วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563

นิติธรรมอิสลาม ( Qiyas) อัล-กิยาส




นิติธรรมอิสลาม ( Qiyas)

อัล-กิยาส
Ibrahim Saleh
Ph.D. Muamalat Islam. UMT


อัล-กิยาส หมายถึง การนำข้อปัญหาที่ไม่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาไปเปรียบเทียบกับข้อปัญหาที่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาเอาไว้แล้ว เนื่องจากทั้ง 2 ข้อปัญหานั้นมีเหตุผลในข้อชี้ขาดร่วมกัน
เมื่ออัลกุรอาน อัลซุนนะฮฺ และอัลอิจญมะอฺ ได้ชี้ขาดต่อประเด็นใดประเด็นหนึ่ง และอุลามะฮฺในระดับ มุจตาฮิด ได้ทราบถึงเหตุผลในข้อชี้ขาด ต่อมาได้พบประเด็นอื่นๆที่คล้ายกันหรือเหมือนกันในเหตุผล แต่ไม่มีการชี้ขาดจากหลักฐานอันเป็นตัวบท จึงมีการกียาส (เปรียบเทียบ )ขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่อิสลามได้ห้ามการดื่มสุรา ที่ปรากฏหลักฐานในอัลกุรอาน ตามที่อัลเลาะฮฺได้ตรัสว่า
يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا إِنَّمَا الْخَمْرُ وَالْمَيْسِرُ وَالأَنْصَابُ وَالأَزْلامُ رِجْسٌ مِنْ عَمَلِ الشَّيْطَانِ 
فَاجْتَنِبُوهُ لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ
ความว่า “ ผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัญ และการเสี่ยงติ้วนั้นเป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ” ( อัลกุรอาน.5 : 90 )
ตามทัศนะของอูลามะฮฺบางท่าน คำว่า เหล้า หรือสุรา หมายถึงน้ำผลไม้ที่ทำจากน้ำองุ่นเท่านั้น ไม่ร่วมถึงน้ำที่ทำจากอย่างอื่นที่ไม่ใช่องุ่น และจากอายัตข้างต้น พอจะสรุปได้ว่า อิสลามได้ห้ามดื่มเหล้าที่ทำจากน้ำองุ่น ด้วยเหตุผลมันทำให้มื่นเมาเสียสติ ในสังคมปัจจุบันของบ้านเรา ยังมีน้ำชนิดอื่นๆที่ไม่ได้ทำจากน้ำองุ่น แต่ดื่มแล้วมันทำให้เมา เสียสติเหมือนกัน เช่นน้ำตาลเปรี้ยว และล่าสุดที่วัยรุ่นชอบดื่มคือน้ำกระท่อม แต่ทั้งสองชนิดนี้ไม่ได้ระบุว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้ามในอัลกุรอาน หรือ หลักฐานอื่นๆ 
ณ จุดนี้ท่านอูลามะฮฺมุจตาฮิดได้กิยาส ( เปรียบเทียบ) เหล้าที่ทำจากน้ำองุ่น กับ น้ำตาลเปรี้ยว และสิ่งเสพติดื่นๆ ที่มีเหตุผลเหมือนกันคือ ทำให้มื่นเมาว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้ามเช่นเดียวกับเหล้า


การที่จะถือว่าเป็นกียาสได้นั้นต้องครบองค์ประกอบของกียาส ซึ่งมี 4 ประการคือ
(1) หลักมูลฐาน (อัล-อัศลุ) หมายถึง ตำแหน่งของข้อชี้ขาดซึ่งได้รับการยืนยันด้วยตัวบท ( อัลกุรอานและอัลซุนนะฮฺ ) หรืออัล-อิจญ์มาอฺ หรือหมายถึง ตัวบทที่บ่งชี้ถึงข้อชี้ขาดนั้น
(2) ข้อปลีกย่อย (อัล-ฟัรอุ) คือตำแหน่งที่ไม่มีตัวบทหรืออิจญ์มาอฺระบุข้อชี้ขาดเอาไว้
(3) คุณลักษณะร่วมกันระหว่างหลักมูลฐาน (อัล-อัศลุ) และข้อปลีกย่อย (อัลฟัรอุ) คือเหตุผลหรือที่เรียกว่า (อัล-อิลละฮฺ)
(4) ข้อชี้ขาดของหลักมูลฐาน (ฮุกมุ้-อัลอิศฺล์)
การเป็นหลักฐานในกฎหมายอิสลามของกียาส
บรรดาอูลามะฮฺส่วนใหญ่เห็นว่ากียาสเป็นหนึ่งที่มาของข้อกฏหมายในอิสลาม ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม อัล-นิซอม อัล-ซอฮีระยะฮฺ และส่วนหนึ่งของซีอะฮฺ ที่เห็นว่ากียาสไม่สามารถเป็นต้นกำเนิดและที่มาของกฏหทายในอิสลามได้ บรรดาอูลามะฮฺที่เห็นด้วยให้เหตุผลว่าได้ปรากฏหลักฐานทั้งอัลกุรอานและอัลซุนนะฮฺว่ากิยาสเป็นต้นกำเนินหนึ่งของกฎหมายอิสลาม ดังที่อัลเลาะฮฺได้ตัสไว้ในอัลกุรอานว่า
فَاعْتَبِرُوا يَا أُولِي الْأَبْصَارِ
ความว่า " ดังนั้นสูเจ้าทั้งหลายจงพินิจพิจารณาดูเถิด ( เป็นบทเรียน ) โอ้ผู้ชาญฉลาดทั้งหลาย " ( อัล กุรอาน.59 :2 )
ส่วนหลักฐานของอัลซุนนะฮฺ พบว่าท่านรอซูลได้ใช้กียาสในหลายเรื่องตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องที่ท่านสหายของท่านอูมาร อัล-คอต๊อบ ได้ร้องเรียนกับท่านรอซุลว่า “ ข้าพเจ้า ได้กระทำผิดที่ใหญ่หลวง คือข้าพเจ้าได้หอมภรรยาในขณะที่ข้าพเจ้าถือศิลอดอยู่” ท่านรอซุลได้ตอบกลับว่า “ เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรถ้าเจ้าได้บ้วนปาก ในขณะที่ถือศิลอดอยู่” อูมารตอบว่า “ ไม่เป็นไร ” ท่านรอซุลก็ตอบกลับว่า “ เหตุใดเจ้าจึงกังวลอีก”
จากกรณีศึกษานี้เราพบว่า การกียาส ( เปรียบเทียบ) เกิดขึ้นระหว่างการบ้วนปากในขณะถือศิลอด กับการหอมภรรยาในขณะถือศิลอด ทั้งสองกรณีนี้ไม่ได้ทำให้การประกอบศาสนกิจถือศิลอดนั้นเสียแต่ประดารใด

 สรุป
ความสำคัญของอัลอิญมาอฺและอัลกียาสในฐานะต้นกำเนิดและที่มาของกฎหมายอิสลาม ตามที่ได้อภิปรายมาข้างต้น พอที่จะสรุปได้ว่าทั้งสองอย่างเป็นที่มาของกฎหมายที่สามารถเชื่อถือได้และนำมาปฏิบัติใน กฎหมายอิสลาม แม้ว่าน้ำหนักและความเชื่อถือของอัลอิญมาอฺและอัลกียาสไม่เท่าเทียมกัน เพราะอัลอิจญมะอฺเป็นหลักฐานปฐมภูมิ (อัลอะดิล อัลอะซาซียะฮฺ) เช่นเดียวกับอัลกุรอานและ อัลซุนนะฮฺ ส่วนอัลกียาส ถูกจัดอยู่ในหมวดของบรรดาหลักฐานที่ใช้การวิเคราะห์ทางสติปัญญาว่า บรรดาหลักฐานสืบเนื่อง (อัลอะดิลละฮฺ อัตตะบะอียะฮฺ) หรือ บรรดาหลักฐานในขั้นทุติยภูมิ แต่ก็เป็นหลักฐานของต้นกำเนิดของกฎหมายอิสลามได้เช่นกัน ตามความคิดเห็นของอูลามะฮฺส่วนใหญ่ แต่นี้สังคมในบ้านเรา ไม่ค่อยให้ความสนใจนักต่อที่มาของกฎหมายอิสลามโดยเฉพาะอัลอิจญมะอฺและอัลกียาส เป็นเพราะว่าเขาไม่มีความรู้ในเรื่องดังกล่าว แต่เขาทราบดีในเรื่องอัลกุรอานและอัลซุนนะฮฺในฐานะที่ทั้งสองเป็นครรลองในการดำรงชีวิตของประชาชาติมุสลิมทุกคน และทุกคนจะปลอดภัยทั้งในโลกดุนยาและอาคีเราะฮฺหากเขาได้ยึดถือใน อัลกุรอาน อัลซุนนะฮฺ อิจญมะอฺ และกียาส ในฐานที่มาของกฎหมายอิสลามที่เขาได้ถือปฏิบัติ

อ้างอิง
Abu Umair, 2552 [ ออนไลน์ ] เข้าถึงได้ http://ustadzkholid.com/ushul-fiqih/ijma-sumber-hukum-islam/
สืบค้นข้อมูลเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2554
Haji Husein bin Haji Ahamad, 2002, Usulul Fiqh, Cetakan ke tiga, Pustaka Haji Abd. Majid,
Kota Bharu, Malaysia.
Khalid, 2554 [ ออนไลน์ ] เข้าถึงได้ http://ustadzkholid.com/ushul-fiqih/ijma-sumber-hukum-islam/
สืบค้นข้อมูลเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2554
……………………..,2554 [ ออนไลน์ ] เข้าถึงได้ http://www.alisuasaming.com/index.php/article/
สืบค้นข้อมูลเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2554

กฏหมายอิสลาม ความเป็นมาและความสำคัญของกฎหมายอิสลาม

 กฏหมายอิสลาม ความเป็นมาและความสำคัญของกฎหมายอิสลาม

ส่วนบนของฟอร์ม

บทที่   1

ความเป็นมาและความสำคัญของกฎหมายอิสลาม

1. หลักนิติธรรมอิสลาม  (اَلشًّرِيْعَةُ الإِسْلاَمِيَّةُ)  และกฎหมายอิสลาม  (اَلْفِقْهُ الإِسْلاَمِيّ)

หลักนิติธรรมอิสลาม    (اَلشًّرِيْعَةُ الإِسْلاَمِيَّةُ)  หมายถึง  สิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงบัญญัติแก่มวลบ่าวของพระองค์จากบรรดาหลักการที่เกี่ยวกับการยึดมั่น  (اَلْعَقِيْدَةُ)  จริยธรรม  (اَلأَخْلاَقُ)  และการจัดระเบียบทางด้านวจีกรรม  กายกรรม  และธุรกรรมต่างๆของมนุษย์

กฎหมายอิสลาม  اَلْفِقْهُ الإِسْلاَمِيّ)) หมายถึง  ประมวลหลักการปฏิบัติต่าง ๆ ตามศาสนบัญญัติซึ่งเป็นการจัดระเบียบพฤติกรรม  วจีกรรม และการทำธุรกรรมต่างๆของบรรดาผู้ที่เข้าอยู่ในเกณฑ์บังคับของศาสนา  โดยมีที่มาจากอัล-กุรฺอานและสุนนะฮฺตลอดจนบรรดาหลักฐานทางศาสนบัญญัติอื่น ๆ

ดังนั้นนัยของหลักนิติธรรมอิสลามจึงมีความครอบคลุมกว่านัยของกฎหมายอิสลาม  เนื่องจากหลักนิติธรรมอิสลามประมวลถึงหลักการยึดมั่น   และหลักจริยธรรม   ตลอดจนประมวลกฎหมายอิสลามไว้ด้วย  จึงกล่าวได้ว่า  กฎหมายอิสลามเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติธรรมอิสลามโดยรวม

 

กฎหมายอิสลาม   แบ่งออกเป็น  2  หมวดใหญ่ ๆ คือ

1.  หมวดการประกอบศาสนกิจ  (اَلْعِبَادَات)  ซึ่งกล่าวถึงบรรดาหลักการเฉพาะที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของปัจเจกบุคคลกับอัลลอฮฺ    เช่น  การละหมาด   การจ่ายซะกาฮฺ  การถือศีลอด  และการประกอบพิธีหัจญฺ  เป็นต้น

2.  หมวดปฏิสัมพันธ์  (اَلْمُعَامَلاَت)  หมายถึงบรรดาหลักการเฉพาะที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน  เช่น  การซื้อขาย  การทำธุรกรรมรูปแบบต่าง ๆ การสมรส  และการตัดสินข้อพิพาท  เป็นต้น

ในส่วนของนักวิชาการสังกัดมัซฮับอัช-ชาฟิอียฺ  ได้แบ่งหมวดของกฎหมายอิสลามออกเป็น  4  หมวด  คือ 

(1)    หมวดการประกอบศาสนกิจ  اَلْعِبَادَات))

(2)    หมวดปฏิสัมพันธ์  (اَلْمُعَامَلاَت)

(3)    หมวดลักษณะอาญา  (اَلْعُقُوْبَات)

(4)    หมวดการสมรส  (اَلزَّوَاجُ)  หรือกฎหมายครอบครัว  (أحْكَامُ الأُسْرَةِ)

  จากสิ่งที่กล่าวมา ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า  กฎหมายอิสลามมีความครอบคลุมถึงเรื่องราวทางศาสนาและทางโลก  ในขณะที่หลักนิติธรรมอิสลามตั้งอยู่บนหลักพื้นฐานของการจัดระเบียบที่ครอบคลุมกิจกรรมทุกมิติของมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นมิติทางจิตวิญญาณ  จริยธรรม  และวัตถุ

  

ที่มาของกฎหมายอิสลาม

ที่มาของกฎหมายอิสลามถูกเรียกว่า หลักฐานทางศาสนบัญญัติ (اَلأَدِلَّةُ الشَّرْعِيَّةُ)      หรือ หลักมูลฐาน  (اَلأُصُوْلُ)  ซึ่งนักกฎหมายอิสลามส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่ามี  4  ประการ  คือ

1.  อัล-กุรฺอาน  (اَلْقُرْآن)

2.  อัล-หะดีษ  (اَلْحَدِيْثُ)

3.  อัล-อิจญฺมาอฺ  (اَلإِجْمَاعُ)

สามประการนี้เรียกว่า  หลักฐานอันเป็นตัวบทที่มีการรายงานสืบเนื่องกันมา (اَلأَدِلَّةُ النَّقْلِيَّةُ) 

4.  อัล-กิยาส   (اَلْقِيَاسُ)  หลักข้อนี้จัดอยู่ในหมวดหลักฐานที่ใช้การวิเคราะห์ทางสติปัญญา  (اَلأَدِلَّةُ الْعَقْلِيَّةُ)  ซึ่งนักกฎหมายอิสลามได้ผนวกประเภทของหลักฐานในหมวดนี้เอาไว้แตกต่างกัน  เช่น  อัล-อิสติหฺสาน  อัล-อิสติสหาบฺ  อัลอุรฺฟ และอัล-มะศอลิฮุลมุรฺสะละฮฺ  เป็นต้น

นักวิชาการเรียกที่มาของกฎหมายอิสลามทั้ง  4  ประการนี้ว่า     หลักฐานปฐมภูมิ              (اَلأَدِلَّةُ الأَسَاسِيَّةُ)     และเรียกประเภทอื่น ๆ ที่ถูกจัดอยู่ในหมวดของหลักฐานที่ใช้การวิเคราะห์ทางสติปัญญาว่า  หลักฐานสืบเนื่อง  (اَلأَدِلَّةُ التَّابِعِيَّةُ)  หรือ  หลักฐานทุติยภูมินั่นเอง

อัล-กุรฺอาน หรือกิตาบุลลอฮฺ  (كِتَابُ اللهِ)  คือ  พระดำรัสของอัลลอฮฺ ที่ประทานลงมาให้นบีมุฮัมมัดเป็นภาษาอาหรับ  เพื่อเป็นปาฏิหาริย์แม้สูเราะฮฺที่สั้นที่สุด  พระดำรัสนั้นถูกบันทึกอยู่ในคัมภีร์ซึ่งถ่ายทอดแบบมุตะวาติรฺ และเป็นอิบาดะฮฺด้วยการอ่าน  เริ่มต้นด้วยบทอัล-ฟาติหะฮฺ  และจบลงด้วยบทอัน-นาส  อัลกุรฺอานมี  114  สูเราะฮฺ  แบ่งออกเป็น  30  ญุซอฺ  ซึ่งนับเป็นแม่บทของกฎหมายอิสลาม  และเป็นที่มาของบทบัญญัติและข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้ 

1.  หลักความเชื่อ

2.  หลักจริยธรรม

3.  หลักปฏิบัติซึ่งครอบคลุมทั้งหมวดการประกอบศาสนกิจ عِبَادَات))  และหมวดปฏิสัมพันธ์  (مُعَامَلاَت)  โดยหมวดปฏิสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น  หลักการครองเรือน  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์  กฎหมายลักษณะอาญา  กฎหมายธรรมนูญการปกครอง  หลักวิธีพิจารณาคดีความทั้งแพ่งและอาญา  หลักวิเทโศบายหรือกฎหมายระหว่างประเทศ  และหลักเศรษฐศาสตร์และการคลัง  เป็นต้น 

อัล-หะดีษ หรือ  อัส-สุนนะฮฺ (اَلسُّنَّةُ)  หมายถึง  คำพูด  การกระทำ  หรือการยอมรับของนบีมุฮัมมัด  ( )  ซึ่งเป็นคำสอนที่มีการจดจำ  บันทึก  ถ่ายทอดโดยผู้ใกล้ชิดและผู้เกี่ยวข้อง  เพื่อยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา  อัล-หะดีษเป็นแม่บทของกฎหมายอิสลามในลำดับที่  2  รองจากอัล-กุรฺอาน

อนึ่งนักกฎหมายอิสลามเรียกที่มาของกฎหมายอิสลามในลำดับที่  2  นี้ว่า  อัส-สุนนะฮฺ  เนื่องจากมีนัยกว้างและครอบคลุมมากกว่าคำว่า  อัล-หะดีษ  โดยแบ่งประเภทของอัส-สุนนะฮฺ  ออกเป็น  3  ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1.  อัส-สุนนะฮฺที่เป็นคำพูด  คือ  คำพูดที่นบีมุฮัมมัด ( )  กล่าวเอาไว้ในโอกาสและเป้าหมายต่าง ๆ เช่น  หะดีษที่ว่า  :   “…..إنَّمَاالأَعْمَالُ بِالنِّيَّاتِ”   (อันที่จริงการปฏิบัติทั้งหลายขึ้นอยู่กับการตั้งเจตนา”  เป็นต้น

2.  อัส-สุนนะฮฺที่เป็นการกระทำ  คือการกระทำที่นบีมุฮัมมัด  ( )  ได้ปฏิบัติไว้  เช่น  การปฏิบัติละหมาด  5  เวลา  การประกอบพิธีหัจญฺ  การตัดสินคดีความโดยใช้พยานและการสาบาน  เป็นต้น

3.  อัส-สุนนะฮฺที่เป็นการรับรอง  คือ  การที่นบีมุฮัมมัด  ( )  นิ่งเงียบโดยไม่ปฏิเสธหรือคัดค้านคำพูด  การกระทำที่เกิดขึ้นต่อหน้าท่าน  ( )      หรือคำพูด การกระทำที่เกิดขึ้นในยุคสมัยของท่านโดยรับรู้ถึงคำพูด การกระทำนั้นโดยนบี  ( )  เห็นด้วย แสดงความยินดี หรือถือว่าคำพูดหรือการกระทำที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม  เป็นต้น 

ในส่วนของอัส-สุนนะฮฺที่เป็นการกระทำของนบีมุฮัมมัด  ( )  นั้นนักวิชาการแบ่งเป็น  3  ชนิด  ดังนี้

1.  การกระทำต่าง ๆ อันเป็นอัธยาศัยของนบี  ( )  เช่น  การยืน  การนั่ง  การรับประทาน และการดื่ม  เป็นต้น  สิ่งเหล่านี้ไม่มีข้อขัดแย้งว่าเป็นที่อนุมัติสำหรับนบี  ( )  และประชาชาติของท่าน  แต่ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติคตามทัศนะของปวงปราชญ์

2.  การกระทำต่าง ๆ ซึ่งมีการยืนยันว่าเป็นกรณีเฉพาะของนบีมุฮัมมัด  ( )  เท่านั้น  เช่น  การถือศีลอดติดต่อกัน  การอนุญาตให้มีภรรยาได้มากกว่า  4  คนในคราวเดียวกัน  เป็นต้น  การกระทำต่าง ๆ นี้เป็นกรณีพิเศษเฉพาะนบี  ( )  และไม่ต้องปฏิบัติตาม

3.  การกระทำต่าง ๆ ที่นอกเหนือจาก  2  ชนิดแรก  ซึ่งมีเป้าหมายในการวางบัญญัติทางศาสนา  การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกเรียกร้องให้มีการปฏิบัติตามโดยมีลักษณะแตกต่างกันไปว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น (وَاجِبٌ)   ส่งเสริม  (سُنَّةٌ)    หรืออนุญาต (مُبَاحٌ)   เป็นต้น 

 

  อัล-อิจญฺมาอฺ (اَلإِجْمَاعُ) หมายถึง  การเห็นพ้องกันของบรรดานักปราชญ์ทางศาสนา  (مُجْتَهِدٌ)  จากประชาชาติของนบีมุฮัมมัด   ( )   ในข้อบัญญัติทางศาสนา ภายหลังการเสียชีวิตของนบี  ( )  ในยุคใดยุคหนึ่ง

อัล-อิจญฺมาอฺ  มี  2  ชนิดคือ

1.  การเห็นพ้องโดยชัดเจน  (اَلإِجْمَاعُ الصَّرِيْحُ)  คือ  การที่บรรดานักปราชญ์ทางศาสนามีทัศนะ  คำพูด  และการกระทำพ้องกันต่อข้อชี้ขาดในประเด็นปัญหาหนึ่งที่เจาะจงแน่นอน  เช่น  มีการร่วมชุมนุมของบรรดานักปราชญ์ในสถานที่แห่งหนึ่ง  นักปราชญ์แต่ละคนได้นำเสนอทัศนะของตนอย่างชัดเจนในข้อปัญหานั้น ๆ และทัศนะของทุกคนก็พ้องกันต่อข้อชี้ขาดของปัญหานั้น  หรือการที่มีนักปราชญ์ผู้หนึ่งตอบปัญหาศาสนาด้วยทัศนะหนึ่ง  แล้วปรากฏว่าการตอบปัญหาศาสนาจากนักปราชญ์ผู้อื่นพ้องกันในข้อชี้ขาดนั้น  ปวงปราชญ์ถือว่า  อัล-อิจญฺมาอฺชนิดนี้เป็นหลักฐานทางศาสนา

2.  การเห็นพ้องโดยนิ่งเงียบ  (الإِجْمَاع السُّكُوْتِي)  คือ  การที่นักปราชญ์ทางศาสนาบางท่านในยุคหนึ่งได้กล่าวคำพูดเอาไว้ในประเด็นข้อปัญหาหนึ่ง  และนักปราชญ์ผู้อื่นที่อยู่ร่วมสมัยนิ่งเงียบหลังจากที่รับรู้ถึงคำพูดนี้โดยไม่มีการปฏิเสธหรือคัดค้าน  อัล-อิจญฺมาอฺชนิดนี้นักปราชญ์ทางศาสนามีความเห็นต่างกันในการถือเป็นหลักฐานทางศาสนา 

 

อัล-กิยาส  (اَلْقِيَاسُ)   หมายถึง  การนำข้อปัญหาที่ไม่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาไปเปรียบเทียบกับข้อปัญหาที่มีตัวบทระบุถึงข้อชี้ขาดทางศาสนาเอาไว้แล้ว  เนื่องจากทั้ง  2  ข้อปัญหานั้นมีเหตุผลในข้อชี้ขาดร่วมกัน 

องค์ประกอบของอัล-กิยาสมี  4  ประการ ดังนี้

(1)  หลักมูลฐาน  (اَلأَصْلُ)  หมายถึง  ตำแหน่งของข้อชี้ขาดซึ่งได้รับการยืนยันด้วยตัวบทหรืออัล-อิจญฺมาอฺ  หรือหมายถึง  ตัวบทที่บ่งชี้ถึงข้อชี้ขาดนั้น

(2)  ข้อปลีกย่อย  (اَلْفَرْعُ)  คือตำแหน่งที่ไม่มีตัวบทหรืออัล-อิจญฺมาอฺระบุข้อชี้ขาดไว้

(3)  คุณลักษณะร่วมกันระหว่างหลักมูลฐาน   และข้อปลีกย่อย   คือเหตุผล (اَلْعِلَّةُ) 

(4)  ข้อชี้ขาดของหลักมูลฐาน  (حُكْمُ الأَصْلِ)

ตัวอย่าง

  ข้อชี้ขาดของไวน์คือเป็นสิ่งต้องห้าม (حَرَامٌ)  เนื่องจากข้อชี้ขาดของไวน์ไม่มีตัวบทระบุชี้ชัดเอาไว้  ไวน์จึงเป็นข้อปลีกย่อย   ในขณะที่สุรามีตัวบทบ่งชี้อย่างชัดเจนว่าเป็นสิ่งต้องห้าม   สุราจึงเป็นหลักมูลฐาน   เหตุผลที่สุราเป็นสิ่งต้องห้ามคือการทำให้มึนเมา และการทำให้มึนเมานี้ถือเป็นเหตุผล    อันเป็นคุณลักษณะร่วมกันระหว่างสุราและไวน์  จึงมีข้อชี้ขาดว่า  ไวน์เป็นสิ่งต้องห้ามตามข้อชี้ขาดของสุรานั่นเอง  ซึ่งเป็นข้อชี้ขาดที่เกิดจากการใช้หลักอัล-กิยาส

หลักฐานที่บ่งชี้ว่า  ที่มาทั้ง  4  ประการของกฎหมายอิสลามเป็นหลักฐานทางศาสนาคือ  อัล-หะดีษที่มีรายงานว่า  รสูลได้กล่าวแก่มุอาซฺ  อิบนุญะบัล  ขณะที่ส่งเขาไปยังเมืองยะมันว่า  :  “หากมีคดีความเกิดขึ้น ท่านจะตัดสินอย่างไร”  มุอาซตอบว่า :  “ฉันจะตัดสินด้วยคัมภีร์ของอัลลอฮฺ”  รสูล กล่าวว่า  :  “หากท่านไม่พบ  (ข้อชี้ขาด)  ในคัมภีร์ของอัลลอฮฺ  ท่านจะตัดสินอย่างไร”  มุอาซฺตอบว่า  :  “ฉันจะตัดสินด้วยสุนนะฮฺของรสูลุลลอฮฺ”       รสูลกล่าวว่า     “หากท่านไม่พบในสุนนะฮฺของรสูลุลลอฮฺ  ท่านจะตัดสินอย่างไร”   มุอาซฺตอบว่า  :  “ฉันจะวินิจฉัยด้วยความเห็นของฉันโดยฉันจะไม่บกพร่อง”  รสูลได้จับอกของมุอาซฺแล้วกล่าวว่า  :  “การสรรเสริญทั้งมวลเป็นสิทธิแด่อัลลอฮฺ  พระผู้ทรงเอื้ออำนวยให้ทูตของรสูลุลลอฮฺมีความคิดสอดคล้องกับสิ่งที่รสูลุลลอฮฺพึงพอใจ”  (รายงานโดยอะหฺมัด  อบูดาวูด  อัต-ติรฺมีซียฺ  อิบนุอะดียฺ  อัฏ-ฏ็อบรอนียฺ  อัด-ดารีมียฺและอัล-บัยฮะกียฺ เป็นหะดีษมุรฺสัล)

 

ความเป็นมาและพัฒนาการของกฎหมายอิสลาม

นักวิชาการได้แบ่งช่วงเวลาที่กฎหมายอิสลามมีการเปลี่ยนผ่านและพัฒนาการเป็น  4  ช่วงเวลา  ดังนี้

(1)  ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้น  ครอบคลุมสมัยของนบีมุฮัมมัด  ( )  โดยเริ่มต้นตั้งแต่มีการประกาศศาสนาอิสลาม  (ค.ศ.610)  และสิ้นสุดลงด้วยการเสียชีวิตของนบี  ( )  (ฮ.ศ.11/ค.ศ.636)  ในช่วงเวลาดังกล่าว  สาส์นแห่งอิสลามมิได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านการชี้นำทางจิตวิญญาณ  จริยธรรมและการประกอบศาสนกิจเท่านั้น แต่ยังได้จัดระเบียบกิจกรรมของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตในโลกนี้อีกด้วย  เหตุนี้ศาสนาอิสลามจึงได้ยกเลิกขนบธรรมเนียมและประเพณีบางส่วนของชาวอาหรับในด้านการครองเรือน  การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ  ที่มาของกฎหมายอิสลามในช่วงแรกนี้จำกัดอยู่ใน  2  ประการคือ  อัล-กุรฺอาน  และอัส-สุนนะฮฺ ซึ่งเป็นรากฐานของกฎหมายอิสลามในลักษณะหลักมูลฐานต่าง ๆ โดยทั่วไป  ตลอดจนกฎเกณฑ์พื้นฐานต่าง ๆ และจากหลักมูลฐานและกฎเกณฑ์พื้นฐานดังกล่าว  นักปราชญ์ทางศาสนาได้วิเคราะห์หลักการที่มีรายละเอียดซึ่งจะกลายเป็นประมวลหลักนิติธรรมอิสลามในยุคต่อมา ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดในการจัดระเบียบทางสังคม  เศรษฐกิจ  ระบอบรัฐศาสตร์  หลักการในการประกอบศาสนกิจและการมีปฏิสัมพันธ์ในรูปของธุรกรรมต่าง ๆ

ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นนี้  แบ่งเป็น  2 ระยะ คือ

ก)  ระยะเวลาประมาณ  13  ปี   ณ  นครมักกะฮฺ ชาวมุสลิมเป็นชนส่วนน้อยที่มีความอ่อนแอ  ถูกกดขี่  และมิได้มีส่วนร่วมในการปกครองนครมักกะฮฺซึ่งชนชั้นปกครองเป็นพวกตั้งภาคี  ด้วยเหตุนี้บรรดาอายะฮฺอัล-กุรฺอานที่เรียกว่าอายะฮฺมักกียะฮฺ  และบรรดาอัล-หะดีษของนบีมุฮัมมัด  ( )  จึงกล่าวถึงการจัดระเบียบการปกครองและหลักการที่ว่าด้วยธุรกรรมต่าง ๆไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น  แต่เน้นการอธิบายถึงหลักยึดมั่น  หลักศรัทธาของศาสนา และเรียกร้องเชิญชวนสู่การให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ  ( )  การขัดเกลาจิตใจ และวิพากษ์ความเชื่อของพลเมืองมักกะฮฺที่ยึดติดกับการตั้งภาคีและขนบธรรมเนียมประเพณีที่มีบ่อเกิดจากอวิชชา  ส่วนการประกอบศาสนกิจในระยะแรกที่มีบัญญัติไว้คือเรื่องการละหมาดเท่านั้น

  ข)  ระยะเวลา ประมาณ  10  ปี ณ นครมะดีนะฮฺซึ่งเริ่มต้นภายหลังการอพยพ  (اَلْهِجْرَةُ) ของ นบี  ( )  และบรรดาเศาะหาบะฮฺจากนครมักกะฮฺสู่นครมะดีนะฮฺ  ชาวมุสลิมได้สถาปนารัฐอิสลามขึ้น  ณ  นครมะดีนะฮฺ โดยมีโครงสร้างของรัฐอันประกอบด้วยพลเมือง  คือ  ผู้อพยพที่เรียกว่า   “مُهَاجِرُوْنَ”  และพลเมืองมะดีนะฮฺที่เรียกว่า  “أَنْصَارٌ”  ตลอดจนชาวยิวและชนอาหรับกลุ่มอื่น ๆ   มีดินแดนคือ  นครมะดีนะฮฺและเขตปริมณฑล  และมีระบอบการปกครองทางรัฐศาสตร์และการเมือง  ซึ่งอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการรวมอยู่ในประมุขสูงสุดของรัฐ  คือนบีมุฮัมมัด  ( )  ทั้งนี้นบี  ( )  ได้มีพันธสัญญาที่เรียกว่า  “الصَّحِيْفَةُ” ซึ่งเป็นปฏิญญาที่พลเมืองของมะดีนะฮฺยอมรับร่วมกันทุกฝ่ายโดยมีสถานะเช่นเดียวกับ  รัฐธรรมนูญ  ตามคำนิยามของนักวิชาการร่วมสมัย  ในระยะเวลานี้ประมวลกฎหมายอิสลามที่เป็นแม่บทในด้านต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการศาสนาและทางโลกได้ถูกกำหนดวางอย่างเป็นกิจจะลักษณะและมีความครบถ้วนสมบูรณ์

(2)  ช่วงเวลาแห่งการวางหลักมูลฐานของกฎหมายอิสลาม  เริ่มต้นตั้งแต่การสิ้นชีวิตของนบีมุฮัมมัด    จนถึงการล่มสลายของอาณาจักรอัล-อุมะวียะฮฺ  (ฮ.ศ.132/ค.ศ.750)  ทางด้านการเมืองนั้นครอบคลุมสมัยของบรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรม  (ฮ.ศ.11-41/ค.ศ.632-661)  และสมัยของอาณาจักรอัล-อุมะวียะฮฺ  (ฮ.ศ.41-132/ค.ศ.661-750)  ส่วนทางด้านกฎหมายอิสลามนั้นครอบคลุมสมัยของบรรดาเศาะหาบะฮฺ  ชนรุ่นตาบิอีนและตาบิอิตตาบิอีนซึ่งเรียกว่า “ยุคสะลัฟ ศอลิหฺ”  ในช่วงเวลาที่  2  นี้มีการพัฒนาทางสังคม  เศรษฐกิจ  ความคิดและการเมืองที่ส่งผลต่อพัฒนาการของกฎหมายอิสลาม  และมีการวิเคราะห์อย่างทุ่มเททางสติปัญญาที่เรียกว่า  “อัล-อิจฺญติฮาด”  เกิดขึ้นซึ่งนำไปสู่การปรากฏหลักฐานในการชี้ขาด  2  ประการ  คือ  อัล-อิจฺญมาอฺและอัล-กิยาส  ตลอดจนระบอบการปกครองแบบคิลาฟะฮฺก็ปรากฏชัดในฐานะระบอบการปกครองทางรัฐศาสตร์อิสลามอีกด้วย

พัฒนาการที่เด่นชัดในช่วงเวลานี้คือ 

1.  ศาสนาอิสลามแผ่ปกคลุมดินแดนของรัฐอิสลามที่มีอาณาเขตทางทิศตะวันออกจรดประเทศจีน  มหาสมุทรอินเดีย  และเขตตอนกลางของแอฟริกาทางทิศใต้ จรดมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันตก  และมีอาณาเขตทางตอนเหนือครอบคลุมทะเลสาบแคสเปียน ทะเลดำ และหมู่เกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนถึงภาคใต้ของฝรั่งเศสและคาบสมุทรไอบีเรีย  (สเปน)

2.  ภาษาอาหรับมีความแพร่หลายและกลายเป็นภาษาทางราชการและวิชาการในศาสตร์แขนงต่าง ๆ

3.  มีความตื่นตัวในการแปลตำรับตำราจากภาษาอื่น ๆ เป็นภาษาอาหรับและมีการสร้างผลงานทางวิชาการในศาสตร์แขนงต่าง ๆ

4.  บรรดาเศาะหาบะฮฺและชนรุ่นตาบิอีนได้กระจายไปตั้งหลักแหล่งในหัวเมืองต่าง ๆ  ที่ถูกพิชิตนับตั้งแต่ยุคของเคาะลีฟะฮฺอุษมาน  เป็นผลทำให้เกิดเมืองแห่งวิชาการตามมา  เช่น  เมืองกูฟะฮฺ  บัศเราะฮฺ  ฟุสฏอฏ  และแบกแดด  เป็นต้น

5.  เกิดกลุ่มสำนักทางความคิดหลากหลาย  เช่น  กลุ่มอัล-เคาะวาริจญฺ  กลุ่มชีอะฮฺ  กลุ่มมุรญิอะฮฺและกลุ่มมุอฺตะซิละฮฺ  เป็นต้น

(3)  ช่วงความสุกงอมและความสมบูรณ์  เริ่มต้นตั้งแต่การสถาปนาอาณาจักรอัล-อับบาสียะฮฺ  (ฮ.ศ.132/ค.ศ.750)  และสิ้นสุดลงด้วยการปิดประตูแห่งการอิจญฺติฮาดในตอนปลายศตวรรษที่  4  แห่งฮิจญฺเราะฮฺศักราช  นับเป็นยุคทองของกฎหมายอิสลาม  ในช่วงนี้มีการรวบรวมและจดบันทึกอัล-หะดีษของนบีมุฮัมมัด และกฎหมายอิสลาม  ตลอดจนมีการปรากฏบรรดาสำนักกฎหมายอิสลามซึ่งเรียกว่า  “มัซฮับ”  ได้แก่

1.  มัซฮับหะนะฟียฺ    มีอิมามอบูหะนีฟะฮฺ  อัน-นุอฺมาน  อิบนุ ษาบิต  (ฮ.ศ.70-150) เป็นผู้นำ แนวทางของสำนักนี้เปิดกว้างในการใช้ทัศนะและหลักเหตุผลในการวิเคราะห์ตัวบททางศาสนา

2.  มัซฮับมาลิกียฺ  มีอิมามมาลิก  อิบนุ  อะนัส  อิบนิ  อบีอามิรฺ  (ฮ.ศ.95-179)นักปราชญ์แห่งนครมะดีนะฮฺในแคว้นอัล-ฮิญาซฺและนักวิชาการสายอัล-หะดีษเป็นผู้นำ

3.  มัซฮับชาฟิอียฺ  มีอิมามอบูอับดิลลาฮฺ มุฮัมมัด  อิบนุ  อิดรีส  อัช-ชาฟิอียฺ  (ฮ.ศ.150-204) เป็นผู้นำ มีแนวทางสายกลางที่รอมชอมระหว่างการใช้ทัศนะและการยึดถือตัวบท

4.  มัซฮับฮัมบะลียฺ  มีอิมามอะหฺมัด  อิบนุ  ฮัมบัล  อัช-ชัยบานียฺ  (ฮ.ศ.164-241)เป็นผู้นำ  แนวทางของสำนักนี้ยึดถือตัวบทอย่างเคร่งครัดและไม่ยอมรับการใช้ทัศนะเหมือนอย่างมัซฮับหะนะฟียฺ

    มัซฮับหะนะฟียฺ   เป็นแนวทางที่แพร่หลายในกลุ่มประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอุษมานียะฮฺแห่งตุรกี ตลอดจนกลุ่มประเทศมุสลิมในเอเชียกลางและเอเชียใต้  ส่วนมัซฮับมาลิกียฺนั้นเป็นที่นิยมในหมู่ชาวแอฟริกา  ในขณะที่มัซฮับชาฟิอียฺ  เป็นที่นิยมของชาวมุสลิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เยเมน  และอียิปต์    ส่วนมัซฮับฮัมบะลียฺนั้นเป็นมัซฮับที่ยึดถือเป็นทางการในประเทศซาอุดิอาระเบีย และมีผู้นิยมน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับมัซฮับอื่น ๆ

(4)  ช่วงการถือตาม  (اَلتَّقْلِيْدُ )  เริ่มตั้งแต่การปิดประตูแห่งการอิจญฺติฮาด  ในปลายศตวรรษที่  4  แห่งฮิจญฺเราะฮฺศักราช  และดำเนินเรื่อยมาจนทุกวันนี้  ในด้านการเมือง  โลกอิสลามในช่วงที่  4  นี้แตกออกเป็นรัฐเล็กรัฐน้อย  มีกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่มิใช่ชาวอาหรับเข้ามามีอำนาจผลัดเปลี่ยนกัน  เช่น  ชาวเติร์ก  (ตุรกี)  ชาวเปอร์เซีย  (อิหร่าน)  เป็นต้น  และเนื่องจากมุสลิมขาดความสามัคคีและเอกภาพทำให้ดินแดนของชาวมุสลิมตกอยู่ใต้อาณัติของกลุ่มประเทศตะวันตกที่ล่าอาณานิคม  โดยเฉพาะภายหลังการล่มสลายของอาณาจักรอุษมานียะฮฺแห่งตุรกี  มีการประกาศยกเลิกระบอบการปกครองแบบคิลาฟะฮฺในปีค.ศ.1924  ผลจากการล่าอาณานิคมของกลุ่มประเทศตะวันตกทำให้กฎหมายอิสลามส่วนใหญ่ถูกยกเลิก  และมีการนำกฎหมายตะวันตกเข้ามาใช้แทน ภายหลังจากการที่กลุ่มประเทศมุสลิมได้รับเอกราชจากกลุ่มประเทศตะวันตกได้มีการเรียกร้องให้หันมาให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูกฎหมายอิสลาม  และนำมาบังคับใช้อีกครั้ง  ซึ่งกระแสการเรียกร้องดังกล่าวเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่  19  เป็นต้นมา

 

ความสำคัญของกฎหมายอิสลาม

กฎหมายอิสลามมีอัล-กุรฺอานและอัล-หะดีษเป็นแม่บทที่สมบูรณ์ครบถ้วน  และเป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิตของมุสลิม  ที่กำหนดภารกิจของมนุษย์ต่ออัลลอฮฺ  ( )  หน้าที่ต่อตัวเอง  และหน้าที่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน  โดยมีเป้าหมายในการพิทักษ์คุ้มครองสิ่งสำคัญ  5  ประการ  คือ    ศาสนา  ชีวิต  สติปัญญา  สายโลหิต  และทรัพย์สิน

ความสำคัญของกฎหมายอิสลามมี ดังนี้ 

(1)  กฎหมายอิสลามเป็นธรรมนูญแห่งชีวิตที่มุสลิมทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด  ทั้งนี้การปฏิบัติตามกฎหมายอิสลามมีผลทำให้ปัจเจกบุคคลมีความเป็นปกติสุข และทำให้สังคมโดยรวมเกิดความสันติสุข

(2)  กฎหมายอิสลามได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ส่วนบุคคลและสิทธิประโยชน์ส่วนรวมไว้อย่างมีดุลยภาพและครบถ้วน  ชัดเจน  มีความเป็นธรรมและสมเหตุสมผล  ยืดหยุ่นและเหมาะสมกับทุกยุคทุกสมัย

(3)  กฎหมายอิสลามได้จัดระเบียบสังคมทุกระดับตามครรลองที่ถูกต้องและเป็นธรรม  ทั้งในด้านสังคม  เศรษฐกิจ   การเมือง การปกครอง และมุ่งพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของทุกฝ่าย

 

กิจกรรมท้ายบท 

1.       อภิปรายหัวข้อ  “ที่มาของกฎหมายอิสลาม”  โดยแบ่งกลุ่มระดมความคิด  แล้วส่งตัวแทนออกมาอภิปรายร่วม

2.     แบ่งกลุ่มจัดทำรายงานหัวข้อ  “ความเป็นมาและพัฒนาการของกฎหมายอิสลาม”  โดยค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ

3.     ครูผู้สอนตั้งประเด็นเพื่อสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนในหัวข้อ “ยาเสพติด  4  คูณร้อยกับข้อชี้ขาดทางศาสนา”  (ในเรื่องหลักการอัล-กิยาส)

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2563

แนวทางอะฮลุสสุนนะฮเมื่อบรรดาปราชญ์เห็นต่าง

 แนวทางอะฮลุสสุนนะฮเมื่อบรรดาปราชญ์เห็นต่าง

ชัยคุลอิสลามอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ)กล่าวว่า

أن أهل السنة لم يقل أحد منهم إن إجماع الأئمة الأربعة حجة معصومة ولا قال إن الحق منحصر فيها وإن ما خرج عنها باطل بل إذا قال من ليس من أتباع الأئمة كسفيان الثوري والأوزعي والليث بن سعد ومن قبلهم ومن بعدهم من المجتهدين قولا يخالف قول الأئمة الأربعة رد ما تنازعوا فيه إلى الله ورسوله وكان القول الراجح هو القول الذي قام عليه الدليل

แท้จริงอะฮลุสสุนนะฮ คนหนึ่งคนใดจากพวกเขา จะไม่กล่าวว่า แท้จริง มติของอิหม่ามทั้งสี่ คือหลักฐานมะอศูมมะฮ(หลักฐานที่ได้รับการปกป้องจากความผิดพลาด) และเขาไม่ได้กล่าวว่า ความจริง(ความถูกต้อง)ถูกจำกัดอยู่ใน มติของอิหม่ามทั้งสี่ และแท้จริง สิ่งที่ออกจากมัน คือโมฆะ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามบรรดาอิหม่าม(ทั้งสี่) เช่น ซูฟยาย อัษเษารีย์ ,,อัลเอาซาอีย์ ,อัลลัยษ บิน สะอีด และผู้ที่อยู่ยุคก่อนพวกเขาและผู้ที่อยู่ยุคหลังจากพวกเขา จากบรรดามุจญตะฮิด ได้กล่าวคำพูดใดๆ ที่ขัดแย้งกับคำพูดอิหม่ามทั้ง ,สิ่งที่พวกเขาเห็นขัดแย้งกันในมัน จะถูกนำไปยังอัลลอฮและรอซูล และ คำพูด(ทัศนะ)ที่มีน้ำหนัก คือ ทัศนะที่หลักฐานได้ยืนยันบนมัน -มินฮาจญอัสสุนนะฮ 3/412

...........

สรุป

1.ชาวสุนนะฮ(อะฮลุสสุนนะฮ) จะไม่กล่าวว่า มติของบรรดาอิหม่ามทั้งที่คือหลักฐาน ที่ไม่ผิดพลาด (มะอศูม)

2. ชาวสุนนะฮ(อะฮลุสสุนนะฮ) ไม่กล่าวว่า ความถูกต้องจำกัดอยู่ในมติของอิหม่ามทั้งสี่เท่านั้น ส่วนที่ออกนอกจากอิหม่ามทั้งสี่เป็นโมฆะ

3. ชาวสุนนะฮนั้น(อะฮลุสสุนนะฮ) เมื่อบรรดาปราชญ์มุจญะตะฮิดอื่นๆที่นอกเหนือจากอิหม่ามทั้งสี่ ได้ให้ทัศนะขัดแย้งกับทัศนะอิหม่ามทั้งสี่ ประเด็นขัดแย้งนั้นจะถูกนำไปเทียบเคียงกับอัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ทัศนะใดมีหลักฐานยืนยัน นั้นคือทัศนะที่มีน้ำหนัก

ข้างต้นคือ แนวทางอะฮลุสสุนนะฮในประเด็นเห็นขัดแย้ง คือ ไม่ว่า ทัศนะของคนระดับมุจญะตะฮีดคนใดก็ตาม เขาจะพิจารณาที่ หลักฐาน และให้น้ำหนักทัศนะที่ตรงกับหลักฐาน

ส่วนชาวสุนนะฮจอมปลอมนั้น ใช้ตรรกและความคิดเห็น จากปราชญ์และโต๊ะครูอาจารย์ ที่ตนตะอัศศุบเป็นหลักฐานทางศาสนา

อะสัน หมัดอะดั้ม
6/8/63

ระวังการขัดแย้งกับสุนนะฮรอซูลุลลอฮ

 ระวังการขัดแย้งกับสุนนะฮรอซูลุลลอฮ

อัลลอฮตาอาลาตรัสว่า

فَلْيَحْذَرِ الَّذِينَ يُخَالِفُونَ عَنْ أَمْرِهِ أَن تُصِيبَهُمْ فِتْنَةٌ أَوْ يُصِيبَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ

ดังนั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุฮัมมัด) จงระวังตัวเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน -อันนูร/63

عَنْ عُثْمَان بْن عُمَرَ، جَاءَ رَجُلٌ إِلَى مَالِكٍ فَسَأَلَهُ عَنْ مَسْأَلَةٍ، فَقَالَ لَهُ: قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ كَذَا وَكَذَا، فَقَالَ الرَّجُلُ: أَرَأَيْتَ؟ فَقَالَ مَالِكٌ: فَلْيَحْذَرِ الَّذِينَ يُخَالِفُونَ عَنْ أَمْرِهِ أَنْ تُصِيبَهُمْ فِتْنَةٌ أَوْ يُصِيبَهُمْ عَذَابٌ أَلِيمٌ

รายงานจากอุษมาน บิน อุมัร ว่า มีชายคนหนึ่งมายัง มาลิก(หมายถึงอิหม่ามมาลิก บิน อะนัส) แล้วเขาได้ถามมาลิก เกี่ยวกับประเด็นหนึ่ง แล้วอิหม่ามมาลิกกล่าวแก่เขาว่า " รซูลุลลอฮ ศ็อลฯ ได้กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้ (คืออิหม่ามมาลิกยกหลักฐานหะดิษ)แล้วชายคนนั้น กล่าวว่า "แล้วท่านมีความเห็นอย่างไร? แล้วอิหม่ามมาลิก ได้กล่าว(อายะฮที่ว่า)"ดังนั้นบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของเขา (มุฮัมมัด) จงระวังตัวเถิดว่า เคราะห์กรรมจะเกิดขึ้นแก่พวกเขา หรือว่าการลงโทษอันเจ็บปวดจะเกิดขึ้นแก่พวกเขาเช่นกัน- รายงานโดยอัลบัยฮะกีย์ ในอัลมัดค็อล หมายเลข 236
.......
อิหม่ามมาลิก ยกหลักฐานหะดิษนบี ศ็อลฯ แต่ชายผู้นั้นกลับถามความคิดเห็น จึงให้พี่น้องระวัง การทิ้งหะดิษแล้วไปตะอัศศุบ(ผูกขาด)กับความคิดเห็น

عَنْ سَعِيدِ بْنِ الْمُسَيِّبِ، أَنَّهُ رَأَى رَجُلا يُصَلِّي بَعْدَ طُلُوعِ الْفَجْرِ أَكْثَرَ مِنْ رَكْعَتَيْنِ يُكْثِرُ فِيهَا الرُّكُوعَ، وَالسُّجُودَ فَنَهَاهُ، فَقَالَ: يَا أَبَا مُحَمَّدٍ يُعَذِّبُنِي اللَّهُ عَلَى الصَّلاةِ؟ قَالَ: " لا وَلَكِنْ يُعَذِّبُكَ عَلَى خِلافِ السُّنَّةِ "

รายงานจากสะอีด บิน อัลมุสัยยิบ ว่า เขาได้เห็นชายคนหนึ่ง ละหมาดหลังจากรุ่งอรุณ มากกว่าสองร็อกอัต ในสองร็อกอัตนั้นมีการรุกัวะและสุญูดหลายครั้ง แล้วเขา(ท่านสะอีด)ได้ห้ามเขาผู้นั้น แล้วเขาผู้นั้นกล่าวว่า "โอ้ อบูมุหัมหมัด(หมายถึงท่านสะอีด) อัลลอฮลงโทษฉัน เพราะการละหมาดด้วยหรือ? ท่านสะอีด กล่าวว่า " หามิได้ แต่พระองค์ลงโทษท่าน เพราะขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ -รายงานโดยอับดุรรอซซาก หมายเลข 4755 และอัลบัยฮะกีย์ ในอัลมัดค้อล หมายเลข 4755 ด้วยสายรายงานที่เศาะเฮียะ -

.................

นำมาให้ผู้อ่านได้สึกษา เพื่อให้ระวังการปฏิบัติศาสนกิจในสิ่งที่ขัดแย้งกับอัสสุนนะฮ อย่าคิดสมานฉันท์กับบิดอะฮ แล้ว บอกชาวบ้านว่า "ขัดแย้งกับสุนนะฮ ไม่ถึงขั้นบิดอะฮก็มีเพื่อเอาใจคนทำบิดอะฮ

อะสัน หมัดอะดั้ม
6/8/63

ให้เกียรตือุลามาอฺไม่ใช่การตักลิดและเอาความคิดอุลามาอฺมาเป็นบทบัญญัติศาสนา

 ให้เกียรตือุลามาอฺไม่ใช่การตักลิดและเอาความคิดอุลามาอฺมาเป็นบทบัญญัติศาสนา

หัวหน้ากลุ่ม Ulamalist ได้อ้างหะดิษต่อไปนี้เพื่อโจมตีคนที่ไม่บูชาฟัตวาอุลามาอฺว่า ละเมิดเกียรติ คือ

รายงานจาก อุบาดะห์ อิบนุ ซิมิต ร่อฎิยัลลอฮุ อันฮุ ว่า ท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศอลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

ليس منَّا مَنْ لم يُجِلَّ كبيرَنا ، ويرحمْ صغيرَنا ! ويَعْرِفْ لعالِمِنا حقَّهُ

มิใช่พวกของเรา ผู้ที่ไม่ยกย่องผู้อาวุโสของเรา ไม่เอ็นดูเมตตาต่อผู้เยาว์ของเรา และไม่รู้สิทธิของผู้รู้ของเรา”

الراوي : عبادة بن الصامت | المحدث : الألباني | المصدر : صحيح الجامع 
الصفحة أو الرقم: 5443 | خلاصة حكم المحدث : حسن

หะดิษข้างต้น คำว่า "ويَعْرِفْ لعالِمِنا حقَّهُ" (ไม่รู้สิทธิของของผู้รู้ของเรา)

อะไรหรือ สิทธิ์ของผู้รู้ของท่านนบี

ผู้รู้ย่อมมีเกียรติ และผู้รู้ของนบี คือผู้รู้ที่สอนความรู้ที่มาจากท่านนบี และความรู้ที่มาจากท่านนบีคือ ความรู้ที่มาจากวะหยู่ของอัลลอฮ ผ่านสุนนะฮนบี

ومعرفة حق العالم هو حق العلم ، بأن يعرف قدره بما رفع الله من قدره ، فإنه قال: يرفع الله الذين آمنوا منكم ثم قال: والذين أوتوا العلم درجات فيعرف له درجته التي رفع الله له ، بما آتاه من العلم

การรู้จัก สิทธิของผู้รู้ คือสิทธิของวิชาความรู้ ด้วยการที่เขารู้จักเกียรติของเขาด้วยสิ่งที่อัลลอฮได้ทรงยกเกียรติ์ เพราะองค์ตรัสว่า " อัลลอฮฺจะทรงยกย่องเทอดเกียรติแก่บรรดาผู้ศรัทธาในหมู่พวกเจ้า หลังจากนั้นทรงตรัสว่า "และบรรดาผู้ได้รับความรู้หลายชั้น " แล้วเขารู้จักเขา(ผู้รู้) คือตำแหน่งของเขาที่อัลลอฮทรงยกเกียรติแก่เขา ด้วยสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานแก่เขาจากวิชาความรู้- นะวาดิรุลอุศูล ของอบูอับดิลลอฮอัลหะกีมอัตติรมิซีย์ 1/187
.....

ให้เกียรติ์ผู้รู้ เพราะอัลลอฮตาอาลายกเกียรติพวกเขาโดยการประทานความรู้ แก่เขา

แต่ไม่ได้หมายถึงยกเกียรติพวกเขาเป็นมุชัรเรียะ (ผู้บัญญัติศาสนาบัญญัติ)เทียบเท่าอัลลอฮและรอซูล ไม่ใช่วาญิบต้องตามผู้รู้โดยสิ้นเชิง แต่ตามสิ่งที่เขารับมรดกจากรอซูล นั้นคืออัสสุนนะฮ ไม่ใช่ตรรกความเห็น

ว่างๆ คนที่ปิดตาตามปราชญ์และอวยปราชญ์จนเลยเถิด ลองไปวิเคราะห์ดูว่า คำว่า "ผู้รู้ของเรา" นั้น อะไรคือความรู้ของเขาที่ได้รับเกียรติ์จากอัลลอฮ ตรรก หรือความรู้กิตาบุลลอฮและอัสสุนนะฮ
อะสัน หมัดอะดั้ม
6/8/63

การตามปราชญ์ตามอย่างไร

 การตามปราชญ์ตามอย่างไร

ไมมีใครที่ศึกษาหาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาศาสนาและสามัญ ก็ต้องอาศัยตำราและคำอธิบายของปราชญ์กันทั้งนั้น และสำหรับในเรื่องศาสนา ก็ต้องอาศัยปราชญ์ จึงไม่ควรโกหกมุสาใส่ร้ายว่าคนนั้นคนนี้ไม่เอาปราชญ์ แต่การตามปราชญ์ในเรื่องศาสนานั้น ตามในฐานนะผู้ที่อธิบายคำสอนศาสนา ไม่ใช่ปราชญ์เป็นผู้กำหนดคำสอนศาสนา เพราะทั้งปราชญ์และคนธรรมดาทั่วไป(คนอาวาม)ก็อยู่ในฐานะที่ต้องปฏิบัติอิบาดะฮต่อพระเจ้าตามคำสอนศาสนาที่มาจากวะหยูของพระเจ้าผ่านศาสนทูต

คำว่า อิบาดะฮ" ในอิสลามท่านอิบนุตัยมียะฮ(ร.ฮ) ได้กล่าวว่า

طاعة الله بإمتثال ما أمر الله به على ألسنة الرسل

อิบาดะฮคือ การภักดีต่ออัลลอฮ ด้วยการปฏิบัติตาม สิ่งที่อัลลอฮทรงบัญชา บนคำพูด ของบรรด่รอซูล
– ฟัตหุลมะญีด ชัรหฺกิตาบิตเตาฮีด
กล่าวคือ การทำอิบาดะฮนั้น จะต้องนำคำสอนที่ผ่านวะหยูจากอัลลอฮมายังรอซูล โดยรอซูลอธิบายมาในรูปแบบอัสสุนนนะฮ แล้วอุมมะฮนำรูปแบบนั้นไปปฏิบัติต่ออัลลอฮและเพื่ออัลลอฮ

เพราะฉะนั้น การตามอุลามาอฺ คือ ตามในสิ่งที่ได้มีการอ้างอิงหลักฐานทางศาสนา ไม่ใช่ตามโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่ทุกอย่างที่ออกจากปากอุลามาอฺคือ บทบัญญัติศาสนา

อิบนุก็อยยิม (ร.ฮ) กล่าวว่า

أقوال المجتهدين المختلفة لا يجب اتباعها، ولا يُكَفَّر ولا يُفَسَّقُ مَن خالفها، فإنَّ أصحابها لم يقولوا: هذا حكم الله ورسوله، بل قالوا: اجتهدنا برأينا، فمن شاء قبِلَهُ ومن شاء لم يقبله

บรรดาคำพูดมุจญตะฮีดที่แตกต่างกัน ไม่จำเป็น(ไม่วาญิบ)ต้องตามมัน และ ผู้ที่เห็นต่างกับบรรดาคำพูดของบรรดามุจญตะฮีด จะไม่ถูกตัดสินว่าเป็นกาเฟร และจะไม่ถูกตัดสินว่าเป็นคนชั่ว เพราะแท้จริงบรรดาเจ้าของมัน (หมายถึงเจ้าของคำพูด ที่เป็นมุจญตะฮิดนั้น) พวกเขาไม่ได้กล่าวว่า "นี้คือหุกุมอัลลอฮ และรอซูลของพระองค์ แต่ทว่า พวกเขากล่าวว่า นี้คือการอิจญติฮาดของเรา ผู้ใดประสงค์ ขาก็รับมัน และผู้ใดประสงค์ เขาก็ไม่รับมัน -อัรรูห หน้า 276 และ เกาะวาอีดอัตตะหดิษ ของอัลกอสิมีย์ หน้า293
.........

ไม่มีใครเอาคำสอนศาสนาไม่ผ่านคำอธิบายของปราชญ์หรอก เมื่อเขาทำหน้าที่อธิบายตัวบทหลักฐานจากคำสอนนบี ศ็อลฯ เพราะฉะนั้น ขอเตือนว่า อย่าเที่ยวสร้างวาทกรรมใส่ร้ายโฆษณาชวนเชื่อ ว่าคนที่ไม่ยอมรับฟัตวาปราชญ์ให้เว้นระยะห่างในแถวละหมาด 1.5 เมตรและ 2 เมตร คือ พวกดูหมิ่นปราชญ์ ไม่เอาปราชญ์ อย่าโกหกมุสาเลย เพราะสิ่งที่เราอธิบายมีรายละเอียดอยู่ แต่คนคิดชั่ว เหมารวมสรุปมากล่าวหา หยุดเล่นวิธีสกปรกเถิด ...หลักฐานต้องแก้ต่างด้วยหลักฐานอย่าใช้วิธีสกปรก ขอเตือน

อะสัน หมัดอะดั้ม
6/8/63

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วิธีสอนเด็กของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แปลเรียบเรียง อับดุลวาเฮด สุคนธา

วิธีสอนเด็กของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

แปลเรียบเรียง อับดุลวาเฮด สุคนธา

 

1. การขอดุอา

 

          รายงานจากท่าน อิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า ท่านนบีเคยขอความคุ้มครองให้กับหลานของท่าน คือท่านฮะซันกับฮุเซน เพราะบิดาของเจ้าทั้งสองนั้นเคยขอให้กับลูกนั้นคือท่านนบีอิสมาอีลและอิสหาก

أَعُوذُ بِكَلِمَاتِ اللَّهِ التَّامَّةِ، مِنْ كُلِّ شَيْطَانٍ وَهَامَّةٍ، وَمِنْ كُلِّ عَيْنٍ لاَمَّةٍ

     คำอ่าน “ อะอุซุ บิกะลิมาติลลาฮิตตามมาติ มิน กุลลิชัยฏอนิน วะฮามมะติน วะมินกุลลิอัยนิน ลามมะติน"

     คำแปล “ ฉันขอความคุ้มครองให้แก่เจ้าด้วยถ้อยดำรัสของอัลลอฮฺอันสมบูรณ์ยิ่ง ให้พ้นจาก (การล่อลวงของชัยฏอนให้พ้นจากสัตว์พิษ และให้พ้นจากทุกๆ สายตาที่ให้ร้าย (หรือสายตาที่อิจฉา)

(บันทึกโดยบุคอรีย์)

 

ทำตะห์หนีก تحنيك และขอดุอาอ์ให้กับเด็ก

          การทำตะห์หนีกก็คือ การป้ายของหวานในปากของเด็กเช่นอินทผลัมหรือน้ำผึ้ง ในตอนที่เขาคลอดใหม่ๆ โดยมีอัลหะดีษถึงเรื่องนี้ว่า จากท่านอบูมูซาได้กล่าวว่า

قَالَ وُلِدَ لِي غُلَامٌ فَأَتَيْتُ بِهِ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَسَمَّاهُ إِبْرَاهِيمَ فَحَنَّكَهُ بِتَمْرَةٍ وَدَعَا لَهُ بِالْبَرَكَةِ وَدَفَعَهُ إِلَيَّ

     ฉันได้ลูกชายจึงพาเขาไปหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้ตั้งชื่อเขาว่าอิบรอฮีม และท่านได้ทำตะหฺหนีกแก่เขาด้วยอินทผลัม และได้ขอดุอาอ์ให้มีความจำเริญแก่เขา จากนั้นก็ได้ส่งเขาคืนให้ฉัน

(รายงานโดยอัลบุคอรียฺ และมุสลิม)

 

ขอดุอาอฺให้ลูกนั้นเข้าใจศาสนา

        ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขอดุอาอ์ให้ท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส ว่า :

اللَّهُمَّ فَقِّهْهُ فِي الدِّينِ وَعَلِّمْهُ التَّأْوِيلَ

โอ้อัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงทำให้เขาเข้าใจในศาสนา และสอนเขาในการอธิบายอัลกุรอ่าน

(อะหมัด , มุสนัด , มุสนัดอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส อิบนุ อับดุลมุฏฏอล็บ )

          อีกสำนวนหนึ่งมีรายงานจากท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อับบาส เล่าว่า : ท่านนะบีย์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้อุ้มฉันและท่านได้ขอดุอาอ์ ว่า :

اللَّهُمَّ عَلِّمْهُ الْحِكْمَةَ

โอ้อัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงสอนความรู้ (การอธิบายอัลกุรอ่านให้แก่เขาด้วยเถิด

(บันทึกโดยบุคอรีย์)

 

2. ตั้งชื่อที่ดี

 

          ชื่อที่ตั้งตามชื่อของบรรดา นบี และเหล่าคนดี ทั้งชายและหญิงในหน้าประวัติศาสตร์ เพื่อหวังว่า จะมีผลต่อเด็กในแง่การยึดเป็นแบบฉบับ เช่น มุฮัมมัด ,อิบรอฮีมอิสมาอีลมูซาอุมัรอุษมานมัรยัมเคาะดียะฮฺอาอีชะฮฺสุมัยยะฮฺ

         ชื่อที่ให้ความหมายว่าเป็นบ่าวของอัลลอฮ์ ตะอาลา ดังที่ปรากฏในหะดีษว่า:จากท่านอิบนุ อุมัร

” أَحَبُّ الْأَسْمَاءِ إِلَى اللَّهِ تَعَالَى عَبْدُ اللَّهِ وَعَبْدُ الرَّحْمَنِ

“ ชื่ออันเป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮฺ ตะอาลา คืออับดุลลอฮฺ และอับดุรเราะหฺมาน “

(รายงานโดยมุสลิม อบูดาวูด อัตติรมีซียฺ และอิบนุมาญะฮฺ)

          และเมื่อกิยาส (เปรียบเทียบแล้ว ถ้านำคำว่า อับดุล ไปประกอบเข้ากับพระนามอื่นๆ ที่งดงามของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ไม่ได้กล่าวไว้ในหะดีษ ก็ถือว่าชื่อเหล่านั้นเป็นชื่อที่ดียิ่ง เช่น อับดุลฮาลีม , อับดุล ร่อซ๊าก , อับดุลกอดีร ฯลฯ

 

3. สอนให้ออกห่างจากสิ่งที่ต้องห้ามและชั่วร้ายต่างๆ

 

          รายงานจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า ท่านหะสัน บิน อาลี (หลานของท่านนบีเราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้หยิบผลอินทผลัมลูกหนึ่งที่มาจากการบริจาคทาน เอามาใส่ในปาก ท่านนบี ได้กล่าวว่า «كِخْ، كِخْ» (กิค กิคเพื่อให้หะสันคายออกมา แล้วท่านนบี ก็กล่าวว่า

أَمَا شَعَرْتَ أَنَّا لَا نَأْكُلُ الصَّدَقَةَ

เจ้าไม่รู้ดอกหรือว่าพวกเรา(นบีและวงค์วานของท่าน)นั้น ห้ามรับประทานสิ่งที่เป็นทานบริจาค” 

(เศาะฮีหฺ อัล-บุคอรีย์)

 

เวลาเริ่มเข้ามักริบ ควรจะห้ามเด็กไม่ให้ออกนอกบ้าน 

          เพราะมันเป็นเวลาที่ชัยฏอนจะออกมา ดังที่มีปรากฏในฮะดีส เวลากลางคืนเป็นเวลาที่ชัยฏอนพลุกพล่าน เพราะมันชอบความมืด ไม่ชอบแสงสว่าง -เราขอความคุ้มครองจากอัลลอฮฺให้พ้นจากการยุยงและการมาของชัยฏอนด้วยเถิด อามีน

ท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

لَا تُرْسِلُو صِبْيَانَكُمْ إِذَا غَابَتْ الشَّمْسُ حَتَّى تَذْهَبَ فَحْمَةُ الْعِشَاءِ ، فَإِنَّ الشَّيَاطِينَ تَنْبَعِثُ إِذَا غَابَتْ الشَّمْسُ حَتَّى تَذْهَبَ فَحْمَةُ الْعِشَاءِ

     “ท่านทั้งหลายอย่าได้ปล่อยเด็กๆ ของพวกท่านออกมาขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนถึงต้นเวลาอิชาอฺ เพราะแท้จริง ชัยฏอนมันกำลังกรูกันออกมา

(ฮะดีส บันทึกโดยอิมาม มุสลิม)

 

อาซาน ทารกแรกเกิด

          อาซานที่หูขวา และอิกอมะห์ที่หูซ้าย ภายหลังการคลอดของทารกเป็นซุนนะห์ที่ท่านนบีได้ปฏิบัติแก่เด็กทารกแรกเกิด จากท่านอบี ร่อเฟีย เล่าว่า

رَأَيْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَذَّنَ فِي أُذُنِ الْحَسَنِ بْنِ عَلِيٍّ حِينَ وَلَدَتْهُ فَاطِمَةُ بِالصَّلَاةِ . 

     “ฉันได้เห็นท่านศาสดามูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อาซานที่หูของอัลฮุเซ็น บุตร อาลี ขณะที่ฟาติมะห์คลอดเขาออกมา

 (บันทึกโดยอบูดาวูดและติรมิซีย์)

 

สอนดุอาอ์กุนูต (ในละหมาดวิเตร)

จากท่านฮะซัน บินอาลี ท่านนบี สอนแก่ฉัน สำนวนกล่าวในกุนูตว่า:

اللَّهُمَّ اهْدِنِي فِيمَنْ هَدَيْتَ ، وَعَافِنِي فِيمَنْ عَافَيْتَ ، وَتَوَلَّنِي فِيمَنْ تَوَلَّيْتَ ، وَبَارِكْ لِي فِيمَا أَعْطَيْتَ ، وَقِنِي شَرَّ مَا قَضَيْتَ ، فإِنَّكَ تَقْضِي وَلا يُقْضَى عَلَيْكَ ، وَإِنَّهُ لا يَذِلُّ مَنْ وَالَيْتَ ، وَلا يَعِزُّ مَنْ عَادَيْتَ ، تَبَارَكْتَ رَبَّنَا وَتَعَالَيْتَ

         อ่านว่า : อัลลอฮุมมะฮ์ดินี ฟีมัน ฮะดัยต์ วะอาฟินี ฟีมัน อาฟัยต์ วะตะวัลละนีฟีมันตะวัลลัยต์ วะบาริกลีฟีมันอะอฺฏ็อยต์ วะกินีชัรร่อมาก่อฎ็อยต์ ฟะอินนะกะตักฎี วะลายุกฎออะลัยก์ ฟะอินนะฮูลายะซิลลุมันวาลัยต์ วะลายะอิซซุมันอาดัยต์ ตะบาร็อกต่า ร็อบบะนา วะตะอาลัยต์

          ความว่า : โอ้ อัลลอฮฺ โปรดนำทางฉันให้อยู่ในกลุ่มผู้ที่พระองค์ทรงนำทาง โปรดปกป้องฉันให้อยู่ในกลุ่มผู้ที่พระองค์ทรงปกป้อง โปรดให้ความรักแก่ฉันให้อยู่ในกลุ่มที่พระองค์ทรงรักเขา โปรดให้ความจำเริญแก่ฉันในสิ่งที่พระองค์ประทานให้ โปรดปกป้องฉันให้พ้นจากความเลวร้ายที่พระองค์ทรงกำหนด เพราะพระองค์เป็นผู้กำหนด และไม่มีผู้ใดมากำหนดพระองค์ได้ เพราะผู้ที่พระองค์ทรงรักจะไม่ต่ำต้อย และผู้ที่ทรงเป็นศัตรูจะไม่ได้รับเกียรติ พระองค์ทรงจำเริญและทรงสูงส่ง โอ้พระผู้อภิบาลของเรา

(หะดีษ เศาะเฮียะห์ บันทึกโดยอบูดาวูด ติรมิซีย์ นะซาอีย์)

 

4. สอนการกล่าว “บิสมิลลาฮฺ” ก่อนรับประทานอาหารและการดื่ม

 

 มีรายงานจากอัมร์ บิน สะละมะฮฺ เล่าว่า ท่านนบี ได้กล่าวกับอัมร์ว่า:

«يَا غُلامُ ، سَمِّ اللهَ وَكُلْ بِيَمِيْنِكَ ، وَكُلْ مِمَّا يَلِيْكَ»

     “โอ้เด็กน้อยเอ๋ย จงกล่าวนามของอัลลอฮฺ และจงรับประทานด้วยมือขวา และรับประทานอาหารที่อยู่ถัดจากท่าน” 

(อัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)

 

5. สอนให้รู้จักอัลลอฮฺ และขอความคุ้มครองการช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ

 

          จากท่านอบู อัล-อับบาส อับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุมา เล่าว่า: “ในวันหนึ่งขณะที่ฉันนั่งอยู่ข้างหลังท่านนบี  ท่านก็ได้กล่าวกับฉันว่า:

يَا غُلَامُ إِنِّيْ أُعَلِّمُكَ كَلِمَاتٍ : اِحْفَظِ اللهَ يَحْفَظْكَ ، اِحْفَظِ اللهَ تَجِدْهُ تُجَاهَكَ .إِذَا سَأَلْتَ فَاسْأَلِ اللهَ ، وَإِذَا اسْتَعَنْتَ فَاسْتَعِنْ بِاللهِ .

     “โอ้เด็กน้อย ฉันจะสอนบางถ้อยคำแก่เจ้าเจ้าจงพิทักษ์อัลลอฮฺ แล้วอัลลอฮฺจะพิทักษ์เจ้า เจ้าจงพิทักษ์อัลลอฮฺ แล้วเจ้าจะพบพระองค์อยู่เบื้องหน้า เมื่อเจ้าจะวิงวอนขอก็จงวิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ และเมื่อเจ้าจะขอความช่วยเหลือก็จงขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ” 

(บันทึกโดยอัต-ติรมีซีย์ และท่านกล่าวว่า "หะดีษอยู่ในระดับหะสันเศาะหี้หฺ “)

 

6. สอนรู้จักการกล่าวสลามเมื่อเข้าบ้าน

 

อัลลอฮฺ ตรัสว่า

فَإِذَا دَخَلْتُمْ بُيُوتاً فَسَلِّمُوا عَلَى أَنْفُسِكُمْ تَحِيَّةً مِنْ عِنْدِ اللَّهِ مُبَارَكَةً طَيِّبَة النور / 61.

เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในบ้านก็จงกล่าวสลามให้แก่ตัวของพวกเจ้าเอง เป็นการคำนับอันจำเริญยิ่งจากอัลลอฮ์

      จากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮฺอันฮฺ เล่าว่าท่านนบี  ท่านก็ได้กล่าวกับฉันว่า:

(يَا بُنَيَّ إِذَا دَخَلْتَ عَلَى أَهْلِكَ فَسَلِّمْ ، يَكُنْ بَرَكَةً عَلَيْكَ وَعَلَى أَهْلِ بَيْتِكَ)

      “โอ้เด็กน้อย เมื่อลูกจะเข้าบ้าน ก็จงให้กล่าวสลาม เพราะสลามนั้นมีความศิริมงคลแก่ลูกและครอบครัวของลูกเอง

บันทึกติรมีซีย์)

      ท่านเชคอุษัยมีน กล่าวว่า “เมื่อท่านจะเข้าบ้าน จงกล่าวสลาม คนที่อยู่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว เพื่อนๆ เพราะนี้คือซุนนะฮฺ

 

7. สอนด้วยการเล่าเรื่อง

 

           ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมเอง ก็ได้รับคำสั่งให้ใช้วิธีการดังกล่าว(ในการอบรมขัดเกลา)เช่นเดียวกัน ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า

﴿فَاقْصُصِ الْقَصَصَ لَعَلَّهُمْ يَتَفَكَّرُونَ﴾

 “ดังนั้น เจ้าจงเล่าเรื่องราวเหล่านั้นเถิด เพื่อว่าพวกเขาจะได้ใคร่ครวญ” 

(สูเราะฮฺ อัลอะอฺรอฟ : 176)

          เป็นเรื่องปกติที่เด็กๆนั้นชอบจะให้เล่าเรื่องต่างๆ สื่อที่ดียิ่งในการสอนและอบรมลูก นั้นคือการเล่าเรื่องราว เช่น ประวัติของบรรดานบี หรือ ประวัติบรรดาคนดีต่างๆ แทนจากการเล่า เรื่องผี หรือนิทานปรัมปราหลอกเด็ก

 

8. สอนลูกเมื่อมีพฤติกรรมที่ทำผิด ด้วยบอกการลงโทษ

 

          ปรากฏว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะมีความเกรี้ยวกราดต่อผู้ที่กระทำความผิด และจะลงโทษคนผู้นั้น จากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้เล่าว่า

أَنَّ رَسُولَ اللهِ -صلى الله عليه وسلمرَأَى خَاتَمًا مِنْ ذَهَبٍ فِى يَدِ رَجُلٍ فَنَزَعَهُ فَطَرَحَهُ وَقَالَ « يَعْمِدُ أَحَدُكُمْ إِلَى جَمْرَةٍ مِنْ نَارٍ فَيَجْعَلُهَا فِى يَدِهِ ». فَقِيلَ لِلرَّجُلِ بَعْدَ مَا

ذَهَبَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلمخُذْ خَاتَمَكَ انْتَفِعْ بِهِقَالَ لاَ وَاللَّهِ لاَ آخُذُهُ أَبَدًا وَقَدْ طَرَحَهُ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم

      “ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เห็นชายคนหนึ่งสวมแหวนทองคำที่นิ้วมือของเขา ท่านจึงถอดแหวนจากนิ้วมือของชายคนนั้น และขว้างทิ้งมันไป 

     แล้วท่านนบีก็ได้กล่าวว่าจะมีใครบ้างไหมในหมู่พวกเจ้าที่จะเอาถ่านไฟที่กำลังถูกเผาไหม้จากไฟนรกและถือมันไว้ในมือของเขา ? 

     ภายหลังจากที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมได้จากไป ก็ได้มีบางคนแนะนำชายคนนั้นที่เป็นเจ้าของแหวนให้เอาแหวนไปขายเพื่อที่จะได้รับประโยชน์จากราคาของมัน 

     แต่ชายเจ้าของแหวนได้กล่าวตอบว่า “ ไม่ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่มีวันนำแหวนนั้นกลับมาอีก ในเมื่อท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ขว้างมันทิ้งไปแล้ว” 

(บันทึกโดยมุสลิม)

          เมื่อพ่อแม่ เห็นลูกๆกระทำสิ่งที่ผิด หรือสิ่งที่ค้านกับหลักการของศาสนา หน้าที่สำคัญสำหรับพ่อแม่จะต้องตักเตือนด้วยการบอกถึงโทษในพฤติกรรมนั้น เพื่อให้ลูกๆรู้สึกกลัวและไม่กล้ากระทำอีก เมื่อเห็นเด็กๆ ร้องเพลง หรือ เต้นเมื่อได้ยินเสียงดนตรี หน้าที่พ่อแม่จะต้องเตือน ด้วยคำขู่ เช่น การร้องเพลง เป็นการกระทำที่อัลลอฮฺไม่รักนะลูก หรือ เป็นพฤติกรรมของชัยตอนนะครับลูก

 

9. สอนด้วยการปฏิบัติให้ลูกดู

 

          ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เคยสั่งใช้ให้บรรดาเศาะหาบะฮ์มีความสุภาพอ่อนโยน และท่านเป็นแบบอย่างในเรื่องดังกล่าวด้วย ซึ่งครั้นเมื่ออายะฮฺนี้ถูกประทานลงมา

﴿يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آَمَنُوا لِمَ تَقُولُونَ مَا لَا تَفْعَلُونَ﴾

 “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย ทำไมพวกเจ้าจึงกล้าพูดในสิ่งที่พวกเจ้าไม่ปฏิบัติ” 

(สูเราะฮฺอัศศอฟ : 2)

          ช่างน่าแปลกในสังคมปัจจุบัน ที่พ่อแม่นั้นมักจะละเลยในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลาน สั่งสอนบุตรหลานในเรื่องที่ดีๆตามหลักคำสอนของศาสนาแต่ พ่อแม่เองกับปฏิบัติให้ลูกๆเห็นเป็นตัวอย่าง คือไม่ได้ปฏิบัติในสิ่งที่สอนลูก

     ♣ สอนลูกห้ามดูหนังฟังเพลง แต่ พ่อแม่กลับฟังเสียเอง

     ♣ สอนลูกให้ปกปิด แต่งกาย เรียบร้อย คลุมศรีษะ แต่แม่ ไม่คลุมศรีษะ พ่อสวมใส่กางเกงขาสั้น บางครั้งสิ่งที่เราพบเห็นในพฤติกรรมของพ่อแม่ชอบเคร่งครัดแต่งกายลูกตามระเบียบของโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนสอนศาสนา เช่น

     ♣ เวลาไปส่งลูก แม่ไม่คลุมศรีษะ แต่ลูกแต่งกายเรียบร้อย

     ♣ พ่อไปส่งลูกไปละหมาดที่มัสยิด แต่พ่อกลับมานอนที่บ้านไม่ไปมัสยิด

          นี้คือสิ่งที่น่ากลัวในยุคสังคมปัจจุบันที่มันจะซึมสับในตัวของบุตรหลานโดยที่ท่านนั้นไม่รู้ตัว ในเมื่อว่าพ่อแม่ไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งที่สอนแก่ลูกๆๆๆ มันจะเป็นคำถาม สำหรับลูกขึ้นมาว่า แล้วทำไม แม่ทำได้ พ่อทำได้ คนนั้นฟังเพลงได้ คนนี้ ดูหนังได้

 

ตัวอย่าง รายงานจากท่าน อับดุลลอฮฺ บิน อามีร แท้จริง เขากล่าวว่า

دَعَتْنِي أُمِّي يَوْمًا وَرَسُولُ اللَّهِ عَلَيْهِ السَّلامُ قَاعِدًا فِي بَيْتِنَا، فَقَالَتْ : هَا أُعْطِيكَ، فَقَالَ لَهَا رَسُولُ اللَّهِ عَلَيْهِ السَّلامُ : " وَمَا أَرَدْتِ أَنْ تُعْطِيَهُ؟ "، قَالَتْ : أُعْطِيهِ تَمْرًا، قَالَ لَهَا رَسُولُ اللَّهِ عَلَيْهِ السَّلامُ : " أَمَا إِنَّكِ لَوْ لَمْ تُعْطِهِ شَيْئًا، كُتِبَتْ عَلَيْكِ كِذْبَةً

     แม่ทิ้งฉันเอาไว้ในวันนั้น และขณะนั้นท่านนบี นั่งอยู่ในบ้านของเราด้วย โดยนางพูดว่า ฉันจะให้รางวัลแก่เจ้า(ลูก

     ท่านนบีกล่าวถามนางว่า เธอจะมอบสิ่งใดให้เขา(ลูก

     นางตอบว่า ฉันจะมอบอิทผาลัมให้เขา(ลูก

     ท่านนบีกล่าว กับนาง(แม่)ว่า หากเธอไม่ให้เขา(ลูกเท่ากับว่า เธอนั้นโกหก ถูกบันทึกเป็นการโกหก 

(บันทึก อะบูดาวูด)

          หากว่า พ่อแม่ สัญญากับลูกๆเอาไว้ เป็นสิทธิที่ลูกๆ จะได้รับจากพ่อแม่ หากว่า พ่อแม่ผิดคำพูดที่เคยสัญญาเอาไว้ แน่นอนสิ่งนี้จะเป็นความทรงจำกับลูกและเวลาเราสอน เราบอกลูก เขาก็จะไม่เชื่อฟัง เพราะสาเหตุจากการผิดคำพูดนั้นเอง

วิธีการสอนลูก

วันนี้หากลูกไปมัสยิด พ่อจะชื้อขนมให้หนึ่งถุง

วันนี้หากลูกอ่านกรุอ่าน ซูเราะห์ กุลอุวัลอัลลอุอะฮัด พ่อจะให้เงินสิบบาท

หากพ่อผิดคำพูด ลูกจะไม่ไปมัสยิด หรือ จะไม่อ่านกรุอ่านอีกเลย

 

10. สอนให้เด็กรู้จัก สิทธิของตัวเอง

 

มีรายงานจากท่าน ซะลฺ บิน ซะฮฺ ว่า :

أُتِيَ بِشَرَابٍ فَشَرِبَ مِنْهُ، وَعَنْ يَمِينِهِ غُلَامٌ، وَعَنْ يَسَارِهِ الْأَشْيَاخُ، فَقَالَ لِلْغُلَامِ: "أَتَأْذَنُ لِي أَنْ أُعْطِيَ هَؤُلَاءِ؟ فَقَالَ الْغُلَامُ: "وَاللَّهِ يَا رَسُولَ اللَّهِ لَا أُوثِرُ بِنَصِيبِي مِنْكَ أَحَدًاقَالَفأعطاه إياه

     มีคนนำน้ำมาให้แก่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ โดยที่ด้านขวาของท่านมีเด็กน้อยอยู่ และที่ด้านขวามีศ่อฮาบะอาวุโสอยู่ 

     ท่านเราะสูลุลลอฮฺ กล่าวกับเด็กน้อยว่า อนุญาตให้พวกพวกเขา(ดื่ม)ได้หรือไม่ 

     เด็กน้อยว่า ตอบว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันจะไม่ยอมยกสิทธิของฉันให้แก่พวกเขาซึ่งที่ฉันได้รับจากท่านนบี และท่านนบีหยิบให้แก่เขา คือเด็กน้อยคนนั้น 

(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ และมุสลิม)

 

11. สอนด้วยความเอ็นดูเมตตาเด็ก

 

          รายงานจากท่านอะนัส บิน มาลิก ซึ่งท่านเราะซูลได้แสดงความเมตตา และเล่นกับเด็ก ครั้งหนึ่งท่านได้พูดกับเด็กน้อยว่า

يَا أَبَا عُمَيْرٍ ، مَا فَعَلَ النُّغَيْرُ ؟ قَالَ : نُغَرٌ يَلْعَبُ بِهِ     “โอ้เจ้าอุมัยรฺ นุเฆร มันทำอะไรให้

         อะบูอุมัยรฺ เป็นชื่อเล่นของเด็กเล็กคนหนึ่ง ซึ่งเด็กคนนั้น “นุเฆร” เป็นนกน้อยตัวหนึ่งลักษณะคล้ายนกกระจอก และนุเฆรตายเด็กน้อยก็เศร้าเสียใจมาก 

(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ และมุสลิม)

รายงานจากอบีก่อตาดะฮ์ อัลอันซอรีย์ เขากล่าวว่า

رَأَيْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَؤُمُّ النَّاسَ وَأُمَامَةُ بِنْتُ أَبِي الْعَاصِ وَهِيَ ابْنَةُ زَيْنَبَ بِنْتِ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَلَى عَاتِقِهِ فَإِذَا رَكَعَ وَضَعَهَا وَإِذَا رَفَعَ مِنْ السُّجُودِ أَعَادَهَا

     "ฉันได้เห็นท่านนบี กำลังเป็นอิมามนำละหมาดผู้คนทั้งหลาย โดย(หลานสาวของท่านนบีคือ)อุมามะฮ์ บุตรสาว อะบีลอาซฺ และเป็นบุตรสาวของท่านนางซัยนับ บุตรี ของท่านนบี  ได้อยู่บนต้นคอของท่านนบี เมื่อท่านได้ก้มลงร่อกั๊วะ ท่านก็จะวางอุมามะฮ์ และเมื่อท่านขึ้นจากสุยูด ท่านก็หวนกลับเอาอุมามะฮ์(มาแบกไว้ที่ต้นคอ)"

(รายงานโดยบุคอรี และมุสลิม)

          ส่งเสริมให้พ่อแม่นั้นพาลูกๆไปมัสยิดเพื่อจะพวกเขานั้นสัมผัสบรรยากาศการละหมาด เป็นการปลูกฝังที่ดี และการอุ้มเด็กนั้นเป็นสื่อหนึ่งที่บ่งบอกถึงความเอ็ดดูเมตตา

         จากอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ กล่าวว่า  ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้จูบอัล-หะสัน บิน อะลี โดยมีอัล-อักเราะอฺ บินหาบิส อัลตะมีมีย์ นั่งอยู่ด้วย 

:قَبَّلَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْحَسَنَ بْنَ عَلِىٍّ وَعِنْدَهُ الأَقْرَعُ بْنُ حَابِسٍ التَّمِيمِىُّ جَالِسًا . فَقَالَ الأَقْرَعُ إِنَّ لِي عَشَرَةً مِنَ الْوَلَدِ مَا قَبَّلْتُ مِنْهُمْ أَحَدًا . فَنَظَرَ إِلَيْهِ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثُمَّ قَالَ « مَنْ لاَ يَرْحَمُ لاَ يُرْحَمُ »

     อัล-อักเราะอฺพูดขึ้นว่า “ฉันมีลูกสิบคน ซึ่งฉันไม่เคยจูบพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว” 

     ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะสัลลัม จึงจ้องมองไปที่เขา แล้วกล่าวว่า “ผู้ใดไม่ปรานี (ต่อผู้อื่นเขาก็จะไม่ได้รับการปรานี(จากอัลลอฮฺ)” 

(บุคอรีย์และมุสลิม)

          จากอะนัส เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮุ ท่านได้กล่าวว่า :

خَدَمْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَشْرَ سِنِينَ ، فَمَا قَالَ لِى أُفٍّ، وَلاَ لِمَ صَنَعْتَ، وَلاَ أَلاَّ صَنَعْتَ.

     ฉันได้รับใช้ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม สิบปี (ตลอดเวลาสิบปีนั้นท่านไม่เคยกล่าวกับฉันว่า “อุฟ” (คำสบถที่แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายหรือไม่พอใจหรือ “เจ้าทำทำไม(แบบนี้)?” หรือ “เจ้าน่าจะทำ(แบบนี้)?” 

(บุคอรีย และมุสลิม)

 

12. สอนด้วยการเยี่ยมเยียนคนป่วย

 

          จากอนัส บิน มาลิก เราะฏิยัลลอฮฺ อันฮู กล่าวว่า

أَنَّ غُلَامًا مِنَ اليَهُودِ كَانَ يَخدُمُ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيهِ وَسَلَّمَ فَمَرِضَ ، فَأَتَاهُ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيهِ وَسَلَّمَ يَعُودُهُ ، فَقَعَدَ عِندَ رَأسِهِ ، فَقَالَ : أَسلِم . فَنَظَرَ إِلَى أَبِيهِ وَهُوَ عِندَ رَأسِهِ ، فَقَالَ لَه : أَطِع أَبَا القَاسِمِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيهِ وَسَلَّمَ . فَأَسلَمَ ، فَخَرَجَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ يَقُولُ : الحَمدُ لِلَّهِ الذِي أَنقَذَهُ مِنَ النَّارِ .

แท้จริงมีเด็กชาวยิวเคยรับใช้ท่านนะบี ได้ล้มป่วย ท่านนะบี มาเยี่ยมเขา 

โดยที่ท่านได้นั่งใกล้ศีรษะของเขาแล้วกล่าวว่า จงเข้ารับอิสลามเถิด

จากนั้นเขาได้มองไปยังพ่อของเขา (เพื่อขอความคิดเห็น

พ่อของเขากล่าวว่า จงเชื่อฟังอบุลกอสิม แล้วเขาก็รับอิสลาม

ต่อจากนั้นท่านนะบี เดินออกมาแล้วกล่าวว่า “อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ผู้ที่ทำให้เขารอดพ้นจากไฟนรก

(อัล-บุคอรี)

 

13. ปลูกฝังลูกๆ ให้รู้จัก คำว่า (ลาอิลาฮาอิลลอฮฺ)

 

        รายงานจากท่าน ญุดดุบ บิน อับดุลลิละ

كُنَّا مَعَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَنَحْنُ فِتْيَانٌ حَزَاوِرَةٌ، فَتَعَلَّمْنَا الْإِيمَانَ قَبْلَ أَنْ نَتَعَلَّمَ الْقُرْآنَ، ثُمَّ تَعَلَّمْنَا الْقُرْآنَ، فَازْدَدْنَا بِهِ إِيمَانًا

     “ครั้งเมื่อเราได้อยู่กับท่านนบี ซึ่งในขณะนั้นเรามีอายุใกล้จะบรรลุนิติภาวะ เราศึกษาเรียนรู้ หลักศรัทธาก่อน จะศึกษาอัลกรุอ่าน หลังจากนั้น เราได้ศึกษาอัลกรุอ่าน มันทำให้เรานั้นเพิ่มพูมอิม่าน

(อิบนุ มาญะ)

         จากท่าน อับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุมา กล่าวว่าท่านนบี  กล่าวว่า:

{المستدرك } " يَا فَتًى ، قُلْ لا إِلَهَ إِلا اللَّهُ  โอ้เด็กน้อย จงกล่าว ในประโยคคำว่า “ลาอิลาฮาอิลลอฮฺ

 

          จากท่าน อะฎีบีย์ ได้ยินท่าน อิบนุ อุมัร กล่าวแก่ชายคนหนึ่งว่า ท่านจงอบรมบุตรของท่าน เพราะนี้คือ ความรับผิดชอบของท่านที่มีต่อลูกของท่าน สิ่งใดที่ท่านอบรม สิ่งใดที่ท่านสอน มันจะถูกสอบสวนในวันกียามะฮฺ

"โอ้พ่อจ๋า แท้จริง พ่อนั้นทรยศต่อฉัน(ลูก)ในวัยเด็ก มันคือผลทำให้ฉัน(ลูก)นั้น ทรยศต่อพ่อในยามชรา"

          รายงานว่า ท่านอิบนุ อับบาส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุได้กล่าวว่า

"اعْمَلُوْا بِطَاعَةِ اللهِ وَاتَّقُوْا مَعَاصِيَ اللهِ وَمُرُوْا أوْلاَدَكُمْ بِامْتِثَالِ اْلأوَامِرِ وَاجْتِنَابِ النَّوَاهِيْ فَذَلِكَ وِقَايَةً لَهُمْ مِنَ النَّارِ"

     “พวกท่านจงปฎิบัติการงานด้วยการเชื่อฟังอัลลอฮ์ และจงระวังการละเมิด การฝ่าฝืนอัลลอฮ์ และจงใช้ให้ลูกๆของพวกท่านปฎิบัติตามคำสั่งใช้ และออกห่างจากสิ่งที่ถูกห้าม เพราะดังกล่าวนี้เป็นการป้องกันพวกเขาและพวกท่านจากไฟนรก

(บันทึกของท่านอิมามอิบนุญะรีร และอิมามอิบนุ มุนซิร)

 

14. สอนเด็กรู้คุณค่า คำว่า (ลาอิลาฮาอิลลอฮฺ)

         จากท่านอบู ฮูร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ เล่าว่าแท้จริงท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า

أَسْعَدُ النَّاسِ بِشَفَاعَتِي يَوْمَ القِيَامَةِ ، مَنْ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ ، خَالِصًا مِنْ قَلْبِهِ ، أَوْ نَفْسِهِ

     “มนุษย์ที่มีความสุขกับชะฟาอะฮฺของฉันในวันกียามะฮฺ คือผู้ที่กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ควรสักการะนอกจากอัลลอฮฺ ด้วยใจที่บริสุทธิ์

(บันทึกโดยอัลบุคอรีย์)

 

15. สอนลูกรู้จักคุณค่าการละหมาด

 

          มีรายงานจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

مَنْ غَدَا إلَى المَسْجِدِ أَوْ رَاحَ، أَعَدَّ الله لَـهُ فِي الجَنَّةِ نُزُلاً كَلَّمَا غَدَا أَوْ رَاحَ

     “ใครก็ตามที่ไปกลับมัสญิดทุกๆเช้าหรือบ่ายเพื่อละหมาดญะมาอะฮฺแล้ว อัลลอฮฺจะเตรียมที่อยู่หนึ่งให้แก่เขาในสวรรค์ในทุกๆเช้าหรือบ่าย” 

(โดยมีบันทึกในอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)

          การให้กำลังใจและการกล่าวชมเชยเด็กหรือ การบอกถึงรางวัลที่เขาจะได้รับ นั้นจะเป็นตัวกระตุ้นแก่เขาและคนผู้อื่น และเสมือนเป็นการ(เชิญชวนพวกเขาให้ทำความดีงาม)โดยทางอ้อมอีกด้วย เนื่องด้วยเด็กๆนั้นมักจะกระทำในสิ่งที่เขาได้รับการชมเชยเสมอ หรือได้รับรางวัล

 

16. สอนลูกด้วยการตักเตือน (ระมัดระวัง)

 

         จากท่านมุอ๊าซ อิบนุญะบัล รอฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านเราะซูล ได้สั่งเสียฉันในสิ่ง 10 ประการ ท่านเราะซูล กล่าวว่า

لا تُشْرِكْ بِاللَّهِ شَيْئًا وَإِنْ قُتِلْتَ وَحُرِّقْتَ، وَلا تَعُقَّنَّ وَالِدَيْكَ، وَإِنْ أَمَرَاكَ أَنْ تَخْرُجَ مِنْ أَهْلِكَ وَمَالِكَ، وَلا تَتْرُكَنَّ صَلاةً مَكْتُوبَةً مُتَعَمِّدًا؛ فَإِنَّ مَنْ تَرَكَ صَلاةً مَكْتُوبَةً مُتَعَمِّدًا فَقَدْ بَرِئَتْ مِنْهُ ذِمَّةُ اللَّهِ، وَلا تَشْرَبَنَّ خَمْرًا؛ فَإِنَّهُ رَأْسُ كُلِّ فَاحِشَةٍ، وَإِيَّاكَ وَالْمَعْصِيَةَ؛ فَإِنَّ بِالْمَعْصِيَةِ حَلَّ سَخَطُ اللَّهِ عَزَّ وَجَلَّ، وَإِيَّاكَ وَالْفِرَارَ مِنَ الزَّحْفِ؛ وَإِنْ هَلَكَ النَّاسُ، وَإِذَا أَصَابَ النَّاسَ مُوتَانٌ وَأَنْتَ فِيهِمْ فَاثْبُتْ، وَأَنْفِقْ عَلَى عِيَالِكَ مِنْ طَوْلِكَ، وَلا تَرْفَعْ عَنْهُمْ عَصَاكَ أَدَبًا، وَأَخِفْهُمْ فِي اللَّهِ

 

♦ “ท่านอย่าตั้งสิ่งใดเป็นภาคีต่ออัลลอฮฺ แม้นว่าท่านจะถูกฆ่า และถูกเผา

♦- ท่านอย่าได้เนรคุณต่อพ่อแม่ของท่าน แม้ว่าท่านทั้งสองจะใช้ให้ท่านหย่าภรรยาของท่าน และละทิ้งทรัพย์สินของท่าน

♦- ท่านอย่าได้ทิ้งละหมาดฟัรฎูโดยจงใจ พันธะของอัลลอฮฺก็จะขาดจากเขา

♦- ท่านอย่าได้ดื่มสุรา แท้จริงสุราคือต้นเหตุของการทำความชั่วทั้งหลาย

♦- ท่านทั้งหลายจงระวังการฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ แท้จริงการฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์ ความกริ้วโกรธของอัลลอฮ์จะประสบกับเขา

♦- ท่านจงอย่าหนีทัพในวันประจัญบาน แม้นว่าประชาชนทั้งหลายจะต้องล้มตายไปกันหมด

♦- ถ้าหากว่าความตายมาประสบกับประชาชนทั้งหลาย และท่านก็อยู่ในหมู่พวกเขาด้วย ก็จงยืนหยัด

♦- ท่านจงจ่ายค่าเลี้ยงดูให้แก่ครอบครัวของท่านจากทรัพย์สินของท่านอันเป็นริสกีย์ที่ฮะล้าล

♦- ท่านจงอย่าละทิ้งการอบรมมารยาทต่อเขาเหล่านั้น

♦- และจงสำทับให้พวกเขาเกรงกลัวอัลลอฮ์

(บันทึกโดย อะห์หมัด และฏอบรอนีย์ ในอัลญามิอฺ อัลกะบีร)

 

     ในวาระสุดท้ายของท่านค่อลีฟะย์ อุมัร บิน อับดุลอาซีร มีสหายของท่านเข้าไปเยี่ยม เป็นที่ทราบกับดีว่า ท่านอุมัรนั้น มีลูกหมด 15 คน

     พวกเขา ถามท่านอุมัร ว่า ท่านได้ทิ้งสิ่งใดเอาไว้ให้กับบรรดาลูกๆของท่านละ โอ้ อะมีริล มุมินีน

     ท่านอุมัร บิน อับดุลอาซีร ฉันทิ้งให้กับพวกเขา คือ ความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ

     พวกเขา กล่าวว่า ละอิลาอาอิลลอฮฺ มันหมายความว่าอย่างไรล่ะ

     ท่านอุมัร ตอบว่า หากว่าพวกเขาเป็นคนดี มี ตักวา แน่นอนอัลลอฮฺจะทรงช่วยเหลือเขา จะปกป้องเขา และแน่นอนฉันไม่ได้ทิ้งสิ่งใดให้กับพวกเขา ที่จะทำให้พวกเขานั้น ทำการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ

 

ท่านอิบนุล เญาซีย์ รอฮิมาฮุลลอฮ กล่าวว่า :

          ปรากฎว่าชนสลัฟนั้น เมื่อลูกๆของคนหนึ่งได้เติบโตขึ้นมา พวกเขาจะให้ลูกๆนั้นคลุกคลี สนใจอยู่กับการท่องจำอัลกุรอาน ฟังหะดิษ ดังนั้นอีมานก็จึงหนักแน่นมั่นคงในหัวใจของเขา