวลา อัลลอฮได้กำหนดมันให้เป็นข้อบังคับแก่บรรดาบ่าว ในกลางวันและกลางคืน ,ผู้ใดรักษามันเหล่านั้น เขาได้รับคำมั่นสัญญาจากอัลลอฮว่าเขาจะได้เข้าสวรรค์ และผู้ใดไม่รักษาบนมันเหล่านั้น เขาไม่ได้รับคำมั่นสัญญาจากอัลลอฮ หากทรงประสงค์ พระองค์ก็ลงโทษเขาและหากทรงประสงค์ ก็ทรงอภัยเขา 

- อัลฟะตาวาอัลกุบรอ 2/24 สำนักพิมพ์ดารุลกุตุบอัลอิลมียะฮ (ดูสำเนาที่แนบมา)


วิพากษ์หะดีษละหมาดค่ำคืนและถือศีลอดกลางวันนิสฟูชะอฺบาน

เรียบเรียงโดย : Mukhtis Mustofa-Hadith

إِذَا كَانَتْ لَيْلَةُ النَّصْفِ مِنْ شَعْبَانَ فَقُومُوا لَيْلَهَا، وَصُومُوا نَهَارَهَا،
فَإِنَّ اللَّهَ يَنْزِلُ فِيهَا لِغُرُوبِ الشَّمْسِ إِلَى سَمَاءِ الدُّنْيَا، فَيَقُولُ : أَلَا مِنْ مُسْتَغْفِرِلِي فَأَغْفِرَ لَهُ ؟ أَلَا مُسْتَرْزِقٌ فَأَرْزُقَهُ ؟ أَلَا مُبْتَلًى فَأَعَافِيَهُ ؟ أَلَا كَذَا أَلَا كَذَا حَتَّى يَطْلُعَ الْفَجْرُ.

ความหมาย :

“เมื่อค่ําคืนนิสฟูชะอฺบานได้มาถึง พวกเจ้าจงละหมาดในค่ําคืนนั้น และจงถือ ศีลอดในช่วงเวลากลางวันของมัน แท้จริงแล้วอัลลอฮฺจะทรงลงมายังฟ้าชั้นที่ต่ำที่สุดในค่ำคืนนั้น และตรัสว่า : มีผู้ที่ขออภัยโทษต่อฉันไหม แล้วฉันจะอภัยโทษให้แก่เขา ? มีผู้ที่ขอริซกีจากฉันไหม แล้วฉันจะประทานริซกีให้แก่เขา ? มีใครที่ประสบทุกข์ยากไหม แล้วฉันจะประทานให้เขารอดพ้น ? มีผู้ใดอย่างนั้น อย่างนี้ไหม ? จนกระทั้งดวงอาทิตย์ขึ้น"

ตัครีจญ์หะดีษ :

เส้นทางที่ 1 :

หะดีษบทนี้รายงานโดยอิบนุมาญะฮ์(เสียชีวิตปี 273 ฮ) ในหนังสือ “สุนัน” หมายเลข 1388 และอัลบัยฮะกีย์(เสียชีวิตปี 458 ฮฺ) ในหนังสือ “ซุอะบุลอีมาน” หมายเลข 3542 และ “ฟะฎออิลุลเอากอต” หมายเลข 24, ด้วยสายรายงานจาก อิบนุอะบีสับเราะฮ์ จากอิบรอฮีม บิน มุหัมมัด จากมุอาวิยะฮฺ บิน อับดุลลอฮ์ บิน ญะฮ์ฟัร จากพ่อของเขา จากอะลีย์ บินอะ บีฏอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ด้วยสํานวนข้างต้น โดยในสายรายงานของอัลบัยฮะกีย์จะไม่มีกล่าว “จากอะลีย์ บิน อะบีฏอลิบ” และมีการกล่าว “มุหัมมัด บิน อับดุลลอฮ์ บิน ญะฮ์ฟัร จากพ่อของ เขา” แทนที่ “มุอาวิยะฮ์” อิบนุอะบีสับเราะฮ์ ชื่อจริงของเขา “อบูบักร บิน อับดุลลอฮฺ บิน มุหัมมัด บิน อะบีสับ เราะฮฺ อัลกุเราะซีย์ อัลมะดะนีย์” (เสียชีวิตปีที่ 162 ฮฺ) ซึ่งอบูดะวูด เสียชีวิตปี 275 ฮ) กล่าวว่า “เขาคือ มุฟตีเมืองมะดีนะฮ์”

ส่วน
อะลีย์ อัลมะดีนีย์ (เสียชีวิตปี 232 ฮ)
อิบนุมะอื่น(เสียชีวิตปี 233 ฮ)
และอัลบุคอรีย์ (เสียชีวิตปี 256 ฮ) กล่าวว่า “เขาเฏาะอีฟ”

อิมามอะหมัด(เสีชีวิตปี 241 ฮ) กล่าวว่า “เขาเป็นคนชอบโกหก”

อันนะสาอีย์(เสียชีวิตปี 303 ฮ) กล่าวว่า “มัตรูก
อิบนุหิบบาน (เสียชีวิตปี 354 ฮฺ) กล่าวว่า “เขารายงานหะดีษเมาฎูอฺเป็นส่วนมาก โดยเฉพาะจากคนที่น่าเชื่อถือ ไม่อนุญาตให้มีการบักทึกหะดีษขอบเขาและนําไปใช้เป็นหลักฐานโดยที่อิมามอะหมัดกล่าวว่า เขาเป็นคนชอบโกหก”

อิบนุอะดีย์ (เสียชีวิตปี 365 ฮฺ) “หะดีษส่วนมากที่เขารายงานล้วนแล้วไม่ถูกต้อง ซึ่งนับว่า เขาเป็นหนึ่งจากคนที่ปลอมหะดีษ

และอิบนุหะญัร (เสียชีวิตปี 856 ฮฺ) กล่าวว่า “ผู้คนตัดสินว่าเขาเป็นจอมกุหะดีษ

- (ดูหนังสือ “ตะฮ์ซีบอัตตะฮ์ซับ 4/489, ตะฮ์ซีบ อัลกะมาลฯ 33/102 และตักรีบ อัตตะฮ์ซับ 1116)

เส้นทางที่ 2 :

หะดีษบทนี้รายงานโดยอัลบัยฮะกีย์(เสียชีวิตปี 458 ฮฺ) ในหนังสือ “ชุอะบุล อีมาน” หมายเลข 3559 ด้วยสายรายงานจากอบูญะฮ์ฟัร อะหมัด บิน มุหัมมัด บิน ญาบิร จากอะหมัด บิน อับดุลกะรีม จากคอลิด อัลทิมคีย์ จากอุษมาน บิน สะอีด บิน กะษีร จากมุหัม มัด บิน อัลมุฮาญิร จากอัลหะกัม บิน อุทัยบะฮ์ จากอิบรอฮีม จากอะลีย์ ด้วยกับสํานวน

رأيت رسول الله صلى الله عليه وسلم ليلة النصف من شعبان قام فصلى أربع عشرة ركعة، ثم جلس بعد الفراغ، فقرأ بأم القرآن أربع عشرة مرة ، قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ} أربع عشرة مرة، و(قُلْ أَعُوذُ بِرَبِّ الْفَلَقِ أربع عشرة مرة، و{قُلْ أَعُوذُ بِرَبِّ النَّاسِ أربع عشرة مرة، وآية الكرسي مرة و{لَقَدْ جَاءَكُمْ رَسُولٌ مِنْ أَنْفُسِكُمْ} الآية ، فلما فرغ من صلاته، سألته عما رأيت من صنيعه قال : من صنع مثل الذي رأيت كان له كعشرين حَجَّةً مبرووةً، وصيام عشرين سنةً مقبولة
فإن أصبح في ذلك اليوم صائمًا كان له كصيام سنتين: سنةٍ ماضية، وسنةٍ مستقبلة

