วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ต้องรู้จักแยกปัญหา : คิลาฟกอวีย์ กับ คิลาฟดออีฟ คืออะไร? - อ.อามีน ลอนา

การขัดแย้งของนักวิชาการ ในประเด็นปัญหาศาสนาแบ่งเป็นสองชนิด
1. การขัดแย้งที่เรียกว่า ฎออีฟ (การที่นักวิชาการ ฝ่ายหนึ่งอยู่กับตัวบท ฝ่ายหนึ่งค้านตัวบท)
คิลาฟฎออีฟ การขัดแย้งที่อ่อน ที่ไม่อาจยอมรับกันได้ ที่ไม่อาจยอมความกันได้
คือนักวิชาการฝ่ายที่ 1 อยู่กับตัวบทชัดเจน
กับนักวิชาการอีกซีก 1 ค้านตัวบทชัดเจน ซึ่งในรุ่นศอหาบะฮฺก็มี
ทัศนะหรือความเห็นที่ค้านตัวบทชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น
อุลามาบางท่านเขามีทัศนะดุอา อิฟติฟตะฮฺ ที่เราอ่านกันในช่วงต้นของละหมาด
ไม่ใช่ซุนนะฮฺ อันนี้ค้านตัวบทชัดเจนไม่ต้องคุยกันเยอะ เพราะหะดีษมันมีชัดเจนว่านบีอ่านอะไร
หรือ อุลามา บางท่านมีทัศนะว่า ผู้หญิงนิก๊ะห์ได้ไม่วายิบเลยว่านางต้องมีวะลีย์
อันนี้ค้านตัวบทชัดเจน ย้ำ กรณีแบบนี้ ฉะนั้นแล้วไม่มีใครเขาพูดกันแต่แรกแล้วว่าเห็นต่างได้ทุกเรื่อง ไม่มี.
มันไม่มีอยู่แล้วเห็นต่างทุกเรื่องมันไม่มี
หรือ ถ้า อุลามาบางท่านจะมีทัศนะ ว่า เอาไก่ไปเฉือดเป็นเนื้อกุรบานได้ อันนี้มันก็ค้านกับตัวบท
เรื่องที่เรียกว่า คีลาฟฎออีฟ การค้านตัวบทชัดเจน เราจะรู้ว่ากรณีไหนเป็นค้านตัวบทไม่ค้านตัวบท
ให้เกาะนักวิชาการที่มีความละเอียดอ่อนในการวิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ให้ดี เดี๋ยวเขาจะบอกเอง นี่แบบวิธีรวบรัด
ให้เกาะนักวิชาการที่มีความชำนาญในการแจกแจงเรื่องในที่เรียกว่าค้านตัวบท
ซึ่งหนึ่งในนักวิชาการที่ผมฟันธงเลยว่า ท่านมีความละเอียดอ่อนในเรื่องนี้มากนั้นก็คือ
ชัยคฺ อิบนุตัยมิยะ (ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ) และนี่ไม่ใช่เรื่องตะอัซซุบ ฉะนั้นเรื่องใดจะเป็นคีลาฟอ่อน วิธีแก้ที่เร็วที่สุดให้ดูนักวิชาการบอกดีกว่า ว่าเรื่องนี้เป็นการ คีลาฟที่อ่อน ยกตัวอย่าง เรามีจุดยืนกับเรื่องหนึ่งที่รุนแรงมาก
พอเราถามว่าทำไมถึงรุนแรงในเรื่องนี้ ท่านคนนั้นก็ตอบว่า เรื่องนี้ค้านตัวบท เรื่องนี้เป็นการคีลาฟที่อ่อน
เราก็ต้องถามต่อ ที่ท่านสรุปว่าเรื่องนี้เป็นการคัดแย้งที่อ่อนยอมไม่ได้ นักวิชาการคนไหนมีสักคนไหมที่บอก
ถ้าท่านยกมาได้เราก็จะได้เข้าใจท่าน .
ไม่ใช่ว่าเรายกใครไม่ได้เลยและเราเข้าใจเอง ฉะนั้นเรื่องศาสนากรณีที่เป็นคีลาฟอ่อน อันนี้ให้ อิงก๊ารได้ อิงก๊ารตัวนี้ให้ตำหนิได้ ให้แข็งกร่าวได้ ให้ปรามได้ และปรามที่นี่ไม่ใช่ไปห้ามด้วยมือ เราไม่ใช่ผู้ปกครอง มีรายละเอียดอีก

ไม่ใช่เราเห็นมุสลีมะฮฺคนหนึ่งเป็นมัสฮับ ฮานาฟี เขาแต่งงานโดยไร้วะลีย์ เราผู้ปกครองก็ไม่ เราไปจับเขามาโบย ไม่ใช่ เราพูดได้ คุณทำแบบนี้คุณค้านนบีนะ ว่าไป นี่คือ กรณี คีลาฟอ่อน

อีกกรณีหนึ่งประเด็นอยู่ตรงนี้ กรณีคีลาฟแข็ง
คีลาฟแข็งคือ
กรณีที่นักวิชาการมีน้ำหนักกันทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างมีหะดีษทั้งคู่ มีหะดีษทั้งคู่ทำไมถึงไม่ตรงกันอีก
เพราะ กรณีแบบนี้จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากประเด็นปัญหานั้นๆไม่มีตัวบทตรงๆเด็ดขาด
ที่อ่านแล้วทุกคนเข้าใจตรงกันหมดว่าต้องได้ข้อสรุปนั้น ไม่ตรงไม่เด็ดขาด มันเป็นเรื่องที่นักวิชาการหนึ่งอยู่ด้านหน้าแล้วพยายามเอาตัวบทที่มันมีลักษณะกว้างๆเอามาสวม หรือบ้างเรื่องไม่มีตัวบทเลยตั้งแต่ต้น
เช่น เรารู้กันใช่ไหมว่า เวลาจะฟ้องร้องคดีซีนาเวลาศาลอิสลามจะลงโทษใครในข้อหาทำซีนามันต้องใช่พยาน
คำถามมีอยู่ว่า ถ้าพยานเป็นใบ้ล่ะ เอาขึ้นศาลได้ไหม ? หาหลักฐานมาสิ กรณีเจาะจงที่เป็นใบ้
กรณีแบบนี้มันไม่มีหลักฐานตรงๆ มันไม่มีหะดีษชัด อย่าเอาคนใบ้ขึ้นเป็นพยาน อะไรแบบนี้
หรือยกตัวอย่างเช่นว่า คนคนหนึ่งมีพยาน4คน สลับกัน คนคนหนึ่งเขาถูกกล่าวหาว่าทำซีนา จากพยาน4คนโดยพยานพูดได้หมด คนถูกกล่าวหาเป็นใบ้ซะเอง และเวลาเป็นใบ้ถูกนำตัวขึ้นศาลโต้แย้งไม่ได้ ไม่สามารถชี้แจงอะไรได้ โดยคำพูดชี้แจ้งไม่ได้ ก็เถียงกันอีกว่าตกลงแบบนี้ ว่าจะลงโทษไหมเนี้ยะ ปัญหายุ๋มยิ๋ม
หรือกรณี แบบสมมุติ ชายคนหนึ่ง ได้เอาอาวุธชนิดหนึ่งซึ่งโดยประเพณีอาวุธชนิดนั้นมันไม่มีโทษถึงตายไม่มีผลถึงตาย เช่นเอาแซ้ไปเฆี่ยนผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคดีทำร้ายกายแต่ปรากฏว่าเฆี่ยนแล้วตายขึ้นมา ตกลงกรณีแบบนี้จะเรียกว่าเจตนาฆ่าไหม คือถ้าเอาปืนไปยิงนั้นเจตนาฆ่าเพราะปืน (ฆอลิบ) ของมันทำให้ตาย
แต่เนี่ยะมันเป็นหว่ายเป็นไม้ตีเด็ก ปรากฏว่าไปตี คือสมมุติว่าชายคนหนึ่งจะปล้นของ หมายถึงจะไปขโมยทรัพย์สิน
แต่ไม่มีเจตนาฆ่า แต่แค่ใช้ไม้หว่ายตีคนที่ตัวเองขโมย ปรากฏว่าตีไปตีมามันดันตาย ตกลงนี่จะแถมคดีฆาตกรรมไว้ไหม
เนี่ย กรณีแบบนี้ ไม่มีหลักฐานตรงๆ มันเป็นเรื่องของการที่ดึงตัวบทมาสวม และมันก็ทำให้นักวิชาการเนี่ยะ
คัดแย้งกัน ฉะนั้นนักวิชาการจึงบอกว่ากรณีแบบนี้ว่า คีลาฟที่แข็ง ....

https://www.youtube.com/watch?v=nLk7Hi_bPWc&fbclid=IwAR3aVo6zFXO-dHAeoXXTtYM2QhicHZy3sgNSqOZoDlW2DvCAzE5hzrMvW1I

