วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2564

#โดมเขียวบนกุบูรของท่านนบี (เหตุผลทำไมถึงไม่รื้อ) 16/01/2564 อิสลามตามแบบฉบับ



#โดมเขียวบนกุบูรของท่านนบี
ประการเเรก : ต้องเข้าใจก่อนว่าโดมเขียวที่เราเห็นอยู่บนกุบูร(หลุมศพ)ของท่านนบีﷺนั้น ไม่เคยมีอยู่ในยุคต้นของอิสลาม อันได้เเก่ยุคของบรรดาศอหาบะฮฺ บรรดาตาบิอีน เเละตาบิอิตตาบิอีน หรือเรียกกันว่ายุคสะลัฟ เเต่มันมามีขึ้นในยุคหลัง ในศตวรรษที่เจ็ด ได้มีการสร้างโดมนี้ขึ้นมาในยุคสมัยการปกครองของสุลต่านอัลมันศูร ซัยฟุดดีน เกาะลาวูน อัศศอลิฮียฺ ในปี ฮ.ศ.678 ซึ่งในตอนเริ่มเเรกโดมนี้เป็นสีไม้ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีขาว หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน เเละท้ายสุดในปี ฮ.ศ.1253 ได้มีคำสั่งจากสุลต่านมะหฺมูด บิน อับดุลหะมีด คาน อัลอุษมานียฺ(สุลต่านมะหฺมูดที่สอง ราชวงศ์ออตโตมัน)ให้เปลี่ยนสีโดมเป็นสีเขียว เเละยังคงใช้สีเขียวจนกระทั่งปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกติดปากกันว่าโดมเขียว (القبة الخضراء)
หุก่มการสร้างโดมบนหลุมศพของท่านนบี :
การสร้างโดม สถูป เเละสิ่งปลูกสร้างบนหลุมศพนั้นเป็นบิดอะฮฺ(อุตริกรรม)ที่ต้องห้าม(หะรอม)อย่างเด็ดขาด เเม้กระทั่งหลุมฝังศพของท่านนบีﷺก็ตาม เพราะเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของท่านนบีﷺในเรื่องนี้ ดังปรากฏในหะดีษต่อไปนี้ :
عن جابرٍ رَضِيَ اللهُ عنه، قال: نَهَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْ يُجَصَّصَ الْقَبْرُ، وَأَنْ يُقْعَدَ عَلَيْهِ، وَأَنْ يُبْنَى عَلَيْهِ.
รายงานจากท่านญาบิร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า :
“ท่านรอซูลุลลอฮฺﷺได้ห้ามการฉาบหลุมศพ , การนั่งบนหลุมศพ เเละการก่อสร้าง(สิ่งปลูกสร้าง)บนหลุมศพ” (บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม)
عَنْ أَبِي سَعِيدٍ الخدري ، أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ نَهَى أَنْ يُبْنَى عَلَى الْقَبْرِ.
จากอบูซะอีด อัลคุดรียฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ : “แท้จริงท่านนบีﷺได้ห้ามไม่ให้สร้างสิ่งปลูกสร้างบนหลุมศพ” (บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ)
عَنْ أُمِّ سَلَمَةَ ، قَالَتْ : نَهَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْ يُبْنَى عَلَى الْقَبْرِ، أَوْ يُجَصَّصَ.
จากอุมมุซะละมะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า : “ท่านรอซูลุลลอฮฺﷺห้ามการสร้างสิ่งปลูกสร้างบนหลุมศพ เเละห้ามการฉาบหลุมศพ” (บันทึกโดยอะหมัด)
عَنْ أَبِي الْهَيَّاجِ الْأَسَدِيِّ ، قَالَ : قَالَ لِي عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِبٍ : أَلَا أَبْعَثُكَ عَلَى مَا بَعَثَنِي عَلَيْهِ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْ لَا تَدَعَ تِمْثَالًا إِلَّا طَمَسْتَهُ، وَلَا قَبْرًا مُشْرِفًا إِلَّا سَوَّيْتَهُ.
จากอบุลฮัยยาจ อัลอะซะดียฺ กล่าวว่า : ท่านอะลี บิน อบูฏอลิบ กล่าวกับฉันว่า : “พึงทราบไว้เถิดว่า ฉันได้ส่งท่านไปทำหน้าที่ที่ท่านรอซูลุลลอฮฺﷺเคยส่งฉันไปทำหน้าที่นั้นมาเเล้ว นั่นคือการที่ท่านจะต้องไม่ปล่อยรูปปั้นเอาไว้ เว้นเเต่ท่านจะต้องทำลายมัน เเละอย่าปล่อยหลุมศพที่ถูกยกสูง เว้นเเต่ท่านจะต้องปรับมันให้ราบเรียบ (หมายถึงไม่ให้สูงจากพื้นดินเกิน 1 คืบ)” (บันทึกโดยมุสลิม)
ซึ่งบรรดานักวิชาการซุนนะฮฺทั้งในอดีตเเละปัจจุบันได้เเสดงการปฏิเสธต่อการมีอยู่ของโดมนี้อย่างมากมาย อาทิ :
1. ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮฺ รอหิมาฮุลลอฮฺ ใน (2/685 : اقتضاء الصراط المستقيم) ท่านกล่าวว่า :
“หลังจากนั้นเป็นเวลาหลายปี ได้มีการสร้างโดมขึ้นบนหลังคา ก็ได้มีผู้ที่เเสดงท่าทีปฏิเสธต่อสิ่งนั้น”
2. อิหม่ามอัศศ็อนอานียฺ รอหิมาฮุลลอฮฺ ในหนังสือ (تطهير الاعتقاد) ท่านกล่าวว่า :
“หากท่านกล่าวว่า : นี่คือหลุมศพของท่านรอรอซูลุลลอฮฺﷺ ได้มีการสร้างโดมที่ยิ่งใหญ่ขึ้นบนนั้น เเละได้ใช้จ่ายทรัพย์สินออกไปอย่างมากมายในการสร้างมันขึ้นมา
ฉันขอกล่าวว่า : นี่เป็นความโง่เขลาอย่างใหญ่หลวงต่อข้อเท็จจริง เพราะเเท้จริงโดมนี้ การสร้างมันไม่ได้มาจากท่านนบีﷺ ตลอดจนไม่ได้มาจากบรรดาศอหาบะฮฺของท่าน บรรดาตาบิอีน บรรดาตาบิอิตตาบิอีน เเละไม่ได้มาจากบรรดานักวิชาการของประชาตินี้เเละบรรดาปวงปราชญ์แห่งศาสนาของท่าน เเต่ทว่าโดมนี้ที่ถูกสร้างขึ้นบนหลุมศพของท่านนบีﷺนั้น เป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างของบรรดากษัตริย์บางคนของอียิปต์ในยุคหลัง ซึ่งก็คือเกาะลาวูน อัศศอลิฮียฺ ที่เป็นที่รู้จักกันในนามว่า กษัตริย์อัลมันศูร ในปี 678”
3. คณะกรรมาธิการถาวรเพื่อการชี้ขาดปัญหาศาสนาแห่งซาอุดิอาระเบีย ถูกถามว่า :
มีคนเอาการสร้างโดมเขียวบนหลุมศพของท่านนบีﷺมาเป็นข้ออ้างว่าอนุญาตให้สร้างโดมบนหลุมศพอื่น ๆ ได้ เช่น หลุมศพของบรรดาคนดี เเละคนอื่น ๆ การอ้างเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ เเละจะตอบโต้พวกเขาอย่างไร ?
คณะกรรมาธิการฯได้ตอบว่า :
“การหยิบเอาการที่ผู้คนได้สร้างโดมขึ้นบนหลุมศพของท่านนบีﷺมาอ้างว่าอนุญาตให้สร้างโดมบนหลุมศพของผู้ตาย บรรดาคนดี หรือคนอื่น ๆ นั้นเป็นการอ้างที่ไม่ถูกต้อง เพราะการที่ผู้คนเหล่านั้นสร้างโดมขึ้นบนหลุมศพของท่านนบีﷺนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาด(หะรอม) เเละผู้ที่กระทำมันก็มีความผิดบาป เพราะมันค้านกับสิ่งที่มีรายงานมาจากอบุลฮัยยาจ อัลอะซะดียฺ ที่ท่านได้กล่าวว่า :