ความหมาย

“ฉันเห็นท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ละหมาดในค่ำคืนนิศฟูชะอ บานจํานวน 14 ร็อกอะฮ์ หลังจากนั้นท่านได้นั่ง แล้วอ่านซูเราะฮ์อัลฟาติหะฮ์ 14 ครั้ง สูเราะฮ์ อัลอิคลาศ 14 ครั้ง สูเราะฮ์อัลฟะลัก 14 ครั้ง สูเราะฮ์อันนาส 14 ครั้ง อายะฮ์กุรซีย์ 1 ครั้งและ อ่านอายะฮ์ “วะละกอดญาอะกุม เราะสูลุน มิน อันฟุสิกุม...” หลังจากเสร็จสิ้นจากการละหมาด ฉันได้ถามท่านนบีในสิ่งที่ท่านได้ปฏิบัติ ท่านนบีตอบว่า : ผู้ใดที่ปฏิบัติอย่างที่เจ้าเห็นฉันปฏิบัติ เขา จะได้รับผลบุญเท่ากับการหาฮัจญ์มับรูร 20 ปี ผลบุญการถือศีลอดที่ถูกตอบรับแล้ว 20 ปี หากเช้า รุ่งขึ้น(วันที่ 15 ซะ บาน)เขาได้ถือศีลอด เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับการถือศีลอดสองปี คือ ปีที่ผ่าน มาและปีที่จะมาถึง”

อัลบัยฮะกีย์(เสียชีวิตปี 458 ฮ) กล่าวว่า “อิมามอะหมัด กล่าวว่า : เหมือนว่าหะดีษนี้จะ เป็นหะดีษเมาฏูย์ และเป็นหะดีษมุงกัร ในสายรายงานก่อนหน้าอุษมาน บิน สะอีด ล้วนแล้วเป็น ผู้รายงานที่มัจญ์ฮูลหรือไม่เป็นที่รู้จัก
- (ดูหนังสือ “ซุอะบุลอีมาน” หมายเลข 3559)

และผู้รายงานในสายรายงานก่อนหน้าอุษมาน บิน สะอีด ได้แก่
1) อบูญะ ฟัร อะหมัด บิน มุหัมมัด บิน ญาบิร
2) อะหมัด บิน อับดุลกะรีม
3) คอลิด อัลทิมคีย์ ล้วนแล้วเป็นผู้รายงานที่มัจญ์ ฮูลหรือไม่เป็นที่รู้จัก
- (ดูหนังสือ “ลิสาน อัลมีซาน” (1/527,609)

ส่วนอิบรอฮีม ในสายรายงาน ที่ใกล้เคียง คือ “อิบรอฮีม อัตตัยมีย์” เนื่องด้วยเขาเป็นที่รู้ กันว่ามักจะรายงานจากพ่อของเขา จากอะลีย์ บิน อะบีฏอลิบ ซึ่งจะแตกต่างกับ “อิบรอฮีม อันะ เคาะอีย์” เพราะส่วนมากแล้วเขาจะรายงานจากอาจารย์ของเขาที่เป็นเศาะหาบะฮ์ คือ อับดุลลอฮ์ บิน มัสอูด บางครั้งกี่รายงานในรูปแบบมุรสัลจากอิบนุมัสอูด จนกระทั่งมีการกล่าวว่า “มุรซัลของ เขาจากอิบนุมัสอูดนั้นเศาะฮีห์”
- (ดูหนังสือ “ญามิอ อัตตะฮ์ศีลฯ” หน้า 141-142)

ดังนั้น

ถ้าเป็นอิบรอฮีม อัตตัยมีย์ แสดงว่าเขาไม่เคยรับฟังหะดีษจากอะลีย์ จึงทําให้สาย รายงานนี้ขาดตอนระหว่าง “อิบรอฮีม” กับ “อะลีย์ บิน อะบีฏอลิบ”
- (ดูหนังสือ “อัลเมาฎอาต” (2/445),

อิบนุลเญาซีย์ (เสียชีวิตปี 458 ฮ) กล่าวว่า “หะดีษนี้เป็นหะดีษปลอม มีสายรายงานที่ อธรรมมาก เสมือนว่าผู้ที่ปลอมแปลงหะดีษนี้ได้เขียนชื่อผู้รายงานไปตามที่ตัวเองมี และได้เขียนชื่อ ผู้รายงานที่ไม่เป็นที่รู้จัก และสายรายงานยังมีผู้รายงานที่ชื่อ “มุหัมมัด บิน อัลมุฮาญัร”

ซึ่งอิบนุ บบาน กล่าวถึงเขาว่า : เขาชอบปลอมหะดีษ
- (ดูหนังสือ “อัลมัจญ์รูยืน” (2/310-311)

แต่อิบนุลเญาซีย์เข้าใจผิดว่าเขาคือ “มุหัมมัด บิน มุฮาญิร อัฏฏอละกอนีย์” เป็นที่รู้จักกัน ว่าเขาคือ “จอมปลอมแปลงหะดีษ” ซึ่งอิบนุหีบบานระบุประวัติของเขาในหนังสือ “อัลมัจญ์รูยีน” แต่ที่ถูกต้อง เขาคือ “มุหัมมัด บิน มุฮาญัร อัลอันซอรีย์ อัซซามีย์” ที่มีสถานะ “เกาะฮ์” เป็นคน ที่รายงานจากเขาโดยอุษมาน บิน สะอีด บิน กะษีร
- (ดูหนังสือ “อัลมุตตะฟิก วัลมุฟตะริก” (3/1859), “ตะฮ์ซีบ อัลกะมาลฯ” (19/377-378 .) และ “มีซาน อัลอิติดาล” (4/49 )

เส้นทางที่ 3 :

หะดีษบทนี้รายงานโดยอิบนุลเญาซีย์(เสียชีวิตปี 597 ฮฺ) ในหนังสือ “อัล เมาฎอาต” หมายเลข 1010 ด้วยสายรายงานจากฮารูน บิน สุลัยมาน จากอะลีย์ บิน อัลหะสัน จากอัษษารีย์ จากลักษ์ จากมุญาฮิด จากอะลีย์ ด้วยกับสํานวน

يَا علي من صلى مائَة رَكْعَة فِي لَيْلَة النِّصْف ، يَقْرَأُ فِي كُلِ رَكْعَةٍ بِفَاتِحَةِ الْكِتابِ وَقَل هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ عَشْرَ مَرَّاتٍ ، قَالَ النَّبِي صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسلم: يَا علي ما من عبد يصلى هَذِهِ الصَّلَوَاتِ إِلَّا قضى الله عز وَجِل لَهُ كُل حَاجَة طَلِهَا تِلْكَ اللَّيْلَةَ ، قيل : يَا رَسُول الله وَإِن كَانَ الله جعله شقيا أيجعله سعيدا قَالَ: والذى نَفسِي بِالْحَقِّ يَا على إِن مَكْتُوب فِي اللَّوْح أن فلان بن فلان خلق شقيا، ويمحوه الله عزوجل، ويجعله سعيدا ، وَيبْعَث الله إِلَيْهِ سبعين أَلْفَ مَلَكٍ يَكْتُبُونَ لَهُ الْحَسَنَاتِ عند ويمحون السَّيِّئَات ويرفعون لَهُ الدَّرَجَاتِ إِلَى رَأس السنة، وَيبْعَث الله عزوجل في جنات عدن سبعين ألف ملك أَو سَبْعمائة ألف ملك، يبنون لَهُ الْمَدَائِن والقصور ويغرسون لَهُ الاشجار مَا لَا عَيْنٌ رَأْتَ وَلَا أُذُنٌ سَمِعَتْ وَلا خَطَرَ عَلَى قلب المخلوقين مثل هَذِهِ الْجنان في كل جنَّة على ما وصفت لكم فِي الْمَدَائِن والقصور والاشجار ، فَإِن مَاتَ من ليلته قبل أن يحِيل الحول مَاتَ شَهِيدًا وَيُعْطِيهِ اللهِ تَعَالَى بِكُل