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2562

ชี้แจง กรณี หนังสือ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์




ไปเจอข้อความข้างล่างนี้ ระบุว่า
จากหนังสือของ ..........อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์
หน้าที่ 61-62 ทำให้ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าแนวทางกลุ่มคณะใหม่ วะฮาบี ไม่ใช่แนวทางของอะลุสสุนนะฮ์
ท่าน อ......... ท่านกล่าวว่า
การพรรณนาอัลลอฮฺให้มีความหมายคุณลักษณะของมนุษย์ เช่น บอกว่าอัลลอฮฺเป็นรูปร่าง มีรูปทรง เป็นสัดส่วนอวัยวะ มีสถานที่อยู่ มีการนั่ง มีการเคลื่อนย้ายเคลื่อนที่ไปมา ย่อมเป็นกาเฟร เพราะเป็นคุณลักษณะในความหมายของมนุษย์ ปราชญ์สะลัฟท่านอิหม่ามอัฏเฏาะหาวี่ย์ได้กล่าวว่า
ومن وصف الله بمعنى من معاني البشر ، فقد كفر
ผู้ใดพรรณาอัลลอฮฺด้วยความหมายหนึ่งจากบรรดาความหมายของมนุษย์ เขาย่อมเป็นกาเฟร
……………………..
ชี้แจง
ข้างต้น เป็นการอุปโลกน์คำว่า “ตัจซีม” ขึ้นมา แล้วบอกว่าใครว่าอัลลอฮมีรูปร่างคนนั้น มีอะกีดะฮยิว และเป็นกาเฟร
การเอาคำว่า “ตัจญซีม” หรือ การพรรณนาว่าอัลลอฮมีรูปร่างนั้น ไม่ปรากฏในสมัยนบี ศอ็ลฯ และเหล่าสาวกวก ในการหุกุมเกี่ยวกับเรื่องนี้
คำว่า “ตัจญซีม” เป็นคำที่อะชาอิเราอุตริขึ้นมาที่หลัง
ดังที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ (ร.ฮ) กล่าวว่า
ثُمَّ لَفْظُ " التَّجْسِيمِ " لَا يُوجَدُ فِي كَلَامِ أَحَدٍ مِنْ السَّلَفِ لَا نَفْيًا وَلَا إثْبَاتًا فَكَيْفَ يَحِلُّ أَنْ يُقَالَ : مَذْهَبُ السَّلَفِ نَفْيُ التَّجْسِيمِ أَوْ إثْبَاتُهُ بِلَا ذِكْرٍ لِذَلِكَ اللَّفْظِ وَلَا لِمَعْنَاهُ عَنْهُمْ
ต่อมา คำว่า “อัตตัจญซีม” (การมีรูปร่าง) ไม่พบในคำพูดของคนหนึ่งคนใดจากชาวสะลาฟ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธ หรือ การรับรอง ดังนั้น
จะอนุญาตให้พูดว่า “มัซฮับสะลัฟ ปฏิเสธการมีรูปร่าง หรือ รับรองมัน ได้อย่างไร โดยที่ไม่การกล่าวถึงถ้อยคำดังกล่าวและไม่ได้กล่าวถึงความหมายของมัน จากพวกเขา – ดู มัจญมัวะ ฟะตาวา อิบนุตัยมียะฮ เล่ม 4 หน้า 152 เรื่อง อะกีดะฮ
........
กล่าวคือ คำว่า “ตัจญซีม” ไม่เคยปรากฏว่าปราชญ์ชาวสะลัฟ กล่าวถึงคำนี้ ไม่ว่า ในเชิงปฏิเสธ หรือ ในเชิง การรับรองให้แก่อัลลอฮ
เพราะฉะนั้น ไม่ควรเอาคำนี้มาอ้างถึงทัศนะของชาวสะลัฟ เพราะพวกเขาไม่เคยกล่าวถึง เลย
นักปราชญชาวสะลัฟนั้น พวกเขารับรองสิ่งที่อัลลอฮ กล่าวไว้ในอัลกุรอ่านและที่นบี ของพระองค์กล่าวไว้ในอัลหะดิษ และไม่ถือว่าการเชื่อตามสิ่งที่อัลลอฮและรอซูลบอกนั้น เป็นการเอาอัลลอฮ ไปเปรียบเทียบว่าเหมือนกับมัคลูคแต่อย่างใด
وَقَالَ نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ : مَنْ شَبَّهَ اللَّهَ بِشَيْءٍ مِنْ خَلْقِهِ فَقَدْ كَفَرَ ، وَمَنْ أَنْكَرَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ فَقَدْ كَفَرَ ، وَلَيْسَ فِيمَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا رَسُولُهُ تَشْبِيهٌ
และ นุอัยมฺ บิน หัมมาด กล่าวว่า “ ผู้ใดเปลียบเทียบอัลลอฮ ว่าคล้ายคลึงด้วยสิ่งใดๆจากมัคลูคของพระองค์ แน่นอน เขาเป็นกุฟุร และผู้ใด ปฏิเสธ สิ่งที่อัลลอฮทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมัน แน่นอนเขาเป็นกุฟุร และ สิ่งที่อัลลอฮ ทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมันและสิ่งที่รอซูลของพระองค์ (พรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยมัน)นั้น ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ(หมายถึงไม่ใช่เป็นเปรียบเทียบว่าอัลลอฮคล้ายคลึงกับมัค ลูค) – ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม หน้า 85 และ ดู ชัรหุอุศูลเอียะติกอด อะฮลิสสุนนะฮวัลญะมาอะฮ เล่ม 2 หน้า 532 หะดิษหมายเลข 936
ท่านอิสหาก บิน รอฮาวียะฮ ปราชญ์ชาวสะลัฟ (ฮ.ศ 161 - 238 )กล่าวว่า
إِنَّمَا يَكُونُ التَّشْبِيهُ إِذَا قَالَ يَدٌ كَيَدٍ أَوْ مِثْلُ يَدٍ أَوْ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ. فَإِذَا قَالَ سَمْعٌ كَسَمْعٍ أَوْ مِثْلُ سَمْعٍ فَهَذَا التَّشْبِيهُ وَأَمَّا إِذَا قَالَ كَمَا قَالَ الله تَعَالَى يَدٌ وَسَمْعٌ وَبَصَرٌ وَلَا يَقُولُ كَيْفَ وَلَا يَقُولَ مِثْلُ سَمْعٍ وَلاَ كَسَمْعٍ فَهَذَا لَا يَكُونُ تَشْبِيهًا وَهُوَ كَمَا قَالَ الله تَعَالَى فِى كِتَابِهِ: { لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
การตัชบีฮฺ(เปรียบกับมัคลูก)นั้นคือการที่เรากล่าวว่า พระหัตถ์ของอัลลอฮฺก็เหมือนกับมือของฉันหรือใกล้เคียงกับมือของฉัน หรือการที่เขากล่าวว่า พระองค์อัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับที่ฉันได้ยินหรือคล้ายกับที่ฉันได้ยิน แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าตัชบีฮฺ แต่หากเป็นการกล่าวในสิ่งที่อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้แล้ว เช่น พระหัตถ์, ทรงสดับฟัง, ทรงทอดพระเนตร พร้อมกับไม่ถามว่ามันเป็นอย่างไรแบบไหน ตลอดจนไม่กล่าวว่าอัลลอฮฺได้ยินเหมือนกับฉันได้ยิน ดังนั้นแบบนี้ไม่เป็นการตัชบีฮฺต่ออัลลอฮฺตะอาลา พระองค์กล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือคล้ายคลึงกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ ยินและทรงเห็น” (หนังสือ สุนันอัตติรมิซีย์ เล่ม 3 หน้าที่ 50-51)
……………………
เพราะฉะนั้น การที่เราเชื่อ ตามที่อัลลอฮทรงบอกว่า ทรงมี พระหัตถ์ หรือ สิฟัตอื่นๆ ตามที่ทรงบอกไว้ ไม่ใช่ว่า เป็นการเปรียบเทียบกับมัคลูค หรือ มีรูปร่างเหมือนมัคลูค เพราะพระองค์ทรงบอกไว้แล้วว่า
لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์แท้จริงพระองค์คือผู้ทรงได้ยินและทรงเห็น
อยากให้ท่านเจ้าของหนังสือโจมตีวะฮบีย์เล่มนั้น มาดูคำพูดอิบนุตัยมียะฮที่พวกท่านด่าเช้าด่าเย็น ต่อไปนี้
فَإِنَّ الله لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ لَا فِي ذَاتِهِ، وَلَا فِي صِفَاتِهِ، وَلَا فِي أَفْعَالِهِ. فَإِذَا كَانَ لَهُ ذَاتٌ حَقِيقِةٌ لَا تُمَاثِلُ الذَّوَاتِ، فَالذَّاتُ مُتَّصِفَةٌ بِصِفَاتٍ حَقِيقَةٍ لَا تُمَاثِلُ سَائِرَ الصِّفَاتِ.
แท้จริงอัลลอฮนั้น ไมมีสิ่งใดเสมอเหมือน พระองค์ ไม่ว่า ในเรื่องเกี่ยวกับซาตของพระองค์ ,ไม่ว่าในเรื่อง บรรดาคุณลักษณะของพระองค์ และไม่ว่าในเรื่องการกระทำต่างๆของพระองค์ ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าพระองค์ทรงมีซาต(ตัวตน)จริงๆ ที่ไม่เหมือนบรรดาซาต ดังนั้น ซาต(ตัวตน)ที่มีคุณลักษณะ ด้วยบรรดาคุณลักษณะจริงๆ ก็จะไม่เหมือนกับบรรดาซาต(ตัวตน)อื่นๆ – ดู ฟะตาวาอิบนุตัยมียะฮ เล่ม 3 หน้า 21
อยากจะถามว่า ผู้ที่มีอะกีดะฮ แบบอิบนุตัยมียะฮข้างต้น “ เป็นการเฟร อย่างนั้นหรือ นะอูซุบิลละฮ
และอย่ากจะถามว่า “เจ้าของหนังสือโจมตี วะฮบีย์เล่มนั้น เคยใข้ คำว่า “ซาต”(ตัวตน)กับอัลลอฮไหม ถ้าเคยใช้.. แสดงว่า ท่านว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองใช่ไหม เพราะคำว่า “ซาต” แปลว่าตัวตน แสดงว่า เชื่อว่าอัลลอฮมีรูปร่างใช่ไหม
เจ้าของหนังสือโจมตี วะฮบีย์เล่มนั้น อ้างจาก หนังสือ ชัรหุอะกีดะฮอัฏเฏาะฮาวียะว่า
ومن وصف الله بمعنى من معاني البشر ، فقد كفر
ผู้ใดพรรณาอัลลอฮฺด้วยความหมายหนึ่งจากบรรดาความหมายของมนุษย์ เขาย่อมเป็นกาเฟร
ท่านน่าจะอ่านคำอธิบายต่อจากนั้นที่เขาอธิบายว่า
وَلَيْسَ مَا وَصَفَ اللَّهُ بِهِ نَفْسَهُ وَلَا مَا وَصَفَهُ بِهِ رَسُولُهُ تَشْبِيهًا ، بَلْ صِفَاتُ الْخَالِقِ كَمَا يَلِيقُ بِهِ ، وَصِفَاتُ الْمَخْلُوقِ كَمَا يَلِيقُ بِهِ
และ สิ่งที่อัลลอฮ ทรงพรรณนาคุณลักษณะแก่ตัวของพระองค์เองด้วยมันและสิ่งที่รอซูลของพระองค์ พรรณนาคุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยมันนั้น ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ (ไม่ใช่การเปรียบเทียบว่าคล้ายคลึงกับมัคลูค)แต่ทว่า บรรดาสิฟาตผู้สร้างนั้น ดังสิ่งที่เหมาะสมกับพระองค์ และบรรดาสิฟาตผู้ถูกสร้างนั้น ดังสิ่งที่เหมาะสม/คู่ควร กับเขา – ดูชัรหุอะกีดะฮ อัฏเฎาะหาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 207
.......................
อินชาอัลลอฮว่างๆจเอาข้ออ้างจากตำราโจมตีวะฮบีย์เล่มนั้น มาชี้แจง




เริ่ม ต้นตำราเล่มนั้นก็ยกอายะฮอัลกุรอ่านเกี่ยวกับที่พวกยิวปั้นรูปลูกวัวบูชา ในขณะที่นบีมูซาไม่อยู่ แล้วมาทึกทักว่า พวกยิวเชื่อว่าพระเจ้ามีรูปร่าง เพื่อจะโยงไปกล่าวหาวะฮบีย์ ว่ามีความเชื่อเหมือนยิวพวกนี้...นะอูซุบิลละฮ



เจ้าของหนังสือโจมตีวะฮบีย์อ้างวา
ปราชญ์สะลัฟท่านอิหม่ามอัฏเฏาะหาวี่ย์ได้กล่าวว่า
ومن وصف الله بمعنى من معاني البشر ، فقد كفر
ผู้ใดพรรณาอัลลอฮฺด้วยความหมายหนึ่งจากบรรดาความหมายของมนุษย์ เขาย่อมเป็นกาเฟร
...........
มาดูคำออธิบายครับ
อิบนุอะบิลอิซ อัชดัมชะกีย์ อธิบายว่า
نَبَّهَ بَعْدَ ذَلِكَ عَلَى أَنَّهُ تَعَالَى بِصِفَاتِهِ لَيْسَ كَالْبَشَرِ ، نَفْيًا لِلتَّشْبِيهِ عَقِيبَ الْإِثْبَاتِ ، يَعْنِي أَنَّ اللَّهَ تَعَالَى وَإِنْ وُصِفَ بِأَنَّهُ مُتَكَلِّمٌ ، لَكِنْ لَا يُوصَفُ بِمَعْنًى مِنْ [ ص: 207 ] مَعَانِي الْبَشَرِ الَّتِي يَكُونُ الْإِنْسَانُ بِهَا مُتَكَلِّمًا ، فَإِنَّ اللَّهَ لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ وَهُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ
หลังจากดังกล่าวนั้น(หลังจากกล่าวว่า อัลกุรอ่านเป็นคำพูดของอัลลอฮจริงๆ) เขา(เช็คอัฏเฏาะหาวีย) ได้เตือนว่า อัลลอฮตะอาลานั้น ทรงคุณลักษณะด้วยบรรดาคุณลักษณะ ที่ไม่เหมือนมัคลูค เป็นการปฏิเสธการเปรียบเที่ยบว่าคล้ายคลึง (กับมัคลูค)หลังจากที่ได้ให้การรับรอง หมายความว่า แท้จริงอัลลอฮ ตะอาลา แม้ว่าพระองค์ทรงถูกให้มีคุณลักษณะ ว่า พระองค์ทรงพูด (มุตะกัลป์ลิมุน) แต่ พระองค์ ไม่ถูกให้มีคุณลักษณะ ด้วยความหมาย จากบรรดาความหมายของมนุษย์ ที่ปรากฏว่า มนุษย์ เป็นผู้ที่พูดด้วยมัน เพราะแท้จริง อัลลอฮ นั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยิน ทรงเป็นผู้ที่เห็นยิ่ง – ดู ชัรหุอะกีดะฮอัฏฏอฮาวียะฮ เล่ม 1 หน้า 207
.............
คำอธิบายข้างต้นต้องการจะบอกว่า แม้ว่าเราจะพรรณนาคุณลักษณะให้แก่อัลลอฮ เช่น ผู้ทรงพูด (มุตะกัลป์ลิม) ก็ไม่ได้หมายความว่า
การ เป็นผู้พูดนั้น เหมื่อนกับ การเป็นผู้พูดของมนุษย์ หรือ เช่น เรา กล่าวว่า ทรงมีพระหัตถ์ /มือ ก็ไม่ได้หมายความว่า ทรงเหมือนกับมือตามความหมายมือของมนุษย์ หรือ การเป็นผู้ได้ยิน ก็จะไม่จินตนาการไปว่า ได้ยินด้วยหูเหมือนการได้ยินของมนุษย์ เป็นต้น เพราะไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์
ข้าง ต้นคือ คำอธิบายของปราชญ์ผู้รู้ จริง คนที่ถูกเรียกว่า วะฮบีย์ เขาแปลว่ามือตามความหมายจริง แต่เขาไม่ได้บอกว่าอัลลอฮมีมือเหมือนกับมือมนุษย์
และไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร และจะไม่ถามว่าเป็นอย่างไร เพราะเป็นสิ่งที่นอกเหนือจินตนาการ