قَالَ لِي عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِبٍ : أَلَا أَبْعَثُكَ عَلَى مَا بَعَثَنِي عَلَيْهِ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْ لَا تَدَعَ تِمْثَالًا إِلَّا طَمَسْتَهُ، وَلَا قَبْرًا مُشْرِفًا إِلَّا سَوَّيْتَهُ.
ท่านอะลี บิน อบูฏอลิบ กล่าวกับฉันว่า : “พึงทราบไว้เถิดว่า ฉันได้ส่งท่านไปทำหน้าที่ที่ท่านรอซูลุลลอฮฺﷺเคยส่งฉันไปทำหน้าที่นั้นมาเเล้ว นั่นคือการที่ท่านจะต้องไม่ปล่อยรูปปั้นเอาไว้ เว้นเเต่ท่านจะต้องทำลายมัน เเละอย่าปล่อยหลุมศพที่ถูกยกสูง เว้นเเต่ท่านจะต้องปรับมันให้ราบเรียบ”
เเละรายงานจากญาบิร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า :
نَهَى رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْ يُجَصَّصَ الْقَبْرُ، وَأَنْ يُقْعَدَ عَلَيْهِ، وَأَنْ يُبْنَى عَلَيْهِ.
รายงานจากท่านญาบิร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า : “ท่านรอซูลุลลอฮฺﷺได้ห้ามการฉาบหลุมศพ , การนั่งบนหลุมศพ เเละการก่อสร้าง(สิ่งปลูกสร้าง)บนหลุมศพ” (ทั้งสองหะดีษบันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม)
ดังนั้น จึงไม่ถูกต้องที่ผู้ใดจะหยิบเอาการกระทำสิ่งต้องห้ามของผู้คนอื่น ๆ มาอ้างว่าอนุญาตให้ทำสิ่งต้องห้ามที่เหมือนกันได้ เพราะไม่อนุญาตที่จะคัดค้านคำพูดของท่านนบีﷺด้วยกับคำพูดหรือการกระทำของผู้คน เนื่องจากท่านเป็นผู้เผยเเผ่สาส์นจากอัลลอฮฺ ซึ่งสิ่งจำเป็น(วาญิบ)คือจะต้องเชื่อฟังท่าน เเละระวังการฝ่าฝืนคำสั่งของท่าน ดังดำรัสของอัลลอฮฺที่ว่า :
﴿وَمَا آتَاكُمُ الرَّسُولُ فَخُذُوهُ وَمَا نَهَاكُمْ عَنْهُ فَانْتَهُوا﴾
ความว่า : และอันใดที่รอซูลได้นำมายังพวกเจ้า ก็จงยึดมันไว้ และอันใดที่ท่านได้ห้ามพวกเจ้า ก็จงละเว้นเสีย (อัลฮัชรฺ : 7)
เเละอายะฮฺอื่น ๆ ที่สั่งใช้ให้เชื่อฟังอัลลอฮฺเเละเชื่อฟังรอซูลของพระองค์ เเละเนื่องจากการก่อสร้างหลุมศพ เเละสร้างโดมขึ้นบนหลุมศพนั้น เป็นหนึ่งในสื่อที่นำไปสู่การตั้งภาคี(ชิริก) ดังนั้นจึงจำเป็นปิดกั้นสื่อต่าง ๆ ที่จะนำพาไปสู่การตั้งภาตี”
ลงชื่อ : ชัยคฺ อับดุลอะซีซ บิน บาซ , ชัยคฺ อับดุรร็อซซาก อะฟีฟียฺ , ชัยคฺ อับดุลลอฮฺ บิน เกาะอูด
(ฟะตาวาคณะกรรมาธิการถาวรฯ : 9/83-84)
4. คณะกรรมาธิการถาวรฯ กล่าวอีกว่า :
“ในการก่อสร้างโดมบนหลุมศพของท่านนบีﷺนั้น ไม่ได้มีหลักฐานแก่บรรดาผู้ที่หยิบมาอ้างอิงในการสร้างโดมบนหลุมศพของบรรดาวะลียฺเเละบรรดาคนดี เพราะการสร้างโดมบนหลุมศพของท่านนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากการสั่งเสียของท่าน เเละไม่ได้มาจากการกระทำของบรรดาศอหาบะฮฺของท่าน เเละไม่ได้มาจากตาบิอีน เเละไม่ได้มาจากบรรดานักวิชาการแห่งทางนำคนใดในยุคต้นที่ท่านนบีﷺได้รับรองความดีงามแก่พวกเขา เเต่ทว่าสิ่งดังกล่าวมันมาจากชาวบิดอะฮฺ ซึ่งมีปรากฏว่าท่านนบีﷺได้กล่าวว่า :
” مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ “.
“ผู้ใดอุตริสิ่งใหม่ขึ้นในกิจการของเรานี้ ซึ่งสิ่งที่ไม่ได้มีมาจากมัน สิ่งนั้นย่อมถูกตีกลับ(ไม่ถูกตอบรับ)”
เเละมีรายงานจากท่านอะลี รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านได้กล่าวแก่อบุลฮัยยาจ อัลอะซะดียฺ ว่า :
أَلَا أَبْعَثُكَ عَلَى مَا بَعَثَنِي عَلَيْهِ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَنْ لَا تَدَعَ تِمْثَالًا إِلَّا طَمَسْتَهُ، وَلَا قَبْرًا مُشْرِفًا إِلَّا سَوَّيْتَهُ.
ท่านอะลี บิน อบูฏอลิบ กล่าวกับฉันว่า : “พึงทราบไว้เถิดว่าฉันได้ส่งท่านไปทำหน้าที่ที่ท่านรอซูลุลลอฮฺﷺเคยส่งฉันไปทำหน้าที่นั้นมาเเล้ว นั่นคือการที่ท่านจะต้องไม่ปล่อยรูปปั้นเอาไว้ เว้นเเต่ท่านจะต้องทำลายมัน เเละอย่าปล่อยหลุมศพที่ถูกยกสูง เว้นเเต่ท่านจะต้องปรับมันให้ราบเรียบ”
ดังนั้น ในเมื่อการสร้างโดมบนหลุมศพของท่านนบีﷺไม่มีปรากฏจากท่าน เเละไม่มีปรากฏมาจากบรรดานักวิชาการแห่งความดีงาม มิหนำซ้ำ ยังมีรายงานสิ่งที่มาหักล้างสิ่งดังกล่าวอีกด้วย ก็ย่อมไม่อนุญาตที่มุสลิมจะไปผูกพันธ์กับสิ่งที่พวกบิดอะฮฺได้อุตริขึ้นมา อันได้เเก่การสร้างโดมบนหลุมศพของท่านนบีﷺ”
ลงชื่อ : ชัยคฺ อับดุลอะซีซ บิน บาซ , ชัยคฺ อับดุรร็อซซาก อะฟีฟียฺ , ชัยคฺ อับดุลลอฮฺ บิน ฆุดัยยาน , ชัยคฺ อับดุลลอฮฺ บิน เกาะอูด
(ฟะตาวาคณะกรรมาธิการถาวรฯ : 2/264-265)
จำเป็นต้องทำลายเเละรื้อถอนโดมเขียวบนหลุมศพของท่านนบีﷺ :
ชัยคฺ มุกบิล บิน ฮาดี อัลวาดิอียฺ รอหิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :
“เป็นสิ่งจำเป็น(วาญิบ)ที่จะต้องรื้อถอนมันออกให้หมดสิ้น ดังคำกล่าวของท่านนบีﷺที่ว่า :
” مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ “.
“ผู้ใดอุตริสิ่งใหม่ขึ้นในกิจการของเรานี้ ซึ่งสิ่งที่ไม่ได้มีมาจากมัน สิ่งนั้นย่อมถูกตีกลับ(ไม่ถูกตอบรับ)” มุตตะฟะกุนอลัยฮิ จากหะดีษของอาอิชะฮฺ
เเละรายงานโดยมุสลิม จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮา จากท่านนบีﷺ :
” مَنْ عَمِلَ عَمَلًا لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رَدٌّ “.
“ผู้ใดปฏิบัติการงานใดที่ไม่มีคำสั่งใช้ของเรา มันย่อมถูกตีกลับ”
เเละดังดำรัสของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ว่า :
﴿وَمَا آتَاكُمُ الرَّسُولُ فَخُذُوهُ وَمَا نَهَاكُمْ عَنْهُ فَانْتَهُوا﴾
ความว่า : และอันใดที่รอซูลได้นำมายังพวกเจ้า ก็จงยึดมันไว้ และอันใดที่ท่านได้ห้ามพวกเจ้าก็จงละเว้นเสีย (อัลฮัชรฺ : 7)
เเละดังคำกล่าวของท่านนบีﷺที่ว่า :
” إِذَا أَمَرْتُكُمْ بِأَمْرٍ فَأْتُوا مِنْهُ مَا اسْتَطَعْتُمْ ، وَإِذَا نَهَيْتُكُمْ عَنْ شَيْءٍ فَاجْتَنِبُوهُ “.
“เมื่อฉันสั่งใช้พวกท่านให้ทำกิจการใด พวกท่านก็จงปฏิบัติมันเท่าที่มีความสามารถ และเมื่อฉันห้ามไม่ให้ทำสิ่งใด พวกท่านก็จงออกห่างมัน” มุตตะฟะกุนอลัยฮฺ จากหะดีษของอบูฮุร็อยเราะฮฺ
ดังนั้น เป็นการสมควรที่พวกเราชาวมุสลิม จะต้องไปยังบรรดาโดมทั้งหลายที่อยู่บนหลุมศพเหล่านั้น เเละทำการถอนรากถอนโคนมันออกไปจากหน้าแผ่นดินให้หมดสิ้น ดังที่ท่านนบีﷺได้สั่งใช้อะลี บิน อบูฏอลิบ เเละผู้ใดก็ตามที่ไม่กระทำสิ่งดังกล่าว ทั้ง ๆ ที่มีความสามารถ เขาเป็นผู้ที่ฝ่าฝืนท่านรอซูลุลลอฮฺﷺ อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า :
﴿فَلْيَحْذَرِ الَّذِينَ يُخَالِفُونَ عَنْ أَمْرِهِ أَنْ تُصِيبَهُمْ فِتْنَةٌ أَوْ يُصِيبَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ﴾
ความว่า : ดังนั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุฮัมหมัด) จงระวังตัวเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน (อันนูร : 63)”
(رياض الجنة في الرد على أعداء السنة : 275)
เพราะเหตุใดซาอุดิอาระเบียจึงไม่ทำลายโดมเขียว :
บรรดานักวิชาการได้ชี้เเจงถึงหุก่มของการสร้างโดมนี้ไว้อย่างชัดเจนเเละกระจ่างเเจ้ง เหลือเพียงขั้นตอนการลงมือปฏิบัติการรื้อถอนเท่านั้น ซึ่งมันเป็นหน้าที่ของผู้ปกครอง ไม่ใช่หน้าที่ของบรรดานักวิชาการ อีกทั้ง หนึ่งในอุปสรรคของการรื้อถอน คือ เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย(ฟิตนะฮฺ)ในหมู่บรรดามุสลิมที่โง่เขลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น่าเศร้าที่สุด คือพวกเขาถูกชี้นำโดยบรรดาหัวโจกบิดอะฮฺทั้งหลาย ซึ่งคนเหล่านี้เเหละที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อแผ่นดินแห่งเตาฮีด ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย เเละเรียกร้องปลุกระดมให้ผู้คนเกลียดชังประเทศนี้ด้วยคำกล่าวอ้างต่าง ๆ นานา
ชัยคฺ มุกบิล บิน ฮาดี อัลวาดิอียฺ รอหิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :
“มีบรรดาพี่น้องของเราในยุคสมัยของกษัตริย์อับดุลอะซีซ รอหิมาฮุลลอฮฺ ในตอนที่พวกเขาได้เข้าไปยังมะดีนะฮฺ พวกเขาตั้งใจที่จะทำการรื้อถอนโดมนี้ออก ซึ่งถ้าพวกเขาได้ลงมือทำไปเเล้วก็คงดี เเต่ทว่าพวกเขากลัวว่าจะเกิดความวุ่นวาย(ฟิตนะฮฺ)จากพวกบูชากุบูร(กุบูรียูน)ที่จะรุนเเรงกว่าการรื้อถอนโดมออก จึงกลายเป็นว่าการขจัดความชั่วร้ายนำไปสู่สิ่งที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า”
(رياض الجنة في الرد على أعداء السنة : 264)
ชัยคฺ อับดุลอะซีซ บิน บาซ รอหิมาฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :
“ส่วนโดมนี้ที่ถูกวางอยู่ในตอนหลังนั้น เกิดจากความโง่เขลาของผู้ปกครองบางคน ดังนั้น ถ้าหากมันถูกรื้อถอนออกไป ก็ไม่มีปัญหาเเต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องอีกด้วย เเต่ปัญหาคือ อาจจะมีคนโง่เขลาที่ไม่สามารถยอมรับสิ่งนี้ได้ เเละอาจจะใส่ร้ายเเละโจมตีผู้ที่ทำการรื้อถอนว่าเป็นพวกหลงผิดบ้าง เป็นพวกที่โกรธเกลียดท่านนบีﷺบ้าง ด้วยเหตุนี้เอง ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียจึงปล่อยโดมนี้ไว้ในสภาพเดิมของมันไปก่อน เพราะมันถูกสร้างมาจากบุคคลอื่น(ไม่ใช่ซาอุดิอาระเบียเป็นผู้สร้าง) อีกทั้งไม่ปรารถนาที่จะให้เกิดการสร้างความรำคาญเเละความวุ่นวาย(ฟิตนะฮฺ)ที่บรรดาผู้คนบางส่วน ได้แก่พวกบูชากุบูร เเละบรรดาผู้ตั้งภาคีที่คลั่งไคล้สุดโต่งต่อผู้ตาย พวกเขาอาจจะกุเท็จขึ้นมา เเละใส่ร้ายประเทศนี้ด้วยข้อหาที่ประเทศนี้บริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่าประเทศนี้โกรธเกลียดท่านรอซูลﷺ หรือหยาบคายต่อสิทธิของท่าน”
(เว็บไซต์อิหม่ามอิบนุบาซ , نور على الدرب - الرد على شبهة القبة المبنية على قبر النبي صلى الله عليه وسلم)
ชัยคฺ ศอลิหฺ อัลอุศ็อยมียฺ หะฟิซอฮุลลอฮฺ กล่าวว่า :
“การมีอยู่ของโดมนี้ตลอดระยะเวลาแปดศตวรรษนั้น ไม่ได้หมายความว่ามันได้กลายเป็นสิ่งที่อนุญาต เเละไม่ได้หมายความว่าการนิ่งเงียบต่อมันเป็นการยอมรับมัน หรือเป็นหลักฐานถึงการอนุญาตของมัน เเต่ทว่าเป็นสิ่งจำเป็น(วาญิบ)สำหรับบรรดาผู้ปกครองมุสลิมที่จะต้องรื้อถอนมันออกไป เเละทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็นในยุคสมัยแห่งการเป็นนบี ตลอดจนจำเป็นต้องรื้อถอนโดม เครื่องประดับประดา เเละลวดลายแกะสลักที่อยู่ในมัสยิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมัสยิดอันนะบะวียฺออกไปให้หมด ตราบใดที่มันไม่ส่งผลให้เกิดความวุ่นวาย(ฟิตนะฮฺ)ที่ร้ายเเรงเเรงกว่า ดังนั้น ถ้าหากมันส่งผลให้เกิดความวุ่นวายที่ร้ายเเรงกว่า ก็เป็นที่อนุญาตสำหรับผู้ปกครองที่จะทำการประวิงเวลาออกไปก่อน พร้อมกับมีความตั้งใจอย่างเเน่วเเน่ที่จะเเสวงหาโอกาสที่จะลงมือปฏิบัติการ เมื่อใดก็ตามที่โอกาสอำนวย”
(بدعِ القبورِ ، أنواعها ، وأحكامها : 253 )
วัลลอฮุอะลัม - อัลลอฮฺทรงรู้ดียิ่ง
(แหล่งอ้างอิง) :
1. หนังสือ رياض الجنة في الرد على أعداء السنة ของชัยคฺ มุกบิล อัลวาดิอียฺ
2. ประวัติการสร้างโดมเขียว จากเว็บไซต์ : http://www.taibanet.net/cms/article/view/123-القبة-الخضراء-الشريفة-الغراء-.-The-Green-Dome-at-the-Prophet’s-Mosque.html
3. เว็บไซต์ชัยคฺ อิบนุบาซ : https://binbaz.org.sa/.../%D8%A7%D9%84%D8%B1%D8%AF-%D8%B9...
4. เว็บไซต์ : https://islamqa.info/.../%D8%A7%D9%84%D9%82%D8%A8%D8%A9...
#อิสลามตามแบบฉบับ

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2564

วาทกรรมกล่าวหาว่าพวกไม่เอาอุลามาอฺ !!!!

 

วาทกรรมกล่าวหาว่าพวกไม่เอาอุลามาอฺ !!!!

 

 

 


พวกไม่เอาอุลามาอฺ !!!!
วาทกรรกมข้างต้น รู้สึกสมเพทมากๆ เรียนศาสนามาสูง ยังเอาวาทกรรมอะฮลุลบิดอะฮมาใช้เป็นอาวุธยิงใส่คนที่เห็นต่างกับตนว่าไม่เอาอุลามาอฺ พวกไม่เอาอุลามาอฺพูดไม่รู้เรื่อง....
แปลกนะ ระดับอุลามาอฺยุคสะลัฟ เขาสอนให้ตามอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ไม่ให้ยึดสิ่งที่ไม่ตรงกับหลักฐาน เพราะฉะนั้น โปรดอ่านต่อไปนี้จะได้ออกจากกะลา
1.อิหม่ามอบูหะนีฟะฮ (ฮ.ศ 80-150) กล่าวว่า
لا يحل لأحد أن يأخذ بقولنا ما لم يعلم من أين أخذناه".
ไม่อนุญาตให้คนใดเอาคำพูดของเรา ตราบใดที่เขาไม่รู้ว่า เราเอามันมาจากใหน - หาชียะฮ อิบนิอาบีดีน 6/293
และท่านได้กล่าวอีกเช่นกันว่า
إذا قلت قولا يخالف كتاب الله تعالى وخبر الرسول صلى الله عليه وسلم فاتركوا قولي
เมื่อข้าพเจ้าพูดคำหนึ่งคำใด ขัดแย้งกับคัมภีร์ของอัลลอฮ ตาอาลา และคำบอกเล่าของรอซูล ศ็อลฯ พวกท่านจงละทิ้งคำพูดของข้าพเจ้าเสีย - อัลอีกอซ -อัลฟุลลานีย์ หน้า 50
2.อิหม่ามมาลิก (ฮ.ศ 93-179 )กล่าวว่า
إنما أنا بشر أخطئ وأصيب، فانظروا في رأيي فكل ما وافق الكتاب والسنة فخذوا به، وكل مالم يوافق الكتاب والسنة فاتركوه
แท้จริง ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ข้าพเจ้ามีผิดพลาด และข้าพเจ้ามีถูก ดังนั้นพวกท่านจงพิจารณา ในความเห็นของข้าพเจ้า แล้วทุกสิ่งที่สอดคล้องกับ อัล-กิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ก็จงเอามัน และทุกสิ่งที่ ไม่สอดคล้องกับอัลกิตาบและอัสสุนนะฮ ก็จงทิ้งมันเสีย
ملخص إبطال القياس: ص 66 - 67. مجموع فتاوى ابن تيمية: 20 / 211. مختصر المؤمل: ص 61
3.อิหม่ามชาฟิอีย์(ฮ.ศ 105-204 )กล่าวว่า
إِذَا وَجَدْتُمْ فِي كِتَابِي خِلافَ سُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقُولُوا بِسُنَّةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَدَعُوا مَا قُلْتُ
ความว่า "เมื่อพวกท่านพบในตำราของฉันแตกต่างกับสุนนะฮฺของท่านรสูลุลลอฮฺ ดังนั้นพวกท่านจงปฏิบัติตาม สุนนะฮฺของรสูลุลลอฮฺเถิด และจงทิ้งสิ่งที่ฉันพูด
- มะริฟะฮ สุนันวัลอะษาร ของ อัลบัยหะกีย หะดิษ หมายเลข ๑๐๙
ท่านอิหม่ามชาฟิอี กล่าวอีกว่า
كل مسألة صح فيها الخبر عن رسول الله صلى الله عليه وسلم عند أهل النقل بخلاف ما قلت فأنا راجع عنها في حياتي وبعد موتي
ทุกประเด็นปัญหา ที่มีคำบอกเล่าที่ถูกต้อง(เศาะเฮียะ)ในมัน จากท่านนบี ตามทัศนะของนักรายงานหะดิษ ขัดแย้งกับสิ่งที่ข้าพเจ้าพูด ดังนั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้ยกเลิกมัน ในยามที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่และหลังจากข้าพเจ้าเสียชีวิตไปแล้ว – อบูนะอีม ในอัลหุลลียะฮ เล่ม 9 หน้า 107
4. อหม่ามอะหมัด (ฮ.ศ 164-241)
لا تُقَلِّدْنِي وَلا تُقَلِّدْ مالكًا وَلا الشَّافِعِي وَلا اْلأَوْزَاعِي ولا الثَّوْرِي وَخُذْ مِنْ حَيْثُ أَخَذُوْا
.
"อย่าตามฉันหรือตามอิหม่ามมาลิก ชาฟิอี เอาซาอี และเซารี แต่จงเอาจากสิ่งที่พวกเขาเอามา"-เอียะลามอัลมุวักกิอีน 2/302
และทั้งหมดดูรายละเอียดได้ในหนัง สือ มะนากิบอัลอะอิมมะฮอัลอัรบะอะฮ ของ อบูอับดุลลอฮ มุหัมหมัด บิน อะหมัด บิน อับดุลฮาดีย์อัลมุกอ็ดดิสีย์ อัลหัมบะลีย์ 1/6 (สำเนาที่แนบมา)
..................
ปราชญ์ยุคสะลัฟ เขาให้ยึดคำพูดของปราชญ์ที่มีหลักฐาน คือที่ตรงกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮให้ละทิ้งในสิ่งที่ขัดแย้งกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ แต่ครูอาจารย์บางจำพวกยังอยู่ในกะลากรอบ เที่ยวกล่าวหาคนนั้นคนนี้ ไม่เอาอุลามาอฺ เรียนสูงมาแต่สมองต่ำ ไร้ราคาจริงๆ
ขอสรุปด้วยคำพูดของอิบนุลก็อยยิม คือ
อิบนุกอ็ยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า
وقد نهى الأئمة الأربعة عن تقليدهم , وذموا من أخذ أقوالهم بغير حجة ; فقال الشافعي : مثل الذي يطلب العلم بلا حجة كمثل حاطب ليل , يحمل حزمة حطب وفيه أفعى تلدغه وهو لا يدري , ذكره البيهقي
และความจริง อิหม่ามทั้งสี่ ได้ห้ามตักลีด(เชื่อตาม)พวกเขา และพวกเขาตำหนิผู้ที่ยึดเอาคำพูดของพวกเขาโดยปราศจากหลักฐาน แล้วท่านอิหม่ามชาฟิอีย์กล่าวว่า" อุปมาผู้ที่ศึกษาหาความรู้ โดยไม่มีหลักฐาน อุปมัยดังเช่น คนหาไม้ฟืนยามค่ำคืน ,เขาแบกมัดของไม้ฟืน และในนั้นมีงูจะกัดเขาอยู่ โดยที่เขาไม่รู้ ,อัลบัยฮะกีย์ได้ระบุเอาไว้
- อะอฺลามุลมุวักกิอีน เล่ม 1 หน้า 139
..............
ออกจากกะลากรอบได้แล้ว พวกจบนอกสายยืนห่าง อวดรู้ทั้งหลาย ที่กล่าวหาคนไม่ตักลิดฟัตวาชัยค์ซาอุวา "พวกไม่เอาอุลามาอ"
อะสัน หมัดอะดั้ม
7/1/64

ฟารีด เฟ็นดี้ 8 มิถุนายน 2020 · #คุณคือใคร?



#คุณคือใคร?
ส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมวุ่นวายอยู่ ณ เวลานี้ ก็เนื่องจาก บรรดาผู้คนในสังคมต่างไม่รู้สถานภาพของตัวเอง
บางคนพยายามแสดงบทบาทในเวทีสาธารณะเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของสังคม, บางคนไม่ได้เรียนรู้ แต่ทำตนประหนึ่งดังเป็นผู้เรียนรู้ที่แก่กล้าวิชาการ, จนเกิดสภาพอุลามาอ์วิจารณ์เกลื่อนเฟส ดั่งที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้
ส่วนคนเรียนรู้ (บางคน) ก็ทำตนบื่อใบ้ ทำตนเหมือนดั่งคนที่ไม่เคยเรียนรู้อะไรมาก่อนเลย ไม่กล้าที่จะพูดจากบอกกล่าวตามความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา เพราะกลัวเปลืองตัว และกลัวตกเป็นจำเลยของสังคม (ห่วงตัวเองมากกว่าห่วงศาสนาของอัลลอฮ์)
บางคนรอดูท่าทีก่อนว่า กระแสสังคมจะเอนไปทางไหน ค่อยชี้นำไปทางนั้น
และคนเรียนรู้จริงบางคนที่นำเสนอหลักฐานและวิชาการกลับไม่ได้รับการยอมรับ เนื่องจากผู้คนเข้าใจว่า “ความจริงต้องอิงอุลามาอ์”
คนรู้ไม่ชี้ และคนชี้ไม่รู้ นี่คือปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ จนทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่าไม่จบสิ้น
หากแต่ละคนดำรงตนอยู่ในสถานภาพที่เป็นจริงของตนเอง สังคมก็คงไม่วุ่นวายถึงเพียงนี้..... แล้วคุณคือใคร ?
.
บรรดาอุลามาอ์ได้จำแนกคนออกเป็น 3 ประเภท คือ
.
1 – มุจตะฮิด หรือปราชญ์ที่มีความรอบรู้, สามารถที่จะวินิจฉัยปัญหาและชี้แจงข้อฮุก่มต่างๆของศาสนาตามตัวบทหลักฐาน ซึ่งเขาสามารถปฏิบัติตามการวินิจฉัยของตนเองได้ โดยไม่อนุญาตให้ตั๊กลีด หรือ ปฏิบัติตามผู้อื่นโดยไม่รู้หลักฐาน
.
2 – ฏอลิบุ้ลอิลม์ คือ บรรดาผู้ที่เรียนรู้ ศึกษาค้นคว้าจนสามารถจำแนกแยกแยะและให้น้ำหนักทัศนะต่างๆของบรรดาอุลามาอ์ได้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถวินิจฉัยปัญหาต่างๆด้วยตัวเองได้ก็ตาม สำหรับคนกลุ่มนี้ ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปผูกขาดความรู้หรือผูกขาดอยู่กับฟัตวาของอุลามาอ์คนใด แต่จะต้องเอาทัศนะต่างๆของอุลมาอ์มากลั่นกรอง แล้วเลือกปฏิบัติที่ชัดเจนมากที่สุด
.
3 – อาวาม คือคนที่ไม่รู้บทบัญญัติของศาสนา ไม่สามารถวินิจฉัยหรือกลั่นกรองทัศนะต่างๆของบรรดาอุลามาอ์ได้ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของอุลามาอ์คนใดคนหนึ่งที่เขามั่นใจที่สุดตามความสามารถที่เขามี
.
(อ้างถึงไฟล์ภาพประกอบที่แนบมาท้ายบทความนี้)
.
แล้วคุณคือใคร ในสามข้อข้างต้นนี้ ระหว่าง ปราชญ์ที่สามารถวินิจฉัยปัญหาเองได้ หรือ คนเรียนรู้ ที่สามารถสืบค้นและแจกแจงได้ หรือ คนที่ไม่ได้เรียนรู้
.
หากจะมีผู้กล่าวว่า ในบ้านเมืองเราไม่มีอุลามาอ์ระดับมุจตะฮิดที่สามารถวินิจฉัยปัญหาเองได้ แต่ก็ใช่ว่าในบ้านในเมืองนี้จะไม่มีคนเรียนรู้เอาเสียเลย หากแต่ยังมีคนที่เรียนรู้ผ่านตำรา,ผ่านอุลามาอ์อีกจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าเขาจะศึกษาจากต่างประเทศหรือในประเทศก็ตาม แล้วคนเรียนรู้ในกลุ่มนี้ไปอยู่ที่ไหน
.
ภาพที่ปรากฏให้เห็นก็คือ ในสังคมของเรามีกลุ่มคนที่พยายามจะลดคุณค่าของคนเรียนรู้, ทำลายสถานภาพของผู้รู้ โดยการทำให้คนเรียนกับคนไม่เรียนมีค่าเท่ากัน, สร้างภาพให้ผู้คนเข้าใจว่า ในบ้านนี้เมืองนี้มีแต่คนระดับอะวามไปเสียทั้งหมด ไม่มีใครสามารถจะพิจาณา หรือชี้แจงให้ผู้คนได้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด นี่คือภาพความเป็นจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
.
เมื่อทุกคนถูกทำให้อยู่ในระดับเท่ากัน คือไม่มีคนเรียนรู้ (ตามข้อที่สอง) อยู่ในบ้านนี้เมืองนี้ ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้น จึงต้องยึดตามอุลามาอ์ หรือตามฟัตวาของอุลามาอ์,โดยไม่ต้องพิสูจน์ว่า ฟัตวานั้นถูกต้องหรือไม่ หรือตรงกับบริบทหรือเปล่า, ผู้คนก็รอการแปลฟัตวาของอุลามาอ์กันอย่างเดียว, ด้วยเหตุนี้เราจึงได้ยินคำว่า “กิบารเขาว่า..” อุลามาอ์เขาฟัตวาไว้” โดยไม่สามารถแจกแจงได้ว่า ที่อุลามาอ์เขาว่านั้นถูกผิดอย่างไร หรือฟัตวาไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน มิเช่นนั้นจะโดนข้อหา “ฮุก่มอุลามาอ์” หรือ “เปตรฮุก่มปราชญ์” อย่างนี้เป็นต้น
.
เพราะสังคมถูกทำให้เข้าใจว่าในบ้านนี้เมืองนี้มีแต่คนอะวาม (ในข้อที่ 3) ดังนั้นจึงเกิดขบวนการต่อต้านคนเรียนรู้ด้วยการสร้างวาทะกรรมแผงๆเสนอต่อผู้คน เช่นคำว่า “ไม่เอาอุลามาอ์” หรือ“ตั้งตัวเป็นอุลามาอ์” หรือ “กระโดดข้ามหัวอุลามาอ์” และฯลฯ
.
แต่จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่มีเพียงขบวนการทำลายสถานภาพคนเรียนรู้เท่านั้น แต่บางครั้งคนที่เรียนรู้ (บางคน) ก็ลดคุณค่าด้วยตัวเองเหมือนกัน
.
อย่างที่เราได้เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่อกระแสเรียกร้องให้ตามอุลามาอ์ และให้ตามฟัตวามาแรง คนเรียนรู้ (บางคน) ก็ปิดปากเงียบ ไม่กล้าที่จะนำความรู้ที่ร่ำเรียนมามาใช้ได้ตามความจริง บางคนก็เลยผันตัวเองไปเป็นนักแปลฟัตวา หรือนักสร้างวาทะกรรมตามหน้าเฟส จึงทำให้คนเรียนรู้กับคนไม่ได้เรียนรู้มีค่าเท่ากันคือ คนไม่ได้เรียนแต่รู้ภาษาก็แปลฟัตวา คนเรียนรู้ก็เป็นนักแปลฟัตวา คนไม่ได้เรียนก็สร้างวาทกรรมชี้นำชาวบ้าน คนเรียนรู้ก็สร้างวาทกรรมชี้นำชาวบ้านเช่นเดียวกัน ทำตัวตามกระแส กลมกลืนกันไป
.
การที่คนเรียนรู้ถ่อมตนนั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าคนเรียนรู้ ไม่รู้สถานะของตนเอง และไม่รู้หน้าที่ หรือไม่มีอามานะห์ที่ตนเองได้ร่ำเรียนมา ถ้าเช่นนั้นจะต้องไปร่ำเรียนหลักเกณฑ์หลักการทางวิชาการให้เสียเงินทอง เสียเวลากันทำไม แค่เรียนภาษาให้แปลฟัตวาได้ก็พอ
.
#ลุกขึ้นเถิด..ผู้ที่เรียนรู้จริงทั้งหลาย ท่านไม่ใช่คนอะวาม, ท่านไม่ได้เป็นดั่งไอ้โล๊ะ,ไอ้ควัด,ไอ้เป๋อ,ไอ้ป๋อง อย่าพูดเหมือนคนที่ไม่ได้เรียนรู้เขาพูดว่า “กิบารเขาว่า” หรือ “อุลามาอ์เขาฟัตวาไว้” ท่านทั้งหลายจะต้องไม่หลับหูหลับตาตามโดยไม่รู้ที่มาที่ไป เพราะท่านคือคนเรียนรู้
.
เราเคยเตือนสติและสะกิดเตือนกันในบทความครั้งที่แล้วว่า “ตอนที่เราเรียนกันนั้น ต้องเรียนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติควบคู่กันไป,คือนอกจากการเรียนในตำรากับอาจารย์แล้ว ยังต้องเข้าห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเพื่อค้นคว้า หรือต้องทำวิจัยทั้งแบบตัวใครตัวมันและแบบกลุ่ม บางครั้งก็ต้องซื้อตำราเพิ่มเติมตามที่อาจารย์แนะนำ เพื่อทำการค้นคว้าและทำวิจัยในประเด็นหรือปัญหาต่างๆ ที่อาจารย์ให้ตัวอย่างมา เช่น
.
การสืบค้นและวิเคราะห์หลักฐาน (ตัวบทฮะดีษ,สายรายงาน,ผู้รายงาน) ที่อุลามาอ์แต่ละฝ่ายนำมาอ้าง เพื่อจะได้ทราบว่า ตัวบทไหนมีที่มาอย่างไร, มีสถานะเช่นไร, เนื้อหามีความถูกต้องชัดเจนไหม
.
และผลสรุปที่ได้จากการค้นคว้าและวิจัยนั้นก็ไม่ได้เกิดจากทัศนะของตนเอง แต่จากการอ้างอิงตำราของอุลามาอ์ในศาสตร์และแขนงต่างๆ เพราะฉะนั้นเวลากลับมาเมืองไทย จึงต้องแบกตำราที่ใช้ค้นคว้าและทำวิจัยเหล่านั้นกลับมาด้วย เพื่อว่าจะได้ใช้ค้นคว้าทำวิจัยและเผยแพร่ความรู้ที่ชัดเจนและถูกต้องสืบต่อไป (กระบวนการศึกษาที่พวกเราเคยผ่านเป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ แต่ถ้าใครได้เรียนหรือไม่เคยเรียนกระบวนการสืบค้นและพิสูจน์หลักฐานตามที่กล่าวมานี้ก็ต้องขอมะอัฟ)
.
แต่เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว ทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติที่เคยร่ำเรียนกันมากลับนำมาใช้ไม่ได้เลย ต้องเก็บใส่ลิ้นชัก เพราะกระแสสังคมเวลานี้ได้ชี้นำผู้คนให้หวนกลับไปยึดฟัตวาของอุลามาอ์เป็นที่ตั้ง, แม้คนที่เคยเรียนรู้กระบวนการตรวจสอบหลักฐานทั้งทฤษฏีและภาคปฏิบัติมาแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะกล่าวได้ว่า หลักฐานที่บรรดาอุลามาอ์แต่ละฝ่ายนำเสนอนั้นถูกผิดอย่างไร แม้จะอ้างการค้นคว้า,หรืออ้างอิงจากตำราเล่มใดก็ตาม มิเช่นนั้นแล้วก็จะถูกพิพากษาว่าเป็น “เปรตฮุก่มปราญช์” น่าเศร้ายิ่งนัก”
.
เราเขียนเรื่องนี้เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้ทราบถึงการจำแนกประเภทบุคคลตามกฎเกณฑ์ทางวิชาการ,เพื่อให้แต่ละคนได้รู้สภาพที่เป็นจริงของตนเอง และเพื่อเตือนสติคนที่เรียนรู้ให้รักษาอะมานะห์ทางวิชาการตามที่ได้เรียนรู้กันมา
ถามตนเองกันหน่อยว่า สภาพที่แท้จริงของคุณคือใคร ระหว่าง ปราชญ์ที่สามารถวินิจฉัยปัญหาเองได้ หรือ คนเรียนรู้ ที่สามารถสืบค้นและแจกแจงได้ หรือ คนที่ไม่ได้เรียนรู้
แต่จะว่าในเมืองไทยไม่ปราชญ์มุจตะฮิดก็คงพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะเห็นมีคำประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่า “ให้ยืนห่างกันในแถวละหมาด” ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า ใครบ้างเป็นปราชญ์มุจตะฮิดที่วินิจฉัยเรื่องนี้ หรือ เพียงแค่ก๊อปฟัตวาจากที่อื่นมา “วัลลอฮุอะอ์ลัม”
.
แต่ถ้าใครจะถามเราว่า เอ็งเป็นใคร เราก็จะตอบว่า “ข้าเป็นคนเรียนรู้”
แล้วถ้าเราจะถามกลับบ้างว่า เอ็งเป็นใคร ? เอ็งจะตอบยังไง....
ถ้าตอบว่า เป็นคนเรียนรู้
ถ้าเช่นนั้น เอาหลักฐานและวิชาการมาคุยกัน...
.
.

ฟารีด เฟ็นดี้ 27 ตุลาคม 2018 · #ให้เกียรติต่ออุลามาอ์ตามสถานะที่เขาดำรงอยู่



#ให้เกียรติต่ออุลามาอ์ตามสถานะที่เขาดำรงอยู่

ในห้วงเวลานี้มีคำวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง การตามอุลามาอ์ และการให้เกียรติต่ออุลามาอ์ กันอย่างแพร่หลาย ตามเจตนาที่แต่ละคนยึดถืออยู่ แต่บรรดาอุลามาอ์เอง เขามีกฎเกณฑ์ที่เรียกว่า “กออิดะห์” ที่ทุกคนยอมรับและยึดถือตรงกัน ขอให้ท่านลองอ่านและทำความเข้าใจ และพิจารณาตัวเองว่า ท่านอยู่ในกฎหรือละเมิดกฎ ดังต่อไปนี้

قاعدة : كل يؤخذ من قوله ويرد إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم

#กฎที่ว่าด้วยเรื่อง : คำพูดของทุกคนจะรับหรือจะปฏิเสธก็ได้นอกจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม

#หลักฐานของกฎนี้คือ :
1 – อะห์หมัด อิบนุ อัมร์ อัลบัซซาร เล่าให้เราฟังว่า ซิยาด บิน อัยยูบ เล่าให้เราฟังว่า อบูอุบัยดะห์ อัลฮัดดาด เล่าให้เราฟังจาก มาลิก บินดีนาร จาก อิกริมะห์ จาก อิบนิ อับบาส กล่าวว่า
لَيْسَ أَحَدٌ إِلَّا يُؤْخَذُ مِنْ قَوْلِهِ وَيَدَعُ غَيْرَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
“ไม่มีผู้ใดหรอกนอกจากคำพูดของเขาจะถูกตอบรับหรือทิ้งก็ได้ นอกจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” บันทึกโดย อัตต๊อบรอนีย์ ในอัลมัวญัม อัลกะบีร ฮะดีษลำดับที่ 11941
2 – ซุฟยาน อิบนุ อุยัยนะห์ รายงานจาก อับดุลการีม จาก มุญาฮิด กล่าวว่า
لَيْسَ أَحَدٌ بَعْدَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِلَّا يُؤْخَذُ مِنْ قَوْلِهِ وَيُتْرَكُ، إِلَّا النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ
“ไม่มีผู้ใดหลังจากนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม นอกจากคำพูดของเขาจะถูกตอบรับหรือถูกทิ้งก็ได้นอกจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” บันทึกโดยอบูนาอีม ในญุซที่ 3 ลำดับที่ 300 และ อิบนุ อับดิลบัร ในอัตตัมฮีด ลำดับที่ 118
3 – อับดุลวาริส อิบนุ ซุฟยาน เล่าให้เราฟังว่า กอเซ็ม บิน อัศบัฆ เล่าให้เราฟังว่า อะห์หมัด อิบนุ ซุฮัยร์ เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า พ่อของฉันเล่าให้ฟังว่า สะอี๊ด บิน อามิร เล่าให้เราฟังโดยกล่าวว่า ชัวอ์บะห์เล่าให้เราฟังจาก อัลฮะกัม บิน อุตบะห์ กล่าวว่า
ليس أحد من خلق الله إلا يؤخذ من قوله ويترك إلا النبي صلى الله عليه وسلم
“ไม่มีผู้ใดจากมนุษย์นอกจากคำพูดของเขาจะถูกยอมรับหรือถูกปฏิเสธนอกจากท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” บันทึกโดย อิบนุ อับดิลบัร ในญามิอุลบะยาน เล่มที่ 2 หน้าที่ 91
4 – ท่านอิหม่ามมาลิก บิน อะนัส ได้รายงานเช่นเดียวกับที่กล่าวข้างต้น แต่เนื้อหาท่อนท้ายมีสำนวนที่แตกต่างกันคือ
إِلَّا صَاحب هَذَا الْقَبْر وَأَشَارَ إِلَى قبر النَّبِي صلى الله عَلَيْهِ وَسلم
“นอกจากเจ้าของหลุมศพนี้ แล้วท่านก็ชี้ไปที่หลุมศพของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” อบูซามะห์ อัลมักดิซีย์ ในมุคตะศ็อร หน้าที่ 66
คำพูดของท่านอิหม่ามมาลิก นี้เป็นที่แพร่หลายและรับรู้กันโดยทั่วไป

#วัตถุประสงค์และเป้าหมายของกฎนี้
المراد بهذه القاعدة عند السلف: أن كلَّ أحدٍ من الناس كائنًا من كان، يُؤخذ من قوله ويُترك، أي: يُؤخذ منه ويُقبل ما وافق الحق، ويُترك ويُردُّ ما خالف الحق؛ لأنه غير معصوم، إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم، فيُؤخذ بكل ما قاله ويُقبل لأنه وحيٌ يوحى
“เป้าหมายของกฎนี้ ณ.ที่สะลัฟก็คือ : ทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่คำพูดของเขาจะถูกรับหรือถูกปฏิเสธ หมายถึง ถูกเอาหรือถูกตอบรับในสิ่งที่ตรงกับสัจธรรม และถูกทิ้งหรือปฏิเสธในสิ่งที่ค้านกับสัจธรรม เพราะเขาไม่ใช่มะอ์ศูม (ผู้ที่ได้รับการปกป้องให้ปราศจากความผิด) นอกจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ที่จะถูกยึดถือและถูกตอบรับทุกสิ่งที่ท่านกล่าว เพราะเป็นวะฮีย์ที่มีมายังท่าน”
وهذا إن دلَّ على شيءٍ إنما يدلُّ على شِدَّة تعظيم أهل السنة للنصوص الشرعية، المتمثلة في كتاب الله تعالى وسنة رسوله صلى الله عليه وسلم، وتقديمها على أقوال الرجال واجتهاداتهم، فهم لا يعاملون أقوال أئِمتهِم معاملة النصوص الشرعية من حيث القبول والتسليم المطلق، ولا يجعلون أقوال علمائهم بمنزلة النصوص التي تحرم مخالفتها ومعارضتها؛ بل يأخذون منها ما وافق الحق والأدلة، ويتركون ما خالف ذلك؛ لأنها ليست وحيًا منزَّلاً صادرًا عن معصوم
“มันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงการให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดของ อะห์ลิสซุนนะห์ ต่อตัวบททางด้านนิติบัญญัติ ที่จะต้องยึดเอาไว้คู่กันทั้งในคัมภีร์ของอัลลอฮ์และซุนนะห์ของรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยเอาทั้งสองนี้ก่อนถ้อยคำใดๆของบรรดาอุลามาอ์และในการวินิจฉัยของพวกเขา โดยพวกเขานั้นจะไม่เอาถ้อยคำของบรรดาผู้นำแห่งปวงปราชญ์ของพวกเขากับตัวบทศาสนาเขามาคละ โดยให้การยอมรับและยึดถือแบบดุษฎี และพวกเขาจะไม่ทำให้ถ้อยคำใดๆของอุลามาอ์อยู่ในสถานะเดียวตัวบทซึ่งห้ามละเมิดและคัดค้าน แต่ทว่า พวกเขาจะยึดเอาในสิ่งที่สอดคล้องกับสัจธรรมและหลักฐานต่างๆ และพวกเขาจะทิ้งสิ่งที่มันขัดแย้งในเรื่องดังกล่าว เพราะว่ามันนั้นไม่ใช่วะฮีย์ที่ถูกประทานมาซึ่งออกมาจากผู้ที่เป็นมะอ์ศูม (ผู้ที่ได้รับการปกป้องให้ปราศจากความผิด) “

#คำอธิบายของปราชญ์
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
وَقَدْ اتَّفَقَ سَلَفُ الْأُمَّةِ وَأَئِمَّتُهَا عَلَى أَنَّ كُلَّ أَحَدٍ يُؤْخَذُ مِنْ قَوْلِهِ وَيُتْرَكُ إلَّا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَهَذَا مِنْ الْفُرُوقِ بَيْنَ الْأَنْبِيَاءِ وَغَيْرِهِمْ، فَإِنَّ الْأَنْبِيَاءَ صَلَوَاتُ اللَّهِ عَلَيْهِمْ وَسَلَامُهُ يَجِبُ لَهُمْ الْإِيمَانُ بِجَمِيعِ مَا يُخْبِرُونَ بِهِ عَنْ اللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ، وَتَجِبُ طَاعَتُهُمْ فِيمَا يَأْمُرُونَ بِهِ؛ بِخِلَافِ الْأَوْلِيَاءِ فَإِنَّهُمْ لَا تَجِب طَاعَتُهُمْ فِي كُلِّ مَا يَأْمُرُونَ بِهِ وَلَا الْإِيمَانُ بِجَمِيعِ مَا يُخْبِرُونَ بِهِ؛ بَلْ يُعْرَضُ أَمْرُهُمْ وَخَبَرُهُمْ عَلَى الْكِتَابِ وَالسُّنَّةِ فَمَا وَافَقَ الْكِتَاب وَالسُّنَّةَ وَجَبَ قَبُولُهُ وَمَا خَالَفَ الْكِتَابَ وَالسُّنَّةَ كَانَ مَرْدُودًا
“บรรดาสะลัฟและบรรดาผู้นำของพวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่า ทุกๆคนนั้นคำพูดของเขาจะถูกรับหรือถูกปฏิเสธก็ได้นอกจากรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และนี่คือการจำแนกระหว่างบรรดานบีกับคนอื่น เพราะบรรดานบีนั้น จำเป็นต้องศรัทธาต่อพวกเขาในทุกเรื่องที่เขานำมาบอกจากอัลลอฮ์ และจำเป็นต้องภักดีต่อพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาใช้ ซึ่งแตกต่างจากบรรดาผู้นำ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องภักดีต่อพวกเขาในทุกๆเรื่องที่พวกเขาใช้ และไม่จำเป็นต้องตามในทุกเรื่องที่เขาบอก แต่จะต้องนำเอาสิ่งที่พวกเขาใช้และบอกนั้นไปตรวจสอบกับอัลกุรอานและซุนนะห์ และสิ่งใดที่สอดคล้องกับอัลกุรอานและซุนนะห์ก็จำเป็นต้องน้อมรับ แต่สิ่งที่ค้านคัดกับอัลกุรอานและซุนนะห์นั้นก็ต้องปฏิเสธ” ฟะตาวาอัลกุ๊บรอ 11/208
ชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
قد ثبت بالكتاب والسنة والإجماع أن الله سبحانه وتعالى فرض على الخلق طاعته ، وطاعة رسوله صلى الله عليه وسلم ، ولم يوجب على هذه الأمة طاعة أحد بعينه فى كل ما يأمر به وينهى عنه إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم ، واتفقوا كلهم على أنه ليس أحد معصوماً فى كل ما يأمر به وينهى عنه إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم ، ولهذا قال غير واحد من الأئمة : كل أحد من الناس يؤخذ من قوله ويترك إلا رسول الله صلى الله عليه وسلم
“มีคำยืนยันด้วยอัลกุรอาน,ซุนนะห์และ อิจมาอ์ว่า พระองค์อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงกำหนดให้บ่าวภักดีต่อพระองค์ และภักดีต่อรอซูลของพระองค์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม โดยไม่เป็นความจำเป็นใดๆต่อประชาชาตินี้ที่จะต้องภักดีต่อตัวตนของคนหนึ่งคนใด ในสิ่งที่ใช้หรือห้ามในเรื่องนั้น นอกจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม พวกเขาทุกคนได้เห็นพ้องต้องกันว่า ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์ปราศจากมลทินใดๆ ในทุกสิ่งที่ใช้และห้ามในเรื่องนั้น นอกจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และนี้ที่บรรดาปราชญ์ต่างพูดถึงกันว่า : มนุษย์ทุกคนนั้นคำพูดของเขาถูกยึดถือและถูกทิ้งก็ได้ นอกจากท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม” มัจมัวอุ้ลฟะตาวา ญุซอ์ที่ 20 หน้าที่ 210
ท่านชัยคุ้ลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะห์ กล่าวว่า
أما وجوب اتباع القائل في كل ما يقوله من غير ذكر دليل يدل على صحة ما يقول فليس بصحيح ‘ بل هذه المرتبة هي مرتبة الرسول التي لا تصلح إلا له
“ส่วนความจำเป็นในการตามผู้กล่าวในทุกๆเรื่องที่เขากล่าว โดยไม่อ้างถึงหลักฐานที่แสดงถึงความถูกต้องในสิ่งที่เขากล่าวนั้น ถือว่าไม่ถูกต้อง ทว่าสถานะนี้คือสถานะของท่านรอซูล ซึ่งไม่มีผู้ใดคู่ควรต่อสถานะนี้นอกจากท่านเท่านั้น” มัจมัวอุลฟะตาวา ญุชอ์ที่ 35 หน้าที่ 121
กฎเกณฑ์ตามที่กล่าวข้างต้นนี้ เป็นที่ยอมรับและถือปฏิบัติของอุลามาอ์ซุนนะห์ ตั้งแต่ในยุคสะลัฟเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่การลดเกียรติ และมิใช่เป็นการเทิดเกียรติอุลามาอ์จนเลยเถิด แต่เป็นกฏเกณพ์ที่แจ้งสถานะของพวกเขาตามความเป็นจริงที่พวกเขาดำรงอยู่