حرف من قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ في ليلته من ذلك تسعين حوراء لكل حوراء وصيف ووصيفة وسَبْعُونَ ألف عَلْمَانِ وَسَبْعُونَ ألف ولدان وَسَبْعُونَ ألفا قهارمة وَسَبْعُونَ ألفا حِجَابا، وكل مَنْ قَرَأَ قُلْ هُوَ اللَّهُ
أحد في تِلْكَ اللَّيْلَة يكتب لَهُ أجر سبعين شَهيدا، وتقبل صلاته الَّتِي صلاهَا قبل ذَلِكَ، وَتقبل مَا يصلى بغدهَا، وَإِن كَانَ والداه في النَّار دَعَا لَهما أخرجهما الله من النَّار بعد إن لم يشركا بِالله شَيْئا يدخلَانِ الْجنَّة يشفع كل وَاحِد مِنْهُم في سبعين ألفا إلى آخر ثَلَاثَ مَرَّات، قَالَ النَّبِي صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسلم : وَالَّذِي بَعَثَنِي بِالْحَقِّ إِنَّهُ لَا يَخْرُجُ مِنَ الدُّنْيَا حَتَّى يَرَى فِي الْجِنَّةَ مَا خلقه الله أو يرَاهُ، والذي بعثى بِالْحَقِّ إِن الله يبْعَث في كل سَاعَة من سَاعَاتِ اللَّيْل وَالنَّهار وهى أَربع وَعِشْرُونَ سَاعَةِ سبعين ألف ملك يسلمونَ عَلَيْهِ ويصافحونه ويدعونَ لَهُ إِلَى أن ينفخ في الصُّور، ويحشر يَوْمِ الْقِيَامَةِ مَعَ الكرام البررة وَيَأْمُر الْكَاتِبين أن لا يكتبوا على عبدى سَيِّئَة ويكتبوا لَهُ الْحَسَنَاتِ إِلَى أَن يحول عَلَيْهِ الحول، وَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسلم: من صلى هَذِه الصَّلَاة وَهُوَ يُرِيدُ الصَّلَاةِ وَالدَّارِ الْآخِرَةِ يَجْعَل الله لَهُ نَصِيبا من عِنْدِهِ تِلْكَ اللَّيْلَة

ความหมาย
“ผู้ใดที่ละหมาด 100 ร็อกอะฮ์ในค่ําคืนนิศฟูชะอฺบาน โดยอ่านอัลฟาติหะฮ์ใน ทุกโอกอะ และสูเราะฮ์อัลอิคลาส 10 ครั้ง....เขาจะได้รับทุกความปรารถนาที่เขาได้ขอในค่ําคืนนั้น ...อัลลอฮ์จะส่ง 70,000 มะลาอิกะฮ์ไปหาเขา บันทึกความดีและลบล้างความชั่วของเขา....ผู้ใดที่ อ่านซูเราะฮ์อัลอิคลาส อัลลอฮ์จะให้กับเขาทุกหุรุฟ 90 หูรุนอื่นหรือนางฟ้าในสวรรค์....

ลัยษ์ ในสายรายงาน เขาคือ “ลัยษ์ บิน อะบีสุลัยม์ อัลลัยนีย์” ซึ่งอิบนุหะญัร(เสียชีวิตปี 852 ฮ) กล่าวว่า “เขาเฏาะอีฟ และไม่สามารถนําหะดีษเขาเป็นหลักฐานได้”
- ( ดูหนังสือ “ตักรีบ อัตตะฮ์ซีบ” หมายเลข 5685 )

ส่วน “อะลีย์ บิน อัลหะสัน บิน ยะฮ์มัร อัสสามีย์ อัลมิศรีย์” ซึ่งอัดดาเราะกุฎนีย์ (เสียชีวิตปี 385 ฮ) กล่าวถึงเขาว่า “เป็นชาวอียิปต์ที่ชอบโกหก มักรายงานหะดีษบาลจาก ผู้รายงานที่ เกาะฮ์ เช่น จากมาลิก อันเนารี และอิบนุอะบีชอบ์" และอบูอับดิลลาฮ์ อัลหากิม (เสียชีวิตปี 405 ฮ) กล่าวว่า “เขามักรายงานหะดีษเมาฎูอฺ”
- (ดูหนังสือ “ลิสาน อัลมีซาน” (5/513)

อิบนุหีบบาน(เสียชีวิตปี 354 ฮ) กล่าวว่า “ไม่อนุญาตให้เขียนบันทึกหะดีษของเขา”
- (ดูหนังสือ “อัลมัจญ์รูฮีน” (2/114)

อิบนุอะดีย์(เสียชีวิตปี 365 ฮ) กล่าวว่า “และหะดีษเหล่านี้ทั้งหมดของเขาที่รายงาน จากอัษเษารีย์ ล้วนแล้วเป็นหะดีษบาฏิล ไม่มีบทใดที่ถูกต้องจากสุฟยาน อัษเษารีย์เลยแม้แต่บท เดียว” และยังกล่าวอีกว่า “หะดีษเหล่านี้ทั้งหมดและที่ฉันไม่ได้กล่าวตรงนี้ที่เป็นหะดีษของอะลีย์ บิน อัลหะสัน ล้วนแล้วเป็นหะดีษบาล หะดีษทั้งหมดล้วนแล้วไม่มีที่มา ซึ่งเขามีสถานะที่เฏาะอีฟ มากๆ’
- (ดูหนังสือ “อัลกามิล ฟี ภุอะฟาอ์ อัรริญาล” (5/210-211)

อัซซะฮะบีย์ (เสียชีวิตปี 748 ฮ) กล่าวว่า “หะดีษนี้ “บาฏิล” และอะลีย์ เป็นผู้รายงานคน หนึ่งจากผู้รายงานที่ตัดสินให้ทิ้งการบันทึกหะดีษของเขา
- (ดูหนังสือ " มีซาน อัลอิอ์ติดาล" (3/120)

เส้นทางที่ 4 :

หะดีษบทนี้รายงานโดยอัชชะญารีย์(เสียชีวิตปี 542 ฮฺ ) ในหนังสือ “อะ มาลีย์” (2/101) ด้วยสายรายงานจากอบูอิมรอน มูสา บิน อิบรอฮีม อัลมัรวะซีย์ จากมูสา บิน ญะฮ์ฟัร จากอบูญะฮ์ฟัร บิน มุหัมมัด จากมุหัมมัด บิน อะลีย์ จากอะลีย์ บิน อัลหุสัยน์ จากอะลีย์ ด้วยกับสํานวน
ในสายรายงานนี้มีผู้รายงานคนหนึ่งที่ชื่อ “อบูอิมรอน มูลา บิน อิบรอฮีม อัลมัรวะซีย์” ซึ่งอัดดาเราะกุฏนี(เสียชีวิตปี 385 ฮ) กล่าวว่า “มัตรูก”

อัลอุก็อยลีย์ (เสียชีวิตปี 322 ฮ) “มุงกร หะดีษ ไม่มีการรายงานจากเส้นทางอื่นมาสมทบการรายงานของเขา”

และอิบนุอะดีย์(เสียชีวิตปี365 ฮ) กล่าวว่า “เขามีสถานะที่มัจญ์ฮูลหรือไม่เป็นที่รู้จัก มักจะรายงานหะดีษมุงกัรจากผู้รายงานคนอื่นที่เกาะฮ์”

- ( ดูหนังสือ “อัลกามิล ฟี อะฟาอ์ อัรริญาล” (6/348), “มีซาน อัลอิติดาล” (4/199) และ “ลิสาน อัลมีซาน” (8/187-188.)


สรุปสถานะหะดีษ :

เส้นทางที่ 1 :
หะดีษบทนี้รายงานโดยอิบนุมาญะฮ์(เสียชีวิตปี 273 ฮ) ในหนังสือ “สุนัน” หมายเลข 1388 และอัลบัยฮะกีย์ (เสียชีวิตปี 458 ฮฺ ) ในหนังสือ “ชุอะบุลอีมาน” หมายเลข 3542 ซึ่งมีสถานะที่ “มัตรูกหรือเมาฎูอฺ (ปลอม)” ด้วยผู้รายงานที่ชื่อ “อิบนุอะบีสับเราะฮ์”

เส้นทางที่ 2 :
หะดีษบทนี้รายงานโดยอัลบัยฮะกีย์(เสียชีวิตปี 458 ฮฺ ) ในหนังสือ “ชุอะบุล อีมาน” หมายเลข 3559 ซึ่งมีสถานะที่ “เมาฎูอฺหรือปลอม” ดั่งที่อิมามอะหมัดและอิบนุลเญาซีย์ ตัดสินและยังมี “สายรายงานขาดตอน” ระหว่าง “อิบรอฮีม” กับ “อะลีย์ บิน อะบีฏอลิบ”

เส้นทางที่ 3 :
หะดีษบทนี้รายงานโดยอิบนุลเญาซีย์ (เสียชีวิตปี 597 ฮฺ ) ในหนังสือ “อัล เมาฎอาต” หมายเลข 1010 ซึ่งมีสถานะที่ “เมาฎูอฺ หรือปลอม” ด้วยผู้รายงานที่ชื่อ “อะลีย์ บินอัลหะสัน บิน ยะอ์มัร อัสสามีย์ อัลมิศรีย์”

เส้นทางที่ 4 :
หะดีษบทนี้รายงานโดยอัชชะญารีย์(เสียชีวิตปี 542 ฮฺ ) ในหนังสือ “อะ มาลีย์" (2/101) ซึ่งมีสถานะเป็นหะดีษ “มัตรูกหรืออ่อนมากๆ” ด้วยผู้รายงานที่ชื่อ “อบูอิมรอน มูสา บิน อิบรอฮีม อัลมัรวะซีย์” วัลลอฮุอะลัม

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564

ตัดเเต่งเคราได้หรือไม่ ?





ตัดเเต่งเคราได้หรือไม่ ?





การไว้เครานั้น เป็นซุนนะฮ์ของท่านนบีมุฮัมหมัดﷺเเละบรรดานบีทุกท่าน ซึ่งได้ปรากฏหลักฐานมากมายจากซุนนะฮ์ของท่านนบีﷺ ด้วยสำนวนที่เเตกต่างกันออกไป ที่ล้วนเเล้วเเต่บ่งชี้ว่าการไว้เครานั้นเป็นซุนนะฮ์ เเละถูกสั่งใช้ให้ปฏิบัติ ดังหะดีษต่อไปนี้ :



หะดีษของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา
ท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :

خَالِفُوا الْمُشْرِكِينَ، أَحْفُوا الشَّوَارِبَ، وَأَوْفُوا اللِّحَى.

จงทำให้เกิดความเเตกต่างกับบรรดามุชริกีน จงตัดหนวด เเละจงไว้เครา
(บันทึกโดยมุสลิม)


หะดีษของท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ
ท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :

جُزُّوا الشَّوَارِبَ، وَأَرْخُوا اللِّحَى، خَالِفُوا الْمَجُوسَ.

"จงตัดเล็มหนวด เเละจงไว้เครา จงทำให้เเตกต่างกับบรรดาผู้บูชาไฟ"
(บันทึกโดยมุสลิม)

หะดีษของท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา
ท่านนบีﷺกล่าวว่า :

خَالِفُوا الْمُشْرِكِينَ، وَفِّرُوا اللِّحَى، وَأَحْفُوا الشَّوَارِبَ.

"จงทำให้ต่างกับบรรดามุชริกีน จงไว้เคราให้มาก เเละจงตัดหนวด"
(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์)


หะดีษของอิบนุอุมัรเช่นเดียวกัน
ท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :

أَعْفُوا اللِّحَى، وَأَحْفُوا الشَّوَارِبَ.

"จงไว้เครา เเละจงตัดหนวด" 
(บันทึกโดยอันนะซาอีย์)


เเละ
อิบนุ อัซซะอ์ด ได้รายงานว่า :มีชายคนหนึ่งจากบรรดาผู้บูชาไฟได้มาหาท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม)ซึ่งเขาเป็นคนที่โกนเคราเเละไว้หนวดเยอะมาก ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็ได้ผินออกจากเขา เเละเมื่อเขาได้มายังท่าน ท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็กล่าวว่า :"ผู้ใดสั่งให้เจ้ากระทำเช่นนี้" เขาก็ได้ให้คำตอบเเก่ท่านนบี เเละท่านนบี(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็กล่าวว่า : "เเต่อัลลอฮ์ทรงสั่งใช้ให้ฉันตัดสิ่งนี้(หมายถึงหนวด) เเละไว้สิ่งนี้(หมายถึงเครา)


หลักฐานข้างต้น ล้วนเเล้วได้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่ามีซุนนะฮ์ให้ไว้เคราเเละตัดหรือขลิบหนวดเพื่อให้เกิดความเเตกต่างกับบรรดามุชริกีน ...


การโกนเครานั้นเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม)
โดยมติเอกฉันท์ของปวงปราชญ์(อิจมาอ์)


อิหม่ามอิบนุฮัซม์ได้รายงานอิจมาอ์ไว้ถึงการ
ห้ามการโกนเคราใน"مراتب الإجماع"ว่า :

"พวกเขาเห็นพ้องกันว่าการโกนเคราทั้งหมดนั้นเป็นบาป ไม่อนุญาต"


อิหม่ามอิบนุอับดิลบัร อัลมาลิกีย์ กล่าวไว้ใน"التمهيد" ว่า :
"การโกนเคราเป็นสิ่งต้องห้าม(หะรอม) 
ไม่มีผู้ใดกระทำนอกจากบรรดากระเทย"


ชัยค์ อะลีย์ มะห์ฟูซ เป็นหนึ่งในนักวิชาการของ
มหาวิทยาลัยอัลฮัซฮัร ได้กล่าวว่า :
"มัซฮับทั้งสี่ได้เห็นพ้องกันว่าจำเป็นต้องไว้เคราเเละห้ามโกนมัน"
(الإبداع في مضار الابتداع)จึงทราบได้ว่าทรรศนะนี้เป็นทรรศนะของนักวิชาการส่วนมาก(ญุมฮูร)


การตัดเคราบางส่วนออก หรือการตกเเต่งเคราที่ไม่ถึงขั้นของการโกนนั้น เป็นประเด็นที่นักวิชาการได้มีข้อขัดเเย้งกัน ออกเป็น 3 ทรรศนะ ซึ่งเกิดจากการขัดเเย้งในเป้าหมายของคำว่า "ไว้เครา-الإعفاء" ที่ปรากฏในหะดีษ ว่าการไว้เคราในที่นี้คือการไว้ยาวขนาดไหน 
มีขอบเขตในการไว้หรือไม่


ซึ่งชัยค์ ศอลิห์ บิน อับดุลอะซีซ อาลุชชัยค์ หะฟิซอฮุลลอฮ์ 
ได้เเจกเเจงเรื่องนี้ไว้
(อธิบายอะกีดะฮ์อัฏฏอหาวียะฮ์ เทปที่ 28) ดังนี้ :


ทรรศนะที่หนึ่ง : 
เป็นทรรศนะของนักวิชาการของเรา ที่ได้มีความเห็นว่าการไว้เคราคือการปล่อยไปตามสภาพของมัน โดยไม่มีการตัดเเต่งใด ๆ ทั้งสิ้น ดังกล่าวนี้เนื่องจากยึดตามผิวเผินของตัวบทหลักฐานต่าง ๆ



ทรรศนะที่สอง :
เป็นทรรศนะของ อิหม่ามอะหมัด(รอหิมาฮุลลอฮ์) เเละบรรดาสหายของท่าน ได้มีความเห็นว่าการไว้เคราโดยการปล่อยมันไปตามสภาพของมันนั้นเป็นซุนนะฮ์ เเละการตัดเคราออกบางส่วนที่ไม่ถึงขั้นการโกนนั้นเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ(มักรูฮ์) ซึ่งอิหม่ามอะหมัดก็ได้ตัดเคราของท่านเหมือนกัน ดังที่อิซฮาก บิน ฮานิอ์ ได้กล่าวไว้ใน"المسائل" อีกทั้งมีรายงานมาจากบรรดาศอหาบะฮ์บางท่าน ว่าพวกเขาได้ตัดเคราที่เกินหนึ่งกำมือ เช่น ท่านอิบนุอุมัร ท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ รอฎิยัลลอฮุอันฮุมา



ทรรศนะที่สาม :
มีความเห็นว่าการไว้เครายาวเกินหนึ่งกำมือเป็นบิดอะฮ์ ไม่เป็นที่อนุญาต ซึ่งเป็นทรรศนะของอิหม่ามอัลอัลบานีย์ รอหิมาฮุลลอฮ์ ซึ่งเป็นทรรศนะที่ไม่มีหลักฐานรองรับ

ดังกล่าวนี้คือทรรศนะของบรรดาอุลามาอ์เกี่ยวกับการไว้เครา(الإعفاء)


จึงสามารถกล่าวได้ว่า :
เป้าหมายของคำว่าไว้เครา(الإعفاء)นั้น ที่ใกล้เคียงที่สุดโดยการพิจารณาจากการกระทำของบรรดาศอหาบะฮ์นั้น การไว้เคราไม่ได้มีขอบเขต(ไม่ว่าจะด้วยกำมือหรือสิ่งใดก็ตาม-ผู้แปล) 

เเต่ทว่าสิ่งที่ถูกบัญชาใช้ให้ปฏิบัติคือการที่จะต้องไม่เหมือนกับบรรดาผู้ที่โกนมัน หรือตัดมันให้สั้นจนใกล้เคียงกับการโกน
(สรุปใจความสำคัญจากคำพูดชัยค์ ศอลิห์ อาลุชชัยค์






จากที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถที่จะสรุปได้ว่า :
เป้าหมายของการไว้เครา คือการทำให้เกิดความเเตกต่างกับ
บรรดามุชริกีนที่พวกเขาทำการโกนเครากัน เเละดังที่ได้ทราบไปเเล้วว่าการไว้เครานั้นไม่ได้มีขอบเขต กล่าวคือ จะต้องไว้เคราในปริมาณที่เป็นที่รู้กันว่ามันคือการไว้เครา เเละอนุญาตให้ตัดเคราที่ยาวเกินหนึ่งกำมือได้ ดังที่เป็นทรรศนะของนักวิชาการส่วนใหญ่

ส่วนการตัดเคราที่สั้นกว่าหนึ่งกำมือนั้น ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาตเช่นเดียวกัน ดังที่ปรากฏจากท่านอิหม่ามหะซัน อัลบัศรีย์ เเละอิหม่ามอิบนุญะรีร อัฏฏ็อบรีย์ ว่าอนุญาตให้ตัดเคราสั้นกว่าหนึ่งกำมือได้ 
เเต่จะต้องไม่สั้นมากจนน่าเกลียด 
หรือสั้นจนถึงระดับเดียวกับการตัดหนวด 
(ดังที่อิบนุหะญัรได้ถ่ายทอดคำพูดของอิหม่ามอัฏฏ็อบรีย์ไว้ในฟัตหุลบารีย์ 11/428)


อย่างไรก็ตาม 
ที่ประเสริฐที่สุดคือการปล่อยเคราให้ยาวโดยไม่ตัดส่วนใด
ของมันเลย ดังการกระทำของท่านนบีﷺ
วัลลอฮุอะลัม - อัลลอฮ์ทรงรู้ดีที่สุด

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2564

การให้สลามด้วยคำว่า "สลาม" ได้หรือไม่ ?

การให้สลามด้วยคำว่า "สลาม" ได้หรือไม่ ?

อัสลามุอาลัยกุมวะเราะฮฺมาตุลลอฮ วะบะรอฮฺกาตุฮฺ

เรามาดูถึงความสำคัญของการให้สลามกันเสียก่อนนะ

จาก อบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ...

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وسلم: «وَالَّذي نَفْسي بِيَدِهِ لاَ تَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ حَتَّى تُؤْمِنُوا، وَلاَ تُؤْمِنُوا حَتَّى تَحَابُّوا، أَوَلاَ أَدُلُّكُمْ عَلَى شَىْءٍ إِذَا فَعَلْتُمُوهُ تَحَابَبْتُمْ؛ أَفْشُوا السَّلاَمَ بَيْنَكُمْ»

ความว่า 

ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า ...

ขอสาบานกับผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า พวกท่านจะไม่เข้าสวรรค์จนกว่าพวกท่านจะศรัทธา และพวกท่านจะไม่ศรัทธาจนกว่าพวกท่านจะรักใคร่ปรองดองกัน พวกท่านจะเอาไหม ฉันจะบอกวิธีหนึ่งที่เมื่อพวกท่านปฏิบัติแล้ว พวกท่านก็จะรักใคร่ซึ่งกันและกัน ? จงแพร่สลามในหมู่พวกท่าน” 
(บันทึกโดยมุสลิม : 54)

จากคำถามข้างต้น คงต้องรวมประเด็นการตอบไว้ดังนี้

ที่ถามว่า ...

1.การเขียนคำให้สลามและรับสลาม หากเราจะเขียนเพียงคำว่าสลามหรือรับสลาม ถือว่าใช้ได้ไหม ?

2.และหากเขาส่งคำเพียงคำว่า "สลาม" ถือว่าเขาได้ให้สลามเราแล้วหรือยัง และหากเขาตอบเพียงคำว่า "รับสลาม" ถือว่าเขานั้นได้รับสลามเราแล้วหรือยังและการใช้ไอคอนในการให้สลามและรับ สามารถทำได้ไหม (การให้สลามของเราสมบูรณ์ไหม) ?

ก่อนอื่นเราคงต้องมาดูหลักการศาสนาก่อนว่า การทักทายพี่น้องมุสลิมนั้น หลักการได้ส่งเสริมและมีรูปแบบ วิธีการที่ศาสนากำหนดนั้นไว้อย่างไร

วิธีการและรูปแบบตามฉบับของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัมในการให้สลาม

จากอิมรอน บิน หุศ็อยน์ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า ...

جَاءَ رَجُلٌ إِلَى النَّبِىِّ صلى الله عليه وسلم، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ. فَرَدَّ عَلَيْهِ السَّلاَمَ، ثُمَّ جَلَسَ. فَقَالَ النَّبِىُّ صلى الله عليه وسلم: «عَشْرٌ». ثُمَّ جَاءَ آخَرُ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ. فَرَدَّ عَلَيْهِ، فَجَلَسَ. فَقَالَ: «عِشْرُونَ». ثُمَّ جَاءَ آخَرُ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ. فَرَدَّ عَلَيْهِ، فَجَلَسَ. فَقَالَ: «ثَلاَثُونَ».

ความว่า : 

มีชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม แล้วกล่าวว่า “อัสสลามมุอะลัยกุม” ท่านจึงตอบสลาม แล้วเขาก็นั่งลง แล้วท่านนบีก็บอกว่า “ได้สิบ”
ต่อมามีคนอื่นมาหาอีก เขากล่าวว่า “อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ” ท่านจึงตอบกลับ แล้วเขาก็นั่งลง ท่านบอกว่า “ได้ยี่สิบ”

ต่อมาก็มีคนอื่นมาหาอีก เขากล่าวว่า “ อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ วะบะเราะกาตุฮฺ” ท่านก็ตอบกลับ แล้วเขาก็นั่งลง ท่านบอกว่า “ได้สามสิบ” 

( เป็นหะดีษ เศาะฮีหฺ บันทึกโดย อบู ดาวูด : 5195 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อบี ดาวูด : 4327, 
อัต-ติรมิซีย์ : 2689 ดู เศาะฮีหฺ สุนัน อัต-ติรมิซีย์ : 2163 )

และมาดูตัวอย่างของการรับสลาม ผู้ที่ไม่อยู่ต่อหน้า

ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา ได้รายงานว่า ...
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวกับเธอว่า ...

«يَا عَائِشَةُ، هَذَا جِبْرِيلُ يَقْرَأُ عَلَيْكِ السَّلاَمَ» . فَقَالَتْ : وَعَلَيْهِ السَّلاَمُ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ . تَرَى مَا لاَ أَرَى.

ความว่า 

“โอ้ อาอิชะฮฺ ! มลาอิกะฮฺญิบรีลนี่ได้ให้สลามแก่เธอ” เธอจึงตอบว่า “วะอะลัยฮิสสะลาม วะเราะฮฺมะตุลลอฮิ วะบะเราะกาตุฮฺ”  ท่านมองเห็นในสิ่งที่ฉันมองไม่เห็น 

(บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ : 3217 สำนวนนี้เป็นของท่าน, มุสลิม : 2447)

-----------------------

และดั่งคำฟัตวาจาก Maulana Mahmood Ahmed Mirpuri ณ กรุงริยาด 
ประเทศซาอุดี อาระเบีย

"อัสลามุอาลัยกุม" หรือ เพียงแค่ "สลาม"

ถามว่า 

บางคนมีแนวโน้มว่าจะกล่าว เพียงแค่ "สลาม" หรือ "สลาม อาลัยกุม" 
แทนที่จะพูดว่า "อัสลามุอาลัยกุม" สิ่งนี้เป็นที่อนุญาตหรือไม่ ?

Zein al-Abideen, Halifax
------------------------
คำตอบ 

"สลาม อาลัยกุม" เป็นที่อนุญาตเช่นกัน แต่ไม่เป็นที่แนะนำให้ใช้แทน "อัสลามมุอาลัยกุม" 
ผู้ที่กล่าวเพียงคำว่า "สลาม" นั้นไม่ถูกต้อง และ เป็นเพียงแฟชั่นสมัยใหม่ อัลกุรอานได้สั่งว่า เราควรทักทายซึ่งกันและกันด้วยคำที่เหมาะสมนั่นก็คือ คำว่า "อัสลามุอาลัยกุม วะเราะมะตุลลอฮ วะบารอกาตุฮ"
Country Of Origin : Saudi Arabia
State : Riyadh
Author/Scholar : The Late Maulana Mahmood Ahmed Mirpuri

-----------------------
http://infad.usim.edu.my/modules.php?op=modload&name=News&file=article&sid=3064

ฉะนั้น 

จากคำฟัตวาข้างต้นและหลักฐานจากหะดิษที่นำเสนอมานั้น ย่อมบ่งบอกว่า 
เรื่องของการให้สลามนั้น เป็นเรื่องของ อิบาดะห์

ดังนั้น 

การให้สลามหรือการรับสลาม หากมิได้เป็นไปตามแบบอย่างและวิธีการกล่าวตามที่ศาสนากำหนดไว้ ก็ไม่เป็นที่อนุญาตในการที่เรานั้นจะใช้คำอื่นแทน หรือถ้อยคำใดๆอื่น หรือสัญลักษณ์(ไอคอน)อื่นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายๆสำหรับบรรดาหนุ่มๆสาวในปัจจุบัน เพราะการให้สลามนั้น ถือเป็นอิบาดะห์ ที่จะนำมาซึ่งการได้รับผลบุญในการให้สลาม และนำมาซึ่งการที่ผู้รับสลามนั้น จำเป็นที่จะต้องรับสลาม เพราะการให้สลามนั้นเป็นสุนนะห์ แต่การรับสลาม คือ วาญิบนั่นเอง

3. หรือจะต้องให้เขาเขียนว่า "อัสลามุอาลัยกุม" ถึงจะเป็นการให้สลาม และรับว่า "วะอาลัยกุมสลาม" ถึงจะเป็นการรับ อย่างที่น้อยที่สุดในการเขียน

ดั่งที่นำเสนอหล่ะนะ....หรือจะ“ได้แค่สิบ”หรือจะ “ได้ยี่สิบ” แล้วใครเล่าจะไม่เอา "สามสิบ"...
ว่าไหม
--------------------------------------

ข้อแนะนำและฉุดคิด

การให้สลามหรือการรับสลาม โดยใช้ถ้อยคำเพียงสั้น ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายดายและไม่ยุ่งยากต่อ การกล่าวหรือการพิมพ์ หรือสาเหตุใดก็ตามแต่ ดั่งที่ปรากฎต่อบรรดาหนุ่ม ๆ สาว ๆ ในปัจจุบันนั้น ไม่เพียงแต่ จะไม่ได้รับผลบุญซึ่งการกระทำที่ผิดรูปแบบและวิธีการที่ศาสนาได้กำหนดไว้มาก่อนแล้วว่า จะต้องกล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ ถึงจะได้รับผลบุญเท่านั้นเท่านี้ 

แต่เกรงว่าจะเป็นการอุตริกรรมในเรื่องราวของศาสนา อันเนื่องจากเราได้บัญญัติรูปแบบ วิธีการ สัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่าย ๆ และเกิดความเข้าใจที่ผิด คิดว่านั่นคือสิ่งที่ศาสนาอนุญาตและสามารถกระทำได้เพราะมันคือรูปแบบหนึ่งที่ท่าน รอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัมเคยกล่าวย่อเป็นสัญลักษณ์ไว้หรือบรรดาศอฮาบะห์เคยใช้ในการกล่าวเช่น เดียวกัน..

หากเราจะคิดว่า 

ใช่ซิ ความล้าหลังในสมัยอดีตที่ยังไม่มีเทคโนโลยีอย่างสังคมปัจจุบันจะเป็นเหตุ หนึ่งของการที่เรานั้นจะคิดว่า ในสมัยนั้น ก็ต้องใช้ คำกล่าว ถ้อยคำแบบนั้นอยู่แล้วก็ในเมื่อเทคโนโลยีในการผลิตไอคอน หรือสัญลักษณ์ต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายๆนั้น ก็คงจะมีขึ้นไม่ได้เป็นแน่ แต่พึงทราบเถิดนะว่า ปัจจัยความเอื้ออำนวยในสมัยอดีต ต่อการที่จะคิดค้น ไอคอนของการกล่าวการให้สลามหรือการรับสลามนั้น ก็คงมีไม่น้อยกว่าในสมัยปัจจุบันเหมือนกัน เพราะใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นสิ่งที่สามารถจดบันทึกและการสรรหาคำพูด มากล่าวเช่นเดียวกัน.....

ว่าไหม....

วัลลอฮฮุอะลัม


วัสลามุอาลัยกุม วะเราะฮฺมาตุลลอฮิ วะบะเราะฮฺกาตุฮฺ
-----------------------------------------------------------------------------------------------

ท้ายด้วย วัสสลามุอาลัยกุม หรือเพียงแค่ "วัสสลาม"

ถาม - อนุญาตให้ลงท้ายจดหมายด้วย "วัสลาม"แทนที่จะกล่าวว่า “วัสสลามุอาลัยกุม” หรือไม่?
--------------------------------------------------------

การสรรเสริญทั้งมวลเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ

ตอบ - 

การลงท้ายจดหมายด้วยคำว่า “วัสลาม” ถือว่ากระทำได้ และไม่จำเป็นต้องเขียนให้จบประโยค (เช่น วัสลามุอะลัยกุม) เพราะการเขียนย่อว่า “วัสลาม” นั้น เจตนาของผู้เขียนก็คือ “วัสลามุอะลัยกุม” แต่ถ้าผู้ส่งจะลงท้ายด้วย “วัสลามุอะลัยกะ” หรือ “วัสลามุอะลัยกุม” ก็เป็นการดีกว่า 
ท่านอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ ได้เขียนคำลงท้ายจดหมายที่ท่านส่งไปยังท่านชุร็อยหฺ ว่า “วัสลามุอะลัยกะ” 
[บันทึกโดย อันนะสาอีย์ 5304] 

เช่นเดียวกับท่านอุมัรฺ บิน อับดิลอะซีซ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ที่ลงท้ายจดหมายของท่านไปหาคนหนึ่งจากคนงานของท่านด้วยประโยคดังกล่าวเช่น เดียวกัน 
[ดู อัลมุวัฏเฏาะอ์ บท การญิฮาด]


Credit : http://www.muslimcool.com/forum/index.php?topic=229.0

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2564

เตาบะฮฺจากบาปเดิมซ้ำเเล้วซ้ำเล่านับเป็นการเย้ยหยันต่ออัลลอฮฺหรือไม่ ?

เตาบะฮฺจากบาปเดิมซ้ำเเล้วซ้ำเล่า 
นับเป็นการเย้ยหยันต่ออัลลอฮฺหรือไม่ ?

คำถาม : 

ท่านผู้นี้ถามว่า : 

เขามักจะพลั้งพลาดไปทำบาปใหญ่อยู่อย่างสม่ำเสมอ เเต่หลังจากนั้นเขาก็ทำการอาบน้ำละหมาด ละหมาดสองร็อกอะฮฺ เเละขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺจากบาปนั้น หลังจากนั้นเขาก็กลับไปทำบาปเดิมอีกครั้งหนึ่ง เเล้วเขาก็อาบน้ำละหมาดอีก เเละละหมาดสองร็อกอะฮฺ เเละขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺเช่นเคย อยากทราบว่าอะไรคือทางออกของเรื่องนี้ ?

คำตอบ : 

ทางออกของมันก็คือสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้นั่นแหละ นั่นคือเตาบะฮฺกลับเนื้อกลับตัว เเละอย่าได้สิ้นหวังในความเมตตาของอัลลอฮฺ เขาจงเตาบะฮฺซ้ำเเล้วซ้ำเล่า ทุกครั้งที่เขาทำบาปนั้นซ้ำ เขาก็จงเตาบะฮฺซ้ำอีก นี่คือเครื่องหมายของความดีงาม การที่เขาเตาบะฮฺซ้ำเเล้วซ้ำเล่า เเละเขาก็เกรงกลัวอัลลอฮฺ อัซซะวะญัล

ผู้ถาม : 
เเล้วสิ่งนี้ถูกนับเป็นการเย้ยหยันต่ออัลลอฮฺหรือไม่ ?

คำตอบ : 

ไม่ใช่ มันไม่ใช่การเย้ยหยันหรอก นี่เป็นความเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺต่างหากเล่า การที่เขาเตาบะฮฺซ้ำเเล้วซ้ำเล่านั้น นี่เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเขายำเกรงอัลลอฮฺ เเละในหัวใจของเขายังมีชีวิตอยู่

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2564

เอาศาสนามาเล่นการเมือง



เอาศาสนามาเล่นการเมือง

มีคำหนึ่งที่ได้ยินบ่อยในแวดวงการเมืองคือ
"ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร"
"พอทัศนะไม่ตรงกันก็ตีจากพอทัศนะตรงกันก็จูบปาก"

ใครมีนิสัยแบบนี้ ก่อนจะศึกษาความรู้จากผม และขอเป็นเพื่อนก็คิดให้ดีก่อนเพราะผม ไม่ได้สอนและเผยแพร่ศาสนาให้ถูกใจคนทุกเรือง บางทีเห็นตรงกันและบางที่เห็นต่างกัน จะมาบีบบังคับว่าถ้าตามฉันคือเอานบีถ้าไม่ตามฉันไม่เอานบี ผมมีวุฒิภาวะที่จะตัดสินใจว่า อะไรควรหรือไม่ควร ไม่ใช่พอไม่ตรงกันแล้วมาแสดงความก้าวร้าวใส่

ท่านอิหม่ามอิบนุลก็อยยิม(ร.ฮ)กล่าวว่า

وقوع الاختلاف بين الناس امر ضروري لابد منه لتفاوت اغراضهم وافهامهم وقوى ادراكهم ولكن المذموم بغي بعضهم على بعض وعدوانه.

ความเห็นขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์คือสิ่งที่จำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจุดประสงค์ของพวกเขาแตกต่างกัน,ความเข้าใจของพวกเขาแตกต่างกันและพลังความสามารถแห่งการรับรู้ของพวกเขาแตกต่างกัน แต่สิงที่ถูกตำหนิคือการละเมิดซึ่งกันและกันและการเป็นศัตรูกัน
- الصواعق المرسلة» (2/519).

อนึ่งการตามผู้รู้ไม่ว่าใครก็ตามอย่าผูกขาดว่าคนนี้ต้องถูกเสมอ ไม่มีผิด

وقال الإمام مالك رحمه الله تعالى: «كل يؤخذ من قوله ويردّ إلا صاحب هذا القبر

และอิหม่ามมาลิก(ร.ฮ)กล่าวว่าทุกคนคำพูดของเขาถูกเอาและถูกปฏิเสธยกเว้นเจ้าของหลุมศพนี้(หมายถึงท่านร่อซูล)

- มัจญมัวะอัรรอสาอีลอัลหะดีษียะฮ หน้า 807

__________

เพราะฉะนั่นอย่าผูกติดกับคนใดคนหนึ่งแล้วมองว่าคนที่ไม่เหมือนกับคนที่ตนยึดคือคนที่ผิด โดยไม่ศึกษารายละเอียดในประเด็นนั้น ๆ

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
8/8/64











การฝังมัยยิตบริเวณบ้านได้ไหม?



การฝังมัยยิตบริเวณบ้านได้ไหม?

ถาม

อยากทราบหู่ก่มการฝังมายัตใว้ที่บริเวณบ้านหน่อยครับ/ว่ามีตัวบทหลักฐานหรือไม่

ตอบ

อัลหัมดุลิลละฮขอตอบดังนี้

قال النووي رحمه الله : " يجوز الدفن في البيت وفي المقبرة ، والمقبرة أفضل بالاتفاق.." انتهى من شرح المهذب (5/245

อันนะวาวีย์(ร.ฮ)กล่าวว่า ...
"อนุญาตให้ฝังในบ้านและในสุสาน(กุโบร์)และสุสานนั้นประเสริฐกว่าด้วยการเห็นฟ้องของปราชญ์
- มัจญมัวะชัรหอัลมุฮัซซับ 5/245

هل يجوز دفن الميت داخل فناء الدار؟

อนุญาตให้ฝังคนตายในลานบ้านได้หรือไม่?

الجواب :
نعم يجوز، لكن الدفن في مقابر المسلمين أولى وأفضل، وإذا دفن في فناء الدار فتجب المحافظة على القبر وعدم إهانته، كما لا يجوز تعظيمه.

คำตอบ :

ครับ อนุญาต แต่การฝังศพในสุสานของชาวมุสลิมนั้นดีกว่าและประเสริฐกว่า ถ้าฝังศพไว้ที่ลานบ้าน ต้องรักษาหลุมศพไว้ไม่ดูถูกดูหมิ่นหลุมศพ ดังเช่นไม่อนุญาตให้เทิดทูนบูชาหลุมศพ

"فتاوى الشيخ نوح علي سلمان" (فتاوى الجنائز / فتوى رقم/8




ถามหาหลักฐานละหมาดที่บ้านช่วงวิกฤตโควิด

ถามหาหลักฐานละหมาดที่บ้านช่วงวิกฤตโควิด 


ท่านรอซูล ศ็อลฯ ได้กล่าวว่า ...

مَنْ سَمِعَ النِّدَاءَ فَلَمْ يَأْتِهِ فَلَا صَلاةَ لَهُ إِلا مِنْ عُذْرٍ

ใครก็ตามที่ได้ยินอะซาน (ได้ยินการประกาศเวลาละหมาด) และไม่ตอบรับ (คือไม่ไปละหมาดที่มัสยิด)การละหมาดของเขาใช้ไม่ได้ นอกจากจะมีอุปสรรค
(บันทึกโดย อิบนุมาญะและท่านอื่นๆ ด้วยสายรายงานที่ดี)

: عبدالله بن عباس | المحدث : الألباني | المصدر : صحيح ابن ماجه
الصفحة أو الرقم: 652 | خلاصة حكم المحدث : صحيح
التخريج : أخرجه أبو داود (551) مطولاً، وابن ماجه (793) واللفظ له
عن ابن عباس أن النبي - صلى الله عليه وسلم - قال: من سمع النداء فلم يأته، فلا صلاة له إلا من عذر. قالوا: يا رسول الله، وما العذر؟ قال: خوف أو مرض"؛ رواه أبو داود.

และรายงานจากอิบนิอับบาสว่า ...
แท้จริงท่านนบี ศ็อลฯ กล่าวว่า ...
ผู้ใดได้ยินการอาซาน แล้วเขาไม่ไปมัน ก็ไม่มีละหมาดใด ๆ แก่เขา ยกเว้นมีอุปสรรค์ พวกเขา กล่าวว่า "โอ้รซูลุลลอฮ อุปสรรคนั้นคืออะไร ? ท่านรอซูล ตอบว่า " การกลัวและการเจ็บป่วย 
-รายงานโดยอบูดาวูด

อิบนุกุดามะฮ(ร.ฮ) กล่าวว่า
يُعْذَرُ فِي تَرْكِهِمَا الْخَائِفُ، لِقَوْلِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: الْعُذْرُ خَوْفٌ أَوْ مَرَضٌ ـ....... وَالْخَوْفُ، ثَلَاثَةُ أَنْوَاعٍ، خَوْفٌ عَلَى النَّفْسِ، وَخَوْفٌ عَلَى الْمَالِ، وَخَوْفٌ عَلَى الْأَهْلِ،

และ ผู้ที่กลัว ถูกอนุญาต ในการทิ้งมันทั้งสอง (หมายถึงละหมาดญะมาอะฮและละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด) เพราะการกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯที่ว่า อุปสรรคนั้น คือ การกลัว หรือ เจ็บป่วย ...

(อิบนุกุดามะฮกล่าวว่า) การกลัวมี 3 ประเภทคือ
1.กลัวจะเกิดอันตรายกับตัวเอง
2.กลัวจะเกิดอันตรายแก่ทรัพย์สิน
3. กลัวจะเกิดอันตรายแก่ครอบครัว

- ดูอัลมุฆนีย์ 1/451 และดูอัลเมาสูอะฮอัลฟิกฮียะฮ ยุซ 27/29-30(ดูสำเนาที่แนบมา)


ตกลงคำว่า อนุญาตให้ละทิ้งละหมาดญะมาอะฮที่มัสยิด ด้วยเหตุการกลัว และกรณีโรคระบาดก็เป็นส่วนหนึ่งจากการกลัว ถ้าไม่ละหมาดที่มัสยิดจะละหมาดที่ใหนครับ ถ้าไม่ละหมาดที่บ้าน



อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
8/8/64

ศาสนาอคติอารมณ์นิยมและเอาชนะคะคาน

ศาสนาอคติอารมณ์นิยมและเอาชนะคะคาน

นักฟิตนะฮและอันธพาลในคราบนักเผยแพร่ศาสนาและคนญาเฮลในคราบของสุนัขรับใช้โต๊ะครู ยังคงวนเวียนอยู่กับการสร้างฟิตนะทำลายคนเห็นต่างกับหัวหน้าแก๊งครูศาสนาของพวกเขาอย่างหามรุ่งหามค่ำ
ถัดจากเริ่องนั้นเอาเรื่องนี้ ถัดจากเรื่องนี้เอาเรื่องนั้น วนเวียนพายเรือในอ่างจนไม่รู้จักจบ

อัลอิสลามเป็นศาสนาที่มีเกียรติสูงส่งและบริสุทธิ์ คนเผยแพร่ศาสนาก็ต้องมีหัวใจบริสุทธิ์ และต้องยกศาสนาให้สูงส่ง จรรโลงศาสนาไม่ใช่ทำลายศาสนา

อัลลอฮตรัสว่า ...

قُلْ هَٰذِهِ سَبِيلِي أَدْعُو إِلَى اللَّهِ عَلَىٰ بَصِيرَة أَنَا وَمَنِ اتَّبَعَنِي وَسُبْحَانَ اللَّهِ وَمَا أَنَا مِنَ الْمُشْرِكِينَ

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด นี่คือแนวทางของฉัน ฉันเรียกร้องไปสู่อัลลอฮ์อย่างประจักษ์แจ้งทั้งตัวฉันและผู้ปฏิบัติตามฉัน และมหาบริสุทธิ์แห่งอัลลอฮ์ ฉันมิได้อยู่ในหมู่ตั้งภาคี
- ยูซุฟ/108

คำว่า "บะศีเราะฮ" หมายถึง:
1. บนหลักฐานอันชัดเจน - ตัฟสีรญะลาลัยนฺ
2. บนความแน่นอนและความจริง -(ตัฟสีรอัลกุรฏบีย์
3. บนหลักฐาน - ตัฟสีรอัรรอซีย์
4. ในตัฟสัรอัลบะเฆาะวีย์ระบุว่า

والبصيرة : هي المعرفة التي تميز بها بين الحق والباطل

และบะศีเราะฮคือ การรู้จักที่แบ่งแยกด้วยมันระหว่างความจริงและความเท็จ
.....

จะทำงานศาสนาแต่สร้างความเท็จทำลายใส่ร้ายและดิสเครดิตคนเห็นต่างกับคนที่ตนตะอัศศุบและคลั่งใคล้ และเป็นนักวิชาการแต่มักใหญ่ใฝ่สูงเหยียบหัวคนอื่นใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทำลายคนอืน แบบนี้คือ "ศาสนาแห่งอารมณ์และอคติ" ชื่งเป็นแนวทางของมาร ไม่ใช่แนวทางนบี(ศ๊อล)

قال ابن زيد , في قوله: ( قل هذه سبيلي أدعو إلى الله على بصيرة ) ، قال: " هذه سبيلي" , هذا أمري وسنّتي

อิบนุเซดได้กล่าวเกี่ยวกับคำตรัสของอัลลอฮที่ว่า (“นี่คือแนวทางของฉัน ฉันเรียกร้องไปสู่อัลลอฮ์อย่างประจักษ์แจ้ง)เขากล่าวว่า นี่คือแนวทางของฉัน หมายถึง กิจการของฉันและสุนนะฮของฉัน 
- ตัฟสีรอัฏเฏาะบะรีย์

อะสัน หมัดอะดั้ม (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาท่าน)
8/8/64