มาดูอายะฮ ที่เจ้าของหนังสือ โจมตีวะฮบีย์ ชื่อ “อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ “ และในเว็บไซด์ของเขา
ได้ตั้งหัวข้อว่า “อะกีดะฮ์อัลเลาะฮ์มีรูปร่างของวะฮาบีย์ที่เรียกตนเองว่า"ชาวซุนนะฮ์”
เขากล่าวว่า
พระองค์ทรงตรัสว่า

وَاتَّخَذَ قَوْمُ مُوسَى مِن بَعْدِهِ مِنْ حُلِيِّهِمْ عِجْلاً جَسَداً لَّهُ خُوَارٌ

"และ พวกพร้องของมูซา ภายหลังจากเขา (ได้ขึ้นไปยังภูเขาฏูรซีนาแล้ว) ก็จัดการหลอมจากเครื่องประดับ (ทอง) ของพวกเขาเป็นรูปลูกโคที่มีเรือนร่าง อีกทั้งมีเสียงร้องด้วย (เพื่อทำการกราบไว้บูชา)" อัลอะอฺร็อฟ : 148

พระองค์ทรงตรัสเช่นกันว่า

فَأَخْرَجَ لَهُمْ عِجْلاً جَسَداً لَهُ خُوَارٌ فَقَالُوا هَذَا إِلَهُكُمْ وَإِلَهُ مُوسَى فَنَسِيَ

"แล้ว เขา (ซามีรี) ก็นำรูปโคทองออกมาให้พวกเขา มีร่างกายของมัน (ครบถ้วน) อีกทั้งส่งเสียงร้อง พวกเขาจึงกล่าวว่า นี่แหละคือพระเจ้าของพวกท่าน และพระเจ้าของมูซาแต่เขาลืมเสียแล้ว" ฏอฮา : 88
อัลเลาะฮ์ ตะอาลา ทรงประสงค์ที่จะย้ำเตือนให้เราตระหนัก ถึงคุณลักษณะอันบกพร่องของลูกโคที่ถูกกราบไว้ที่ไม่บังควรสำหรับการถูกนำมา เป็นพระเจ้าว่า คือมันเป็น جَسَداً "เรือนร่าง รูปร่าง ร่างกาย"
....................
ขอชี้แจงว่า คำว่า เรื่อนร่าง ข้างต้น หมายเรือนร่างของ รูปปั้นลูกวัว ที่พวกเขาบูชา ไม่มีหะดิษ และนักวิชาการชาวสะลัฟคนใด
นำเอาอายะฮนี้มาเป็นหลักฐานในการปฏิเสธ (นัฟยุน)ว่า พระเจ้าไม่เป็นเรือนร่าง หรือมาเป็นหลักฐานรับรอง(อิษบาตร)ว่าพระเจ้ามีเรือนร่าง



ส่วนคำอธิบายของอิบนุญะรีรที่ที่เขานำมาอ้างคือ
ท่านอิบนุ ญะรีร อัฏฏ็อบบีย์ ได้กล่าวอธิบายว่า
يُخْبِر جَلَّ ذِكْره عَنْهُمْ أَنَّهُمْ ضَلُّوا بِمَا لَا يَضِلّ بِمِثْلِهِ أَهْل الْعَقْل , وَذَلِكَ أَنَّ الرَّبّ جَلَّ جَلَاله الَّذِي لَهُ مُلْك السَّمَوَات وَالْأَرْض وَمُدَبِّر ذَلِكَ , لَا يَجُوز أَنْ يَكُون جَسَدًا لَهُ خُوَار
"อัลเลาะฮ์ ตะอาลา ทรงบอกเล่าถึงพวกบนีอิสรออีลว่า พวกเขามีความลุ่มหลง ด้วยกับสิ่งที่ผู้มีสติปัญหาจะไม่หลุ่มหลงเฉกเช่นนี้ ดังกล่าวก็คือ อัลเลาะฮ์ตะอาลาซึ่งเป็นผู้เอกสิทธิ์ในการปกครองบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินและ เป็นผู้บริหารสิ่งดังกล่าวนั้น ไม่อนุญาตสำหรับพระองค์ในการเป็นเรือนร่าง ที่มีการส่งเสียงร้อง" ตัฟซีรอัฏฏ็อบรีย์ ซูเราะฮ์ อัลอะอฺร็อฟ : 148
…………….
ขอชี้แจงว่า......ข้างต้น เป็นการอธิบายว่า เป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าผู้มีเอกสิทธิ์ในการปกครองบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน นั้น เป็นเรือนร่าง ที่มีการส่งเสียงร้อง
และ การเชื่อตามที่อัลลอฮ ตรัสบอกไว้ ในการพรรณนาคุณลักษณะของพระองค์ เช่น ทรงมีพระหัตถ์ ไม่ได้หมายถึง การเชื่อว่าพระเจ้ามีอวัยวะเหมือนมัคลูค ตามความเข้าใจของอะชาอีคนนี้
มาดูอายะฮนี้ คำอธิบายอายะฮต่อไปนี้ของอิบนุญะรีร

قَالَ يَا إِبْلِيسُ مَا مَنَعَكَ أَنْ تَسْجُدَ لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ أَسْتَكْبَرْتَ أَمْ كُنْتَ مِنَ الْعَالِينَ

พระองค์ ตรัสว่า “อิบลีสเอ๋ย อะไรเล่าที่ขัดขวางเจ้ามิให้เจ้าสุญูดต่อสิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสอง ของข้า ? เจ้าเย่อหยิ่งจองหองนักหรือ หรือว่าเจ้าอยู่ในหมู่ผู้สูงส่ง – ศอด/47

ท่านอิบนุญะรีร อัฏฏอ็บรีย์ อธิบายว่า

( لِمَا خَلَقْتُ بِيَدَيَّ ) يَقُولُ : لِخَلْقِ يَدَيَّ ، يُخْبِرُ - تَعَالَى ذِكْرُهُ - بِذَلِكَ أَنَّهُ خَلَقَ آدَمَ بِيَدَيْهِ .

ต่อ สิ่งที่ข้าได้สร้างด้วยมือทั้งสองของข้า) เขากล่าวว่า ต่อการสร้างของสองมือของข้า ,ผู้ซึ่งการสดุดีพระองค์ สูงส่งยิ่ง ได้บอกด้วยดังกล่าว ว่า แท้จริงพระองค์ทรงสร้างอาดัม ด้วยสองมือของพระองค์
.................. อิบนุญะรีร บอกว่า อัลลอฮสร้างอาดัม ด้วยสองมือของพระองค์ โดยท่านไม่ได้ตีความ แบบนี้หมายว่า มีอะกีดะฮว่าพระเจ้ามีรูปร่างตามการโจมตีของเจ้าของตาราข้างต้นอย่างนั้น หรือ



อิหม่ามอัดดารีมีย์ (ฮ.ศ.280) กล่าวว่า

أخبرنا الله في كتابه أنه ذو سمع، وبصر، ويدين، ووجه، ونفس، وعلم، وكلام، وأنه فوق عرشه فوق سماواته، فآمنا بجميع ما وصف به نفسه كما وصفه بلا كيف) اهـ.

อัล ลอฮทรงบอกเราในคัมภีร์ของพระองค์ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ได้ยิน ,ทรงเป็นผู้เห็น ,ทรงมีสองมือ,ใบหน้า .ทรงมีตัวตน, ทรงรู้ ,ทรงพูด และแท้จริง พระองค์ทรงอยู่เหนือบัลลังค์ของพระองค์ เหนือบรรดาชั้นฟ้าของพระองค์ ดังนั้นเราศรัทธา ทั้งหมดสิ่งที่ทรงพรรณนาคุณลักษณะให้แก่ตัวของพระองค์ด้วยมัน เหมือนกับที่ทรงพรรณนาคุณลักษณะไว้ โดยไม่อธิบายรูปแบบวิธีการว่าเป็นอย่างไร – อัรรอด อะลัลมะรีสีย์ เล่ม 1 หน้า 428
ข้าง ต้นคืออะกีดะฮสะลัฟ แต่มีคนเก่งยุคนี้บอกว่า เป็นความเชื่อแบบยิว เพราะ ไปเชื่อว่า พระเจ้ามีทรงมีสองมือ,ใบหน้า .ทรงมีตัวตน ก็เท่ากับว่า มีเรื่อนร่าง ...ตามที่ท่านครูอ้าง



ในตำรา ชื่อ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ หน้า 53 ได้อ้างคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)ว่า
مذهب معظم السلف أو كلهم أنه لا يتكلم في معناها , بل يقولون يجب علينا أن نؤمن بها ونعتقد لها معنى يليق بجلال الله تعالى وعظمته مع اعتقادنا الجازم أن الله ليس كمثله شيء وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة وعن سائر صفات المخلوق وهذا القول هو مذهب جماعة من المتكلمين واختاره جماعة من محققيهم وهو أسلم

คือ มัซฮับส่วนมากของสะลัฟหรือทั้งหมด กล่าวคือ จะไม่มีการพูดกันในความหมายของมัน แต่พวกเขากล่าวว่า จำเป็นบนเราต้องศรัทธาเชื่อด้วยกับมัน(บรรดาอายะฮ์และหะดิษซีฟาต) และเราเชื่อมั่นกับความหมายที่เหมาะสมกับความเกรียงไกรและความยิ่งใหญ่ของ อัลเลาะฮ์ ตะอาลา พร้อมกับให้เราเชื่อมั่นว่า แท้จริงอัลเลาะฮ์ ตะอาลา "ไม่มีผู้ใดที่มาคล้ายเหมือนกับพระองค์" และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง และปราศจากการเหมือนบรรดาคุณลักษณะอื่น ๆ ของบรรดามัคโลค และนี้คือทัศนะคำกล่าวของมัซฮับกลุ่มหนึ่งจากอุลามาอ์กะลาม และกลุ่มหนึ่งจากอุลามาอ์กะลามที่ทรงความรู้อันแน่นแฟ้นได้เลือกเฟ้น และมันคือทัศนะที่ปลอดภัยกว่า" ชัรหุมุสลิม เล่ม 3 หน้า 19

……………………..

ข้างต้น เป็นคำอธิบายของอิหม่ามนะวาวีย์ข้างต้น ที่อ้างว่า
وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة
และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง
..............
ข้อ ความข้างต้นเป็นความเห็นของท่านอิหม่ามนะวาวีย์เองไม่ใช่ทัศนะของปราชญ์ชาว สะลัฟ เพราะไม่มีสะลัฟคนใด กล่าวถึง คำว่าอัลลอฮ “เป็นมวลสารหรือรูปร่าง ในเชิงรับรอง(อิษบาตร)และ ในเชิงปฏิเสธ และคำว่า “ทิศ” ก็เช่นเดียวกัน สะลัฟไม่ได้กล่าวถึงคำนี้
ดังอิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ ซึ่งเป็นปราชญ์ตัฟสีรที่มีแนวคิดเอนเอียงไปทางอะชาอิเราะฮ ได้ยืนยันไว้คือ
وَقَدْ كَانَ السَّلَف الْأَوَّل رَضِيَ اللَّه عَنْهُمْ لَا يَقُولُونَ بِنَفْيِ الْجِهَة وَلَا يَنْطِقُونَ بِذَلِكَ , بَلْ نَطَقُوا هُمْ وَالْكَافَّة بِإِثْبَاتِهَا لِلَّهِ تَعَالَى كَمَا نَطَقَ كِتَابه وَأَخْبَرَتْ رُسُله
บรรดา สลัฟยุคแรก (ร.ฎ) พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธ คำว่า"ทิศ" และพวกเขาไม่ได้พูดมัน ในทางตรงกันข้าม พวกเขาเองทั้งหมด ต่างก็กล่าวรับรอง มัน(ทิศ) แก่อัลลอฮ (ซ.บ) ดังที่ คัมภีร์ของพระองค์ได้กล่าวเอาไว้และบรรดารซูลของพระองค์ได้บอกเอาไว้ - - อัลญามิอุนอะหกามอัลกุรอ่าน 7/219
ส่วนการปฏิเสธทิศ เกี่ยวกับอัลลอฮนั้น ไม่ใช่ทัศนะสะลัฟ



ส่วน การปฏิเสธทิศ เกี่ยวกับอัลลอฮนั้น ไม่ใช่ทัศนะสะลัฟ แต่เป็นแนวติดนักปรัชญาเทวนิยมหรือมุตะกัลป์ลิมีน (พวกใช้เหตุผลหรือ ตรรกอธิบายเรื่องอะกีดะฮ)ซึ่งท่านอิหม่ามนะวาวีย์ได้ยืนยันไว้เช่นกัน และ อิหม่ามอัลกุรฏุบีย์ได้ยืนยันไว้ด้วยคือ
عِنْد عَامَّة الْعُلَمَاء الْمُتَقَدِّمِينَ وَقَادَتهمْ مِنْ الْمُتَأَخِّرِينَ تَنْزِيهه تَبَارَكَ وَتَعَالَى عَنْ الْجِهَة , فَلَيْسَ بِجِهَةِ فَوْق عِنْدهمْ ; لِأَنَّهُ يَلْزَم مِنْ ذَلِكَ عِنْدهمْ مَتَى اِخْتَصَّ بِجِهَةٍ أَنْ يَكُون فِي مَكَان أَوْ حَيِّز , وَيَلْزَم عَلَى الْمَكَان وَالْحَيِّز الْحَرَكَة وَالسُّكُون لِلْمُتَحَيِّزِ , وَالتَّغَيُّر وَالْحُدُوث . هَذَا قَوْل الْمُتَكَلِّمِينَ
ใน ทัศนะของบรรดานักปราชญ์ยุคก่อนทั่วไปและผู้ที่ตามพวกเขาจากบรรดาคนยุคหลัง คือ การให้อัลลอฮ ตะอาลาบริสุทธิ์ จากทิศ เพราะไม่ใช่ทิศเบื้องบนในทัศนะของพวกเขา เพราะในทัศนะของพวกเขา เมื่อจำกัดทิศ แน่นอนพระองค์จะต้องอยู่ในสถานที่หรืออาศัยอยู่ และบนสถานที่และการอาศัยอยู่นั้น จะต้องมีการเคลื่อนไหวและหยุดนิ่ง สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ และ จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงและการบังเกิดขึ้นใหม่ นี้คือ ทัศนะของพวกมุตะกัลป์ลิมีน” – จากตัฟสีรเล่มเดียวกัน
................
กล่าวคือ ชาวสะลัฟ ไม่ได้พูดถึง คำว่า "ทิศ" เกี่ยวกับอัลลอฮ ไม่ว่าในด้านที่ยอมรับหรือปฏิเสธ...แล้วอ้างได้อย่างไรว่าเป็นทัศนะสะลัฟ



คำ ว่า “รูปร่าง”หรือเป็นรูปร่าง ก็เช่นเดียวกัน ชาวสะลัฟไม่ได้พูดถึง แต่เป็นคำที่อุตริขึ้นมา อธิบายเกี่ยวกับสิฟัตอัลลอฮ ของคนยุคหลังเท่านั้น ชัยคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า
ليس في كتاب الله ولا سنة رسول الله صلى الله عليه وسلم ولا قول أحد من سلف الأمة وأئمتها أنه ليس بجسم وأن صفاته ليست أجساما وأعراضا فنفي المعاني الثابتة بالشرع بنفي ألفاظ لم ينف معناها شرع ولا عقل جهل وضلال
ไม่ ปรากฏในคัมภีร์อัลลอฮ และสุนนะฮรซูลุลลอฮ ศอ็ลฯ และไม่ปรากฏคำพูดคนหนึ่งคนใดจากอุมมะฮยุคสะลัฟ และบรรดาอิหม่ามของพวกเขา ว่า แท้จริงพระองค์ ไม่ใช่รูปร่าง/มวลสาร และ(ไม่มีผู้ใดที่กล่าวมา กล่าวว่า)แท้จริงบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ ไม่ใช่บรรดามวลสาร/รูปร่างและบรรดาสิ่งของ ดังนั้น การปฏิเสธ บรรดาความหมายที่ยืนยันด้วยบทบัญญัต ด้วย การปฏิเสธ บรรดาถ้อยคำ ที่ บทบัญญัติ(หมายถึงอัลลอฮและรอซูล)และสติปัญญาไม่ได้ปฏิเสธความหมายของมัน นั้น คือ ความงี่เง้าและหลุ่มหลง – ดู บะยานตัลบิสอัลญะมียะฮ เล่ม 1 หน้า 101
...........
กล่าวคือ ไม่มีสะลัฟคนใดกล่าวว่า อัลลอฮ เป็นมวลสาร หรือไม่เป็นมวลสาร(รูปร่าง) และการปฏิเสธความหมายของบรรดาถ้อยคำที่อัลลอฮและรอซูลได้ยืนยันไว้ และไม่ได้ปฏิเสธความหมายของมันนั้น ถือเป็นความโง่เขลาและหลุ่มหลง
.......
เพราะฉะนั้น การเขียนตำราให้ชาวบ้านไม่รู้อิโหน่อิเหน่อ่านมันอันตราย โดยเฉพาะการบิดเบือน



อิบนุตัยมียะฮ กล่าวว่า
قال ابن تيمية :" من المعلوم أن السنة والإجماع لم تنطق بأن الأجسام كلها محدثة وأن الله ليس بجسم ولا قال ذلك إمام من أئمة المسلمين"
เป็นที่รู้กันว่า แท้จริงอัสสุนนะฮและอัลอิจญมาอฺ นั้น ไม่ได้พูดว่า บรรดาสิ่งที่เป็นมวลสาร(หรือรูปร่าง)ทั้ง หมดนั้น เป็นสิ่งที่ถูกให้บังเกิดใหม่ และ(ไม่ได้พูด)ว่าแท้จริง อัลลอฮ ไม่ใช่เป็นรูปร่าง และไม่มีอิหม่ามหนึ่งคนใดจากบรรดาอิหม่ามแห่งมวลมุสลิม กล่าวถึงดังกล่าวนั้น – บะยานตัลบิสอัลญะฮมียะฮ เล่ม 1 หน้า 118 สำนักพิมพ์อัลหุกูมะฮ เมืองมักกะ ฮ.ศ 1391
.............
สรุปว่า คนที่อ้างว่าอัลลอฮ ไม่เป็นรูปร่าง เป็นการพูดล้ำหน้า อัสสุนนะฮ และอัลอิจญมาอฺ ไม่มีอายะฮและอัสสุนนะฮสักบทเดียว ที่บอกและอธิบายว่า อัลลอฮ ไม่ใช่รูปร่าง หรือ เป็นรูปร่าง แต่สิ่งเหล่านี้มาจากนักจินตนาการ ที่ไปคิดว่า อัลลอฮเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่พระองค์ทรงอยู่เหนือจินตนาการ



ในตำรา ชื่อ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ หน้า 53 ได้อ้างคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ)ว่า
ที่ว่า
وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة
และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง
………….
ชี้แจง
ตามที่ผมได้ชี้แจงไปแล้วว่า คำพูดข้างต้นเป็นเป็นความเห็นของอิหม่ามนะวาวีย์ ไม่ใช่ทัศนะสะลัฟ
หนึ่ง – เพราะสะลัฟ ไม่ปรากฏพวกเขาพูดถึง คำว่า “อัจญตัจญซีม”เลย ขอนำหลักฐานต่อไปนี้
สลัฟยุคท่านนบี ศอลฯและยุตเศาะหายบะฮ เขาไม่ได้ พูดถึงมุญัสสิมะฮนะครับ ดูในหนังสือ
( เอียะติกอดอะอิมมะติลหะดิษ )ของ อบูบัก อัลอิมาอีลีย์ (ประวัติให้ดูจาก ( البداية والنهاية 11/317
มีคำดัชนี อธิบายคำว่า “มุญัสสิมะฮ ว่า
التجسيم من الألفاظ المجملة المحدثة التي أحدثها أهل الكلام ، فلم ترد في الكتاب والسنة ولم تعرف عن أحد من الصحابة والتابعين وأئمة الدين ، فلذلك لا يجوز إطلاقها نفيا ولا إثباتا ، فإن الله لا يوصف إلا بما وصف به نفسه أو وصفه به رسوله صلى الله عليه وسلم نفيا أو إثباتا
อัตตัจญซีม เป็นส่วนหนึ่งของบรรดา ถ้อยคำที่สรุป ที่ถูกประดิษขึ้นมา โดยนักวิภาษวิทยา (พวกอธิบายวิชาอะกีดะฮด้วยความเห็น) ดังนั้น มัน(คำนี้)จึงไม่ปรากฏในอัล-กิตาบ(อัลกุรอ่าน)และอัสสุนนะฮ ไม่เป็นที่ยืนยันจากคนหนึ่งคนใดจากบรรดาสาวกของท่านนบี บรรดาตาบิอีน และบรรดาผู้นำศาสนา ดังกล่าวนั้น จึงไม่อนุญาตให้อ้างถึงมัน ในการปฏิเสธ และในการรับรอง แท้จริงอัลลอฮนั้น ไม่ได้ถูกกล่าวคุณลักษณะ นอกจากด้วยคุณลักษณะที่พระองค์ได้แจงคุณลักษณะนั้นให้แก่ตัวของพระองค์เอง หรือ ศาสนทูตของพระองค์(ศอลฯ)ได้แจงคุณลักษณะนั้น ในการปฏิเสธ หรือ การรับรอง(ให้แก่อัลลอฮ)
.........
อินชาอัลลอฮ จะอธิบายคำว่า
والإنتقال
โปรดติดตาม



ในตำรา ชื่อ อะกีดะฮ์พระเจ้ามีรูปร่าง จากยิวสู่ความเชื่อกลุ่มบิดอะฮ์ หน้า 53 ได้อ้างคำพูดอิหม่ามนะวาวีย์ (ร.ฮ) ที่ว่า
وأنه منزه عن التجسيم والإنتقال والتحيز في جهة
และพระองค์ทรงปราศจากการเป็นร่างกาย(ตัวตน) ปราศจากการเคลื่อนย้าย ปราศจากการอยู่ในทิศใดทิศหนึ่ง

……………………..
ชี้แจง
คำว่า
والإنتقال
ซึ่งแปลว่า การเคลื่อนย้าย
การอ้างว่า ชาวสะลัฟ กล่าวว่า อัลลอฮบริสุทธิ์จากการเคลื่อนย้ายก็ไม่ใช่อะกีดะฮสะลัฟเช่นกัน
รายงานจากอบีฮุรัยเราะฮ ว่า ท่านรซูลุลอฮ วอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมกล่าวว่า
يَنْزِلُ رَبُّنَا تَبَارَكَ وَتَعَالَى كُلَّ لَيْلَةٍ إِلَى السَّمَاءِ الدُّنْيَا حِينَ يَبْقَى ثُلُثُ اللَّيْلِ الآخِرُ يَقُولُ: مَنْ يَدْعُونِي فَأَسْتَجِيبَ لَهُ مَنْ يَسْأَلُنِي فَأُعْطِيَهُ مَنْ يَسْتَغْفِرُنِي فَأَغْفِرَ لَهُ
พระ ผู้อภิบาลของเรา ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงสูงส่ง ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ทุกๆค่ำคืน จนกระทั้งเหลือแค่ 1 ใน 3 สุดท้ายของกลางคืน โดยพระองค์จะทรงกล่าวว่า “ ผู้ใดวิงวอนต่อข้า ดังนั้นข้าจะตอบรับเขา และผู้ใดขอต่อข้า ข้าก็จะให้เขา และผู้ใดขออภัยโทษต่อข้า ก็ก็จะอภัยโทษแก่เขา
رواه البخاري (1145) و (6321) و(7494)، ومسلم (758
………
ท่านอัล-อาญะรีย์ ได้กล่าวว่า
والإيمان بهذا واجب لا يسع المسلم العاقل أن يقول كيف ينزل , ولا يرد هذا إلا المعتزلة

และ การศรัทธา ต่อเรื่องนี้นั้น เป็นวาญิบ ไม่เปิดโอกาสให้มุสลิมผู้มีสติปัญญา กล่าวว่า พระองค์ทรงเสด็จลงมาอย่างไร และไม่มีใครปฏิเสธ สิ่งนี้ นอกจากพวกมุอฺตะซิละฮ - กิตาบุชชะรีอะฮ หน้า 306 บทว่าด้วยเรื่อง
باب الإيمان والتصديق بأن الله عزوجل ينزل إلى السماء الدنيا كل ليلة
อบูนัศรุสสัจญซีย์ กล่าวว่า

"أئمتنا كسفيان الثوري ومالك وحماد بن سلمة وحماد بن زيد وسفيان بن عيينة والفضيل وابن المبارك وأحمد وإسحاق متفقون على أن الله سبحانه بذاته فوق العرش وعلمه بكل مكان وأنه ينزل إلى السماء الدنيا وأنه يغضب ويرضى ويتكلم بما شاء

อิหม่าม ของเรา เช่น สุฟยาน อัษเษารีย์ ,มาลิก,หัมมาด บุตร สะละมะฮ ,หัมมาด บุตร ซัยดฺ,สุฟยาน บุตร อุญัยนะฮ ,อัลฟะฎีล,อิบนุ้ลมุบารอ็ก,อะหมัดและอิสหาก พวกเขาเห็นฟ้องกันว่า อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ด้วยซาต(ตัวตน)ของพระองค์ อยู่บนอะรัช ,ความรอบรู้ของพระองค์ครอบคลุมทุกสถานที่ ,แท้จริง พระองค์ทรงเสด็จลงมายังฟากฟ้าดุนยา ,พระองค์ทรงกริ้ว,ทรงพอพระทัยและทรงพูด ตามที่พระองค์ทรงประสงค์ "

المختصرالعلو ص 266وينظر سير أعلام النبلاء17/656
...............
คนที่เชื่อตามหะดิษ ถูกกล่าวหาว่า เป็นบิดอะฮ แล้วที่ไม่ตามหะดิษจะเรียกอะไรดี
_________________





อาจารย์อาชาอิเราะฮเจ้าเก่าอ้างว่า
วะ ฮ์ฮาบี นั้น พวกเขาจะยึดคุณลักษณะของอัลลอฮ์ในเชิงที่เป็นรูปประธรรม และในเชิงที่บกพร่อง พวกเขาจะให้ความหมายภายนอกตามตัวบทจากอัลกุรอ่านและอัลหะดีษ โดยไม่สนใจการอธิบายความตัวบทดังกล่าวจากอุลามาอฺอะลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ทั้งในยุคสะลัฟและค่อลัฟ
เช่น พวกเขา(วะฮ์ฮาบี)เชื่อมั่นว่า อัลลอฮฺทรงมีมือที่เป็นสัดส่วน ทรงมีใบหน้า ลูกตา มีอวัยวะ ทรงหัวเราะและเคลื่อนไหวไปมา โดยคำลงท้ายอันสวยหรูจากพวกเขาว่า ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์
……………..

พยา ยายามชง เพื่อให้ร้ายวะฮบีย์ ความจริงผู้ที่ถูกฉายาว่าวะฮบีย์ ได้ยืนยัน คำว่า หน้า มือ ตา และอื่นๆ ตามที่อัลกุรอ่านและอัสสุนนะฮ ได้นำมา ไม่เคยบอกว่า มันคือ อวัยวะของอัลลอฮ และไม่เคยอธิบายว่า มีอวัยวะเหมือนกับมัคลูค
การ ยืนยันสิ่งเหล่านี้โดยไม่ตีความ และไม่ไปเปรียบกับมัคลูค นั้น ไม่ใช่เป็นการตัชบีฮ (ไม่ใช่การเปรียบเทียบว่าคล้ายคลึงมัคลูค) อย่างที่พวกมุอตะซิละฮอ้าง
อะบุลกอซิม อิสมาอีล อัลอัศบะฮานีย์ (ฮ.ศ 535) กล่าวว่า
وليس في إثبات الصفات ما يُفضي إلى التشبيه، كما أنه ليس في إثبات الذات ما يفضي إلى التشبيه، وفي قوله : {ليس كمثله شيْءٌ} دليل على أنه ليس كذاته ذات، ولا كصفاته صفات.)
การ ยืนยันบรรดาสิฟาต ไม่ใช่สิ่งที่นำไปสู่การตัชบีฮ(การเปรียบว่าคล้ายคลึงมัคลูค) ดังที่ การยืนยันซาต(หมายถึงยืนยันตัวตนของอัลลอฮ) ก็ไม่ใช่สิ่งที่นำไปสู่การตัชบีฮ (การเปรียบว่าคล้ายคลึงมัคลูค) และในคำตรัสของพระองค์ที่ว่า “(ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์) คือหลักฐาน แสดงแสดงบอกว่า ซาต(ตัวตน)ของพระองค์ไม่เหมือน บรรดาตัวตน(มัคลูค)และบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ ไม่เหมือนบรรดา คุณักษณะของมัคลูค
الحجة في بيان المحجة لاسماعيل الأصبهاني (ج2 ص186)



ท่านครูอ้างว่า
ท่าน อิบนุชาฮีน ซึ่งเป็นปราชญ์อะลุสซุนนะฮ์ของเรา และเป็นมิตรสหายของท่านอิหม่ามอัดดารุกุฏนีย์ ได้กล่าวเกี่ยวกับกลุ่มฮัมบะลีย์นอกคอกว่า
رجلان صالحان بليا بأصحاب سوء : جعفر بن محمد وأحمد بن حنبل
“ บุรุษผู้มีคุณธรรมสองท่านที่ถูกทดสอบด้วยกับบรรดาสานุศิษย์ที่ไม่ดี(เลว) คือ ท่านญะฟัร บิน มุฮำหมัด (ฮัศศอดิก) และท่านอะห์หมัด บิน ฮัมบั้ล (หัวหน้ามัษฮับฮัมบาลีย์ที่วะฮ์ฮาบีปัจจุบันแอบอ้างท่าน) ”
อิบนุอะซากิร , ตับยีนุ้ลมุฟตะรีย์ หน้า 163
…………………..

ชี้แจง
……
การ นำข้อความข้างต้น มาโจมตีวะฮบีย์ ว่าพวกวะฮบีนอกคอกแบบอ้างอะกีดะฮอิหม่ามอะหมัด ความจริง คนที่แอบอ้างว่าเป็นกะกีดะฮอิหม่ามอะหมัด น่าจะเป็นกลุ่มคนที่ ตีความ อายาตหรือหะดิษสิฟาต และปฏิเสธการอยู่เบื่องสูงของอัลลอฮมากกว่า
อิหม่ามอะหมัด( ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน)กล่าวว่า
أصول السنة عندنا التمسك بما كان عليه أصحاب رسول الله صلى الله عليه وسلم، والاقتداء بهم وترك البدع، وكل بدعة فهي ضلالة،
“ราก ฐานอัสสุนนะฮ ในทัศนะของเราคือ การยึดมั่น ด้วยสิ่งที่บรรดาเศาะหาบะฮของรซูลุลลอฮ ศอ็ลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ยืนหยัดอยู่บนมัน ปฏิบัติตามพวกเขา , ทิ้งบรรดาบิดอะฮ และทุกบิดอะฮ มันคือ การหลงผิด,
– ชัรหุอุศูลอัลเอียะติกอด อะฮลิสสุนนะฮ เล่ม 1 หน้า 156
ในทัศนะอิหม่ามอะหมัด บิดอะฮนั้น เป็นการหลงผิด แต่ทัศนะของคนกล่าวหาวะฮบีย์ เชื่อว่า บิดอะฮนั้น มีบิดอะฮที่ดี
.وأورد ابن أبي يعلى عن عبد الله بن أحمد قال: سألت أبي عن قوم يقولون: لما كلّم الله موسى لم يتكلم بصوت فقال أبي: تكلم الله بصوت وهذه الأحاديث نرويها كما جاءت.
.ท่าน อิบนุอะบียะอฺลาได้รางานจากท่านอับดุลลอฮฺ บิน อะหฺมัด ท่านกล่าวว่า: “ฉันเคยถามบิดาของข้าพเจ้า(อิหม่ามอะหฺมัด)ถึงกลุ่มคนที่อ้างว่า “ขณะที่พระองค์อัลลอฮฺทรงดำรัสกับมูสา อะลัยฮิสลาม พระองค์ไม่ได้ตรัสด้วยเสียง” บิดาข้าพเจ้าตอบว่า: “พระองค์อัลลอฮฺนั้น ตรัสด้วยเสียง และบรรดาหะดีษดังกล่าวนี้เรารายงานมัน ตามที่มีระบุมา””
(หนังสือ เฏาะบะกอต อัล-หะนาบิละฮฺ เล่ม1 หน้าที่185)
- อิหม่ามอหมัด เชื่อว่า อัลลอฮตรัสด้วยเสียง แต่คนที่กล่าวหาวะฮบีย์ว่าเป็นพวกนอกคอก ปฏิเสธ และไม่สามารถหาหลักฐานมาแก้ต่างได้จนถึงขณะนี้
.جاء في كتاب الرد على الجهمية للإمام أحمد قوله: وزعم جهم بن صفوان أن من وصف الله بشيء مما وصف به نفسه في كتابه أو حدّث عن رسوله كان كافرًا وكان من المشبهة.
(الرد على الجهمية ص104)
มี ระบุในหนังสือ อัร-ร็อด อะลา อัล-ญะฮฺมียะฮฺ ของอิหม่าม อะหฺมัด เราะหิมะฮุ้ลลอฮฺ ความว่า: “และ ญะฮฺม์ บิน ศอฟวาน ได้อ้างว่า: และผู้ใดให้คุณลักษณะแก่อัลลอฮฺด้วยสิ่งหนึ่งจากสิ่งที่พระองค์ได้ให้ลักษณะ แก่ตัวพระองค์ไว้ ซึ่งที่มีระบุในอัล-กุรอ่านและที่เราะสูลเล่าไว้ แน่นอนเขาเป็นผู้ปฏิเสธ และเป็นพวก มุชับบิฮะฮฺ (ผู้เปรียบเทียบพระเจ้ากับมนุษย์)”(หนังสือ อัรร็อด อะลา อัล-ญะฮฺมียะฮฺ หน้าที่ 104)
- อิหม่ามอะหมัด บอกว่า หัวหน้าพวกยะฮมียะฮ คือ ญะฮฺม์ บิน ศอฟวาน อ้างว่าใครยืนยันสิฟาตตามตัวบท เป็นกาเฟรและเป็นพวกผู้เปรียบเทียบพระเจ้ากับมนุษย์(มุชับบะฮะฮ) ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาเดียวกันที่โต๊ะครูคนนี้ นำมากล่าวหาวะฮบีย์ โดยบอกว่าใครยืนยันความหมายตามตามตัวบท เป็นพวกที่ให้รูปร่างแก่อัลลอฮ หรือ พวกมุญัสสิมะฮ


.................................................................
รวบรวมโดย ทหารของอัลลอฮฺ แบบฉบับนบี

กระบวนการเรียนรู้และพินิจใคร่ครวญอัลกุรอานของชาวสลัฟ / ดร.มุหัมมัด บิน อับดุลลอฮฺ อัร-เราะบีอะฮฺ


กระบวนการเรียนรู้และพินิจใคร่ครวญอัลกุรอานของชาวสลัฟ
] ไทย – Thai – تايلاندي [



ดร.มุหัมมัด บิน อับดุลลอฮฺ อัร-เราะบีอะฮฺ

แวมูฮัมหมัดซาบรี แวยะโก๊ะ

แปลโดย : แวมูฮัมหมัดซาบรี แวยะโก๊ะ
ตรวจทานโดย : ฟัยซอล อับดุลฮาดี
ที่มา : www.tadabbor.com




2015 - 1436
คำอธิบาย: C:\Users\Ibn Radman\Desktop\logo_islamhouse.tif

منهج السلف في تلقي القرآن وتدبره
« باللغة التايلاندية »




د. محمد بن عبد الله الربيعة




ترجمة: محمد صبري يعقوب
مراجعة: فيصل عبد الهادي
المصدر:  www.tadabbor.com







2015 - 1436
คำอธิบาย: C:\Users\Ibn Radman\Desktop\logo_islamhouse.tif

ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

วิธีการเรียนรู้และพินิจใคร่ครวญ
อัลกุรอานของชาวสะลัฟ

        แท้จริงความสูงส่งและเกียรติศักดิ์ที่ชาวสะละฟุศศอลิหฺได้รับ และทำให้ทั้งชาวอาหรับและที่ไม่ใช่ชาวอาหรับต่างยอมจำนนต่อพวกเขา ก็เนื่องด้วยพวกเขาได้ยึดมั่นอย่างเอาจริงเอาจังต่อคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ตะอาลานั่นคืออัลกุรอาน-
เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการเจริญรอยตามการก้าวเดินของพวกเขา ที่ต้องศึกษาทำความเข้าใจในวิธีการเรียนรู้และพินิจใคร่ครวญอัลกุรอานของพวกเขา และสิ่งนี้เองที่เราพยายามที่จะนำเสนออย่างรวบรัดในการพูดคุยกันในครั้งนี้
            แน่นอนที่สุด ผู้ที่พินิจพิจารณาการใช้ชีวิตของชาวสะลัฟที่มีความผูกพันกับอัลกุรอาน เขาจะพบว่าพวกเขาจะมีวิธีการที่เอาใจใส่ต่ออิบาดะฮฺนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถระบุแก่นหลักของมันได้ดังต่อไปนี้ ทั้งนี้ก็หวังว่าเราจะได้รับประโยชน์จากมัน ซึ่งแก่นหลักที่เด่นชัดที่สุดนั้นคือ

หนึ่ง พวกเขารู้ถึงตำแหน่งอันสูงส่งของอัลกุรอานและเข้าใจในวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของมัน
          การเรียนรู้สิ่งใดด้วยความรัก ด้วยการให้ความสำคัญ และด้วยการมีศรัทธานั้น ย่อมทำให้การคลุกคลีกับสิ่งนั้นเป็นไปด้วยดี และผู้ใดที่รู้คุณค่าต่อสิ่งหนึ่งเขาย่อมตระหนักและให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้น ซึ่งในเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เห็นได้เด่นชัดในกลุ่มชนยุคแรกไม่ว่าจะมาจากคำพูดและการกระทำของพวกเขา โดยคำพูดต่างๆ ของพวกเขาที่ถูกบันทึกไว้นั้นได้สาธยายถึงความยิ่งใหญ่และอิทธิพลของอัลกุรอานที่ส่งผลต่อการน้อมรับให้เป็นไปอย่างรูปธรรม
ท่านอับดุลลอฺฮฺ บินมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า
«إِنَّ هَذَا الْقُرْآنَ مَأْدُبَةُ اللهِ فَتَعَلَّمُوا مِنْ مَأْدُبَةِ اللهِ مَا اسْتَطَعْتُمْ، إِنَّ هَذَا الْقُرْآنَ هُوَ حَبْلُ اللَّهِ، وَهُوَ النُّورُ الْبَيِّنُ، وَالشِّفَاءُ النَّافِعُ، عِصْمَةٌ لِمَنْ تَمَسَّكَ بِهِ » ] أخرجه الحاكم في المستدرك 1/741رقم 2040 وقال ( صحيح الإسناد ولم يخرجاه ) . وابن أبي شيبة 6/125برقم 30008.[
ความว่า แท้จริงอัลกุรฺอานนั้นเป็นงานเลี้ยงของอัลลอฮฺ(เนื่องจากในอัลกุรฺอานล้วนมีสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้คน จึงเปรียบกับงานเลี้ยงที่เชิญชวนผู้คนเข้าร่วมเพราะในนั้นมีแต่สิ่งที่ดีงาม -ผู้แปล-) ดังนั้นจงเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นเท่าที่พวกเจ้ามีความสามารถ แท้จริงอัลกุรอานนั้นคือสายเชือกของอัลลอฮฺ มันคือรัศมีที่เจิดจรัส และเป็นยาที่ให้ประโยชน์ ย่อมได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ได้ยึดมั่นต่อมัน (บันทึกโดยอัล-หากิม ในอัล-มุสตัดร็อกเล่ม 1 หน้า 741 หมายเลข 2040 และท่านได้กล่าวว่าสายรายงานเศาะฮีหฺ แต่ท่านไม่ได้ระบุสายรายงานของมันและบันทึกโดยอิบนุ อบีชัยบะฮฺ เล่ม 6 หน้า 125 หมายเลข 30008)

            ท่านได้กล่าวอีกว่า
«مَنْ أَحَبَّ أَنْ يَعْلَمَ أَنَّهُ يُحِبُّ اللهَ وَرَسُولَهُ، فَلْيَنْظُرْ فَإِنْ كَانَ يُحِبُّ الْقُرْآنَ فَهُوَ يُحِبُّ اللهَ وَرَسُولَهُ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ »
ความว่า ผู้ใดอยากรู้ว่าเขารักอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์หรือไม่ ก็จงสังเกตว่า หากเขารักอัลกุรอาน เขาก็เป็นผู้ที่รักอัลลอฮฺและเราะสูลของพระองค์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม (บันทึกโดยอัฏ-ฏ็อบรอนี ในอัล-มุอฺญัม อัล-กะบีรหมายเลข 8657)

            ท่านอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้กล่าวว่า
« ضَمِنَ اللهُ لِمَنْ قَرَأَ الْقُرْآنَ لا يَضِلُّ فِي الدُّنْيَا , وَلا يَشْقَى فِي الآخِرَةِ، ثُمَّ قَرَأَ ﴿فَمَنِ ٱتَّبَعَ هُدَايَ فَلَا يَضِلُّ وَلَا يَشۡقَىٰ ١٢٣ [طه: ١٢٣]»
ความว่า อัลลอฮฺทรงรับประกันสำหรับผู้ที่อ่านอัลกุรอาน(และปฏิบัติตาม-ผู้แปล-) ว่าจะไม่หลงผิดในโลกนี้และจะไม่ได้รับความลำบากในโลกอาคิเราะฮฺ แล้วท่านก็อ่านอายะฮฺนี้ (แล้วผู้ใดปฏิบัติตามคำแนะนำของข้า เขาก็จะไม่หลงผิด และจะไม่ได้รับความลำบาก) (บันทึกโดยอัร-รอซี ในฟะฎออิล อัลกุรอาน วะติลาวะติฮฺเล่ม 1 หน้า 119 หมายเลข 84)

ซึ่งการอ่านอัลกุรอานในที่นี้ หมายถึง การปฏิบัติตามหลักฐานที่มีอยู่ในอัลกุรอาน

            และท่านอิมามอัล-บุคอรี เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
«لاَ يَجِدُ طَعْمَهُ وَنَفْعَهُ إِلَّا مَنْ آمَنَ بِالقُرْآنِ، وَلاَ يَحْمِلُهُ بِحَقِّهِ إِلَّا المُوقِنُ، لِقَوْلِهِ تَعَالَى» ]صحيح البخاري 24/410. [
ความว่า จะไม่พบความหอมหวานและคุณค่าใดๆ ของอัลกุรอาน ยกเว้นผู้ที่มีศรัทธาต่อมัน และไม่มีผู้ใดสามารถแบกรับคำแนะนำของมันได้ยกเว้นผู้ที่มีความเชื่อมั่นเท่านั้น (บันทึกโดยอัล-บุคอรี เล่ม 9 หน้า 155)

            เรามีความต้องการอย่างยิ่งยวดต่อการปรับปรุงหัวใจของเราในนัยนี้ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าหัวใจของผู้คนไม่ใช่น้อยเลยทีเดียวที่มีความบกพร่องต่อการให้ความสำคัญและให้ความรักที่แท้จริงรวมถึงมีศรัทธาต่อมัน จึงทำให้ความผูกพันที่มีต่ออัลกุรอานและผลที่ได้รับจากมันนั้นได้บกพร่องไป และจุดนี้เองที่เป็นปัญหา ส่วนวิธีการแก้ไขนั้นคือ การปลูกฝังความสำคัญของอัลกุรอานในจิตใจของผู้คน และให้พวกเขามีความรักด้วยความจริงใจต่ออัลกุรอาน โดยให้เกิดผลและการอตอบรับไปพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ให้หมั่นกล่าวถึงคุณค่าของอัลกุรอาน และวัตถุประสงค์ที่สูงสุดของการประทานมันลงมา
           
สอง พวกเขาเรียนรู้และสอนอีมานก่อนอัลกุรอาน
กล่าวคือ พวกเขาได้ปลูกฝังความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺในหัวใจของพวกเขา และปลูกฝังความสำคัญของคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของพระองค์ จึงทำให้พวกเขาเรียนรู้หลักบัญญัติต่างๆ ของศาสนาได้อย่างง่ายดาย และนี่คือปัจจัยสำคัญในการฟื้นฟูการตัรบียะฮฺด้วยอัลกุรอานในจิตใจของผู้คน
และนี่คือวิธีการที่อัลกุรอานได้ใช้อบรมสั่งสอนบรรดาเศาะหาบะฮฺในช่วงแรกเริ่มของอิสลาม ซึ่งในช่วงแรกเริ่มของการประทานอัลกุรอานนั้นก็จะเริ่มด้วยการตัรบียะฮฺในด้านการศรัทธาโดยจะเห็นได้จากเนื้อหาในสูเราะฮฺมักกียะฮฺ โดยเฉพาะสูเราะฮฺอัล-มุฟัศศ็อล (นั้นคือตั้งแต่สูเราะฮฺกอฟ จนจบอัลกุรอาน -ผู้แปล-) ซึ่งล้วนมีเนื้อหาเพื่อเป็นการปลูกฝังความศรัทธาต่ออัลลอฮฺและวันอาคิเราะฮฺแทบทั้งสิ้น จึงทำให้จิตใจของพวกเขาได้รับการบ่งเพาะความศรัทธาที่ถูกต้อง รวมทั้งการให้ความสำคัญต่ออัลกุรอาน จึงทำให้จิตใจของพวกเขามีความพร้อมที่จะเรียนรู้ข้อแนะนำต่างๆ ของมัน
เพื่อความชัดเจนของวิธีการนี้ -ซึ่งเป็นวิธีการที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้อบรมสั่งสอนบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่าน- หนึ่งในลูกศิษย์ผู้ที่มีความฉลาดปราดเปรื่องในสถาบันของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้นคือ ท่านญุนดุบ บินอับดุลลอฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งท่านได้กล่าวว่า
«كنّا مع النبيِّ ونحن فتيان حزاير فتَعَلَّمْنا الإيمانَ قبلَ القرآن، ثم تَعلمنا القرآنَ فازددنا إيماناً» ]أخرجه ابن ماجه 1/74 رقم 64 والتاريخ الكبير للبخاري 2/221 وسنن البيهقي الكبرى 2/49 رقم 5498 والطبراني في المعجم الكبير 2/225 رقم 1656 وصححه الألباني في صحيح سنن ابن ماجه 1/16 رقم 52  [
ความว่า เราได้อยู่กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในขณะที่เราเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแรง ซึ่งเรานั้นได้เรียนรู้อีมานก่อนเรียนรู้อัลกุรอาน แล้วหลังจากนั้นเราจึงเรียนรู้อัลกุรอาน ดังนั้นอีมานของเราจึงเพิ่มขึ้น (บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ เล่ม 1 หน้า 74 หมายเลข 64, อัต-ตารีค อัล-กะบีร โดยอัล-บุคอรี เล่ม 2 หน้า 221, สุนัน อัล-บัยฮะกี อัล-กุบรอ เล่ม 2 หน้า 49 หมายเลข 5498, อัฏ-เฎาะบะรอนี ในอัล-มุอฺญัม อัล-กะบีรเล่ม 2 หน้า 225 หมายเลข 1656, และท่านชัยคฺอัล-อัลบานีกล่าวว่าเป็นหะดีษที่เศาะฮีหฺ ในเศาะฮีหฺ สุนัน อิบนุมาญะฮฺเล่ม 1 หน้า 16 หมายเลข 52)

ดังนั้น จงพินิจพิจารณาเถิดว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เริ่มปลูกฝังอีมานในจิตใจของพวกเขา กระทั่งอีมานได้ถูกบรรจุในหัวใจของพวกเขาได้อย่างไร ทำให้พวกเขาเป็นผู้ที่คู่ควรในการเรียนรู้อัลกุรอาน และทำให้พวกเขามีความมุ่งมั่นต่อมัน ด้วยเหตุนั้นเองอีมานของพวกเขาก็ได้เพิ่มขึ้น
ในเรื่องนี้ท่านอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้กล่าวว่า
«لَقَدْ عِشْنَا بُرْهَةً مِنْ دَهْرِنَا، وَأَحَدُنَا يُؤْتَى الْإِيمَانَ قَبْلَ الْقُرْآنِ، وَتَنْزِلُ السُّورَةُ عَلَى مُحَمَّدٍ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَنَتَعَلَّمُ حَلَالَهَا وَحَرَامَهَا، وَآمِرَهَا وَزَاجِرَهَا، وَمَا يَنْبَغِي أَنْ يَقِفَ عِنْدَهُ مِنْهَا، كَمَا تَعَلَّمُونَ أَنْتُمُ الْيَوْمَ الْقُرْآنَ، ثُمَّ لَقَدْ رَأَيْتُ الْيَوْمَ رِجَالًا يُؤْتَى أَحَدُهُمُ الْقُرْآنَ قَبْلَ الْإِيمَانِ، فَيَقْرَأُ مَا بَيْنَ فَاتِحَتِهِ إِلَى خَاتِمَتِهِ مَا يَدْرِي مَا آمِرُهُ وَلَا زَاجِرُهُ، وَلَا مَا يَنْبَغِي أَنْ يَقِفَ عِنْدَهُ مِنْهُ، فَيَنْثُرَهُ نَثْرَ الدَّقَلِ» ]أخرجه ابن أبي شيبة في المصنف 2/403 والبيهقي في السنن الكبرى 3/170 رقم 5290 والحاكم في المستدرك 1/91 رقم 101 وقال هذا حديث صحيح على شرط الشيخين ولا علة له ووافقه الذهبي. [
ความว่า แท้จริง พวกเราได้มีชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งในยุคสมัยของเรา ซึ่งแต่ละคนในหมู่พวกเรานั้นถูกให้อีมานก่อนอัลกุรอาน และครั้งที่สูเราะฮฺของอัลกุรอานถูกประทานลงมายังท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พวกเราจึงเรียนรู้ว่าสิ่งใดหะลาลและสิ่งใดหะรอม สิ่งใดเป็นข้อสั่งใช้ และสิ่งใดเป็นข้อห้าม และสิ่งใดที่ต้องหยุดนิ่งอยู่กับมัน ดังที่พวกท่านได้เรียนรู้อัลกุรอานในทุกวันนี้ แต่แล้ววันหนึ่งฉันก็ได้เห็นผู้คนกลุ่มหนึ่งที่บางคนในหมู่พวกเขาได้รับอัลกุรอานก่อนอีมาน เขาจึงอ่านมันตั้งแต่เริ่มจนจบ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งใดเป็นข้อสั่งใช้และสิ่งใดเป็นข้อห้าม และไม่รู้ว่าสิ่งใดบ้างที่พวกเขาต้องหยุดนิ่งอยู่กับมัน แล้วเขาก็อ่านอัลกุรอานดังที่เขาได้ร่ายบทกลอน(บันทึกโดยอิบนุอบีชะบะฮฺ ในอัล-มุศ็อนนัฟเล่ม 2 หน้า 403, อัล-บัยฮะกี ในอัส-สุนัน อัล-กุบรอเล่ม 3 หน้า 170 หมายเลข 5290, อัล-หากิม ในอัล-มุสตัดร็อกเล่ม 1 หน้า 91 หมายเลข 101 และท่านได้กล่าวว่าเป็นหะดีษที่เศาะฮีหฺ ตามเงื่อนไขของอัล-บุคอรีและมุสลิม โดยไม่มีข้อบกพร่องใดๆ ทั้งยังสอดคล้องกับทัศนะของอัซ-ซะฮะบี)

สาม พวกเขาเรียนรู้อัลกุรอานได้อย่างยอดเยี่ยม เนื่องจากมันเป็นสาส์นที่มาจากพระผู้อภิบาลของพวกเขา (ที่ถูกประทานลงมา) เพื่อให้ปฏิบัติตามและปรับใช้ในชีวิต โดยที่พวกเขาได้พินิจใคร่ครวญเนื้อหาของมันในเวลากลางคืน และได้ปรับใช้มาปฏิบัติในเวลากลางวัน

            มีหลักฐานอย่างมากมายทั้งที่มาจากอัลกุรอานและสุนนะฮฺ รวมถึงคำกล่าวของบรรดาสะลัฟที่ใช้ให้ปฏิบัติตาม (คำแนะนำที่มีอยู่ใน) อัลกุรอาน ซึ่งถือเป็นวัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุด (ของการประทานอัลกุรอานลงมา) (ดูในหนังสืออิซมะฮฺ อัลกุรอานในเรื่องฟะฎออิล อัล-อะมัล บิลกุรอานหน้า 496)

ท่านอิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า
«كَانَ الرَّجُلُ مِنَّا إِذَا تَعَلَّمَ عَشْرَ آيَاتٍ لَمْ يُجَاوِزْهُنَّ حَتَّى يَعْرِفَ مَعَانِيَهُنَّ وَالْعَمَلَ بِهِنَّ» ]تفسير القرآن العظيم لابن كثير 1/4. [
ความว่า เมื่อใครคนหนึ่งในหมู่พวกเราศึกษาอัลกุรอานสิบอายะฮฺ เขาจะไม่ศึกษาต่อในอายะฮฺถัดจากนั้น จนกว่าเขาจะเข้าใจความหมายและปฏิบัติตามอายะฮฺเหล่านั้นเสียก่อน (ตัฟสีร อัลกุรอาน อัล-อะซีม โดยอิบนุกะษีร เล่ม 1 หน้า 9)

ท่านอิบนุอุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้กล่าวว่า
«كان الفضل مِنْ أَصْحَابِ رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي صَدْرِ هَذِهِ الْأُمَّةِ لَا يَحْفَظُ مِنَ الْقُرْآنِ إِلَّا السُّورَةَ أَوْ نَحْوَهَا، وَرُزِقُوا العمل بالقران، وان أخر هذه الامة يقرءون الْقُرْآنَ مِنْهُمُ الصَّبِيُّ وَالْأَعْمَى وَلَا يُرْزَقُونَ الْعَمَلَ بِهِ» ]الجامع لأحكام القرآن 1/30. [
ความว่าผู้ที่ประเสริฐในหมู่เศาะหาบะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในช่วงยุคแรกของประชาชาตินี้นั้น ไม่ได้ท่องจำอัลกุรอานเว้นแต่เพียงสูเราะฮฺเดียวหรือมากกว่านั้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่พวกเขาต่างปฏิบัติตาม (คำแนะนำที่มีอยู่ใน) อัลกุรอาน ในทางกลับกันกลุ่มชนยุคท้ายๆ ของประชาชาตินี้ พวกเขาต่างพากันอ่านอัลกุรอาน ไม่ว่าจะเป็นเด็กและคนตาบอด แต่พวกเขากลับไม่ปฏิบัติต่อมัน (อัล-ญามิอฺ ลิอะหฺกาม อัลกุรอาน เล่ม 1 หน้า 30)

เฉกเช่นที่ก่อนหน้านี้นั้น มันคือวิธีการของพวกเขา (ชาวสะลัฟ) ในการอบรมสั่งสอนลูกหลานและนักเรียนนักศึกษา และปลูกฝังมันในจิตใจของพวกเขา รวมทั้งได้มีการสั่งเสียกันในเรื่องนี้กัน ดังนั้น ท่านจงพินิจพิจารณาคำกล่าวที่ยิ่งใหญ่นี้เถิด ซึ่งเป็นคำกล่าวที่แกนนำคนสำคัญของบรรดาอัต-ตาบิอีนได้กล่าวไว้ นั้นคือท่านอัล-หะสัน อัล-บัศรี เราะหิมะฮุลลอฮฺ โดยที่ท่านได้กล่าวว่า
(إنَّ هذا القرآنَ قَرَأَه عبيدٌ وصبيانٌ لم يأخذوه مِن أوَّله، ولا عِلْمَ لهم بتأويلِه، إنَّ أَحقَّ الناسِ بهذا القرآنِ مَن رُئِي في عملِه، قال اللهُ عز وجل في كتابه:  ﴿كِتَٰبٌ أَنزَلۡنَٰهُ إِلَيۡكَ مُبَٰرَكٞ لِّيَدَّبَّرُوٓاْ ءَايَٰتِهِۦ وَلِيَتَذَكَّرَ أُوْلُواْ ٱلۡأَلۡبَٰبِ ٢٩ [ص : ٢٩]  وإنَّما تَدبُّرُ  آياتِه اتّباعُه بعملِه، أَمَا واللهِ ما هو بحفظِ حروفِهِ وإِضاعةِ حدودِهِ! حتى إنَّ أحدهم لَيقول: قد قَرَأْتُ القرآنَ كلَّه فما أَسْقَطتُ منه حرفاً؛ وقد واللهِ أَسقَطَه كلَّه! ما يُرَى له القرآنُ في خُلُقٍ ولا عمل! حتى إنَّ أحدَهم لَيقول: إني لأقرأُ السورةَ في نَفَسٍ واحدٍ، واللهِ ما هؤلاءِ بالقُرَّاءِ ولا العلماءِ ولا الحكماءِ ولا الوَرَعةِ! متى كانت القُرّاءُ تقولُ مثل هذا؟ لا أَكْثَرَ اللهُ في الناسِ مثلَ هؤلاء) ]الزهد والرقائق لابن المبارك ت أحمد فريد ج6/ 610 رقم 742 ط دار المعراج  [
ความว่า แท้จริงอัลกุรอานนี้ ทาสรับใช้และเด็กๆ ได้อ่านกัน โดยที่พวกเขาไม่ได้ยึดเอาตั้งแต่แรก และไม่รู้คำอธิบายของมัน แท้จริงผู้ที่คู่ควรที่สุดกับอัลกุรอานนั้นคือ ผู้ที่ทำให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม อัลลอฮฺ อัซซะวะญัละ ได้ดำรัสในคัมภีร์ของพระองค์ว่า (ความว่า) คัมภีร์ (อัลกุรอาน) เราได้ประทานลงมาให้แก่เจ้าซึ่งมีความจำเริญ เพื่อพวกเขาจะได้พินิจพิจารณาอายาตต่างๆ ของอัลกุรอานและเพื่อบรรดาผู้มีสติปัญญาจะได้ใคร่ครวญ” (สูเราะฮฺศ็อด : 29) และแท้จริงการพินิจใคร่ครวญบรรดาอายะฮฺต่างๆ นั้นคือการปฏิบัติตามมันอย่างเป็นรูปธรรม และขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า มันไม่ใช่เป็นการท่องจำอักษรต่างๆ แต่กลับละเลยในข้อกำหนดต่างๆ ของมัน กระทั่งบางคนได้กล่าวว่าฉันได้อ่านอัลกุรอานจนจบเล่ม โดยไม่ขาดตกบกพร่องแม้เพียงอักษรเดียว แต่ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า เขาได้ขาดตกบกพร่องทั้งหมด เพราะไม่เห็นอัลกุรอานในคุณลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของเขาแต่อย่างใดกระทั่งบางคนได้กล่าวอีกว่าฉันได้อ่านสูเราะฮฺหนึ่งด้วยลมหายใจเพียงเฮือกเดียวเท่านั้น แต่ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า พวกเขาไม่ได้เป็นนักอ่านอัลกุรอาน ไม่ได้เป็นผู้รู้ ไม่ได้เป็นนักปรัชญา และไม่ได้เป็นผู้มีความเกรงกลัวต่ออัลลอฮฺแต่อย่างใด ซึ่งเมื่อใดที่ผู้อ่านอัลกุรอานได้กล่าวเฉกเช่นนี้  ขออัลลอฮฺอย่าได้ทรงให้มีคนประเภทนี้มีมากเลย (อัซ-ซุฮฺดุ วัร-เราะกออิก โดยอิบนุ อัล-มุบาร็อก ตรวจทานโดยอะหฺมัด ฟะรีด เล่ม 6 หน้า 610 หมายเลข 742 พิมพ์ที่ดาร อัล-มิอฺรอจญฺ)

            และเฉกเช่นที่พวกเขามีการเน้นย้ำและสั่งเสียแก่ผู้ที่ท่องจำอัลกุรอานในเรื่องนั้น โดยได้เน้นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ดังที่ท่านอิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า
(ينبغي لحاملِ القرآنِ أَنْ يُعرفَ بليلِه إذا الناسُ ينامون، وبنهارِه إذا الناسُ يُفطرون، وبحزنِهِ إذا الناس يَفرَحون، وببكائِه إذا الناسُ يَضحكون، وبِصَمتِه إذا الناسُ يَخُوضُون، وبخشوعِه إذا الناس يختالون، وينبغي لحاملِ القرآن أَنْ يكونَ مُستكيناً لَيِّناً، ولا ينبغي له أن يكونَ جَافياً ولا ممارياً ولا صَيّاحاً ولا صَخّاباً ولا حديداً) ]أخرجه ابن أبي شيبة في المصنف 8/305[
ความว่า สมควรอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ท่องจำอัลกุรอานที่จะต้องมีความโดดเด่น (ด้วยการกิยามุลลัยลฺ) ในยามค่ำคืนในขณะที่ผู้คนกำลังนอนหลับ และในยามกลางวัน (ด้วยการถือศีลอด) ในขณะที่ผู้คนกำลังดื่มกิน และมีความโศกเศร้าในขณะที่ผู้คนต่างร่าเริง และร้องไห้ในขณะที่ผู้คนหัวเราะเริงร่า และนิ่งเงียบในขณะที่ผู้คนกำลังพูดคุย และมีความสุขุมในขณะที่ผู้คนต่างหลงใหล และสมควรอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ท่องจำอัลกุรอานที่จะต้องสุภาพอ่อนโยน และไม่สมควรที่จะมีความหยาบกระด้าง โต้เถียงทะเลาะวิวาท ตะโกนดังลั่น ทำเสียงอึกทึกครึกโครม และใช้คำพูดที่ทิ่มแทง (บันทึกโดยอิบนุ อบีชัยบะฮฺ ในอัล-มุศ็อนนัฟเล่ม 8 หน้า 305)

            และนี่คือวิธีการที่ทำให้เกิดกลุ่มชนดังกล่าว ทั้งยังเป็นวิธีสร้างพวกเขาขึ้นมา ซึ่งหากเราได้เรียนรู้อัลกุรอาน เฉกเช่นที่กลุ่มชนรุ่นแรกได้เรียนรู้ด้วยวิธีการนี้ และได้ตัรบียะฮฺกลุ่มชนของเราด้วยกับวิธีการนี้ มันย่อมเกิดผลในจิตใจของพวกเราได้อย่างแน่นอน
            และในขณะที่เราได้อ่านอัลกุรอานอย่างใจจดใจจ่ออยู่นี้ เราก็จะพบในสิ่งที่เราต้องการ และเราจะพบว่าในนั้นมีสิ่งที่น่าอัศจรรย์โดยที่ความนึกคิดไม่เคยคาดถึงมาก่อนเลย และเมื่อนั้นเราจะพบว่าในอัลกุรอานนั้นมีความเพริศแพร้วและมีชีวิตชีวา และเราก็จะได้เข้าใจในความหมายของคำดำรัสนี้
﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ ٱسۡتَجِيبُواْ لِلَّهِ وَلِلرَّسُولِ إِذَا دَعَاكُمۡ لِمَا يُحۡيِيكُمۡۖ ٢٤ [الأنفال: ٢٤] 
ความว่า โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงตอบรับอัลลอฮฺ และเราะสูลเถิด เมื่อเขาได้เชิญชวนพวกเจ้าสู่สิ่งที่ทำให้พวกเจ้ามีชีวิตชีวาขึ้น (สูเราะฮฺอัล-อันฟาล : 24)

สี่ ให้อ่านอัลกุรอานอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ และให้มีความรู้สึกซาบซึ้ง (ในเนื้อหา) รวมทั้งให้อ่านมันในละหมาดกิยามุลลัยลฺ

และนี่คือวิธีการที่อัลกุรอานได้ยืนยันและแนะนำให้ผู้ที่อ่านมัน (นำไปปฏิบัติ) ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ดำรัสว่า 
﴿ وَقُرۡءَانٗا فَرَقۡنَٰهُ لِتَقۡرَأَهُۥ عَلَى ٱلنَّاسِ عَلَىٰ مُكۡثٖ وَنَزَّلۡنَٰهُ تَنزِيلٗا ١٠٦ قُلۡ ءَامِنُواْ بِهِۦٓ أَوۡ لَا تُؤۡمِنُوٓاْۚ إِنَّ ٱلَّذِينَ أُوتُواْ ٱلۡعِلۡمَ مِن قَبۡلِهِۦٓ إِذَا يُتۡلَىٰ عَلَيۡهِمۡ يَخِرُّونَۤ لِلۡأَذۡقَانِۤ سُجَّدٗاۤ ١٠٧ [الإسراء: ١٠٦،  ١٠٧]   
ความว่า และอัลกุรอาน เราได้แยกมันไว้อย่างชัดเจน เพื่อเจ้าจะได้อ่านมันแก่มนุษย์อย่างช้าๆ และเราได้ประทานมันลงมาเป็นขั้นตอน จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด พวกท่านจะศรัทธาในมันหรือไม่ศรัทธาก็ตาม แท้จริงบรรดาผู้ได้รับความรู้ก่อนหน้ามันนั้นเมื่อมันได้ถูกอ่านแก่พวกเขาพวกเขาจะหมอบราบลง ใบหน้าจรดพื้นเพื่อสุญด (สูเราะฮฺอัล-อิสรออ์ : 106-107)

ดังนั้น มาพินิจพิจารณาด้วยกันว่า อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้สั่งใช้ให้นบีของพระองค์อ่านอัลกุรอานอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ และไม่เร่งรีบในการอ่านไว้อย่างไร หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ยกย่องสดุดีแก่ผู้ที่ปฏิบัติเช่นนี้ว่า ด้วยคำดำรัสที่ว่า
﴿إِنَّ ٱلَّذِينَ أُوتُواْ ٱلۡعِلۡمَ مِن قَبۡلِهِۦٓ إِذَا يُتۡلَىٰ عَلَيۡهِمۡ يَخِرُّونَۤ لِلۡأَذۡقَانِۤ سُجَّدٗاۤ ١٠٧ [الإسراء: ١٠٧] 
ความว่า แท้จริงบรรดาผู้ได้รับความรู้ก่อนหน้ามันนั้นเมื่อมันได้ถูกอ่านแก่พวกเขา พวกเขาจะหมอบราบลง ใบหน้าจรดพื้นเพื่อสุญด(สูเราะฮฺอัล-อิสรออ์ : 107)

            และเป็นที่ปรากฏอย่างเด่นชัดว่าชาวสะลัฟนั้นได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งส่วนหนึ่งจากเรื่องราวของพวกเขาในเรื่องนั้น คือดังคำบอกเล่าของท่านอิบนิ อบีมุลัยกะฮฺ (ซึ่งท่านได้เล่าว่า)
(سافرتُ مع ابنِ عباس - رضي الله عنهما – مِن مكةَ إلى المدينةِ، فكان يَقومُ نصفَ الليلِ فيقرأُ القرآنَ حرفاً حرفاً، ثم يَبكي حتى تَسمعَ له نَشيجاً) ]مختصر قيام الليل لمحمد بن نصر ص131 . [
ความว่า ฉันได้ร่วมเดินทางพร้อมกับท่านอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา จากเมืองมักกะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮฺ ซึ่งท่าน (อิบนุอับบาส) ได้ใช้เวลายืนละหมาดกิยามุลลัยลฺครึ่งหนึ่งของกลางคืน โดยที่ท่านอัลกุรอานคำต่อคำ (อย่างช้าๆ) แล้วท่านก็ร้องไห้ กระทั่งได้ยินเสียงสะอื้น (มุคตะศ็อร กิยามุลลัยลฺ โดยมุหัมมัด บินนัศรฺ หน้า 131)

            ท่านอิบนุมัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้กล่าวว่า
(لا تَهُذُّوا القرآنَ هذ الشِّعْر، وتَنثروه نَثْرَ الدَّقَل، وقِفُوا عند عجائبِه، وحَرِّكوا به القلوب، ولا يكن هَمُّ أحدِكم مِن السورة آخرَها) ]مختصر قيام الليل لمحمد بن نصر ص132. [
ความว่า พวกท่านอย่าแพร่กระจายอัลกุรอานดังที่พวกท่านได้โปรยผงทราย และพวกท่านอย่าอ่านอัลกุรอานดังที่พวกท่านได้ร่ายบทกลอน แต่พวกท่านจงหยุดพินิจพิจารณาเมื่อถึงเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ พร้อมทั้งกระตุ้นหัวใจของพวกท่านเมื่อได้พบเจอมัน โดยอย่าให้ความตั้งใจของคนหนึ่งใดในหมู่พวกท่าน เพียงแค่การอ่านให้จบถึงอายะฮฺสุดท้ายของสูเราะฮฺหนึ่งๆ เท่านั้น (มุคตะศ็อร กิยามุลลัยลฺ โดยมุหัมมัด บินนัศรฺ หน้า 132)

            การอ่านอัลกุรอานอย่างชัดถ้อยชัดคำพร้อมกับการพินิจใคร่ครวญนั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะส่งผลต่อจิตใจ รวมถึงสามารถปรับปรุงหัวใจได้ และนั่นคือวิธีการของชาวสะละฟุศศอลิหฺ แล้วพวกเราจะไม่ตัรบียะฮฺจิตใจและกลุ่มชนของเราด้วยสิ่งดังกล่าวหรือ ?
            สำหรับการอ่านอัลกุรอานในยามค่ำคืนนั้น ก็ถือเป็นแนวทางที่สุดยอดที่สุดสำหรับการพินิจใคร่ครวญ และมีความเหมาะสมที่สุดที่จะทำความเข้าใจอัลกุรอาน และด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงดำรัสว่า
﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلۡمُزَّمِّلُ ١ قُمِ ٱلَّيۡلَ إِلَّا قَلِيلٗا ٢ نِّصۡفَهُۥٓ أَوِ ٱنقُصۡ مِنۡهُ قَلِيلًا ٣ أَوۡ زِدۡ عَلَيۡهِ وَرَتِّلِ ٱلۡقُرۡءَانَ تَرۡتِيلًا ٤ إِنَّا سَنُلۡقِي عَلَيۡكَ قَوۡلٗا ثَقِيلًا ٥ إِنَّ نَاشِئَةَ ٱلَّيۡلِ هِيَ أَشَدُّ وَطۡٔٗا وَأَقۡوَمُ قِيلًا ٦ [المزمل: ١،  ٦] 
ความว่า โอ้ ผู้คลุมกายอยู่เอ๋ย ! จงยืนขึ้น (ละหมาด) เวลากลางคืน เว้นแต่เพียงเล็กน้อย (ไม่ใช่ตลอดคืน) ครึ่งหนึ่งของเวลากลางคืน หรือน้อยกว่านั้นเพียงเล็กน้อย หรือมากกว่านั้น และจงอ่านอัลกุรอานช้า เป็นจังหวะ (ชัดถ้อยชัดคำ) แท้จริงเราจะประทานวจนะ (วะหฺยู) อันหนักหน่วงแก่เจ้า แท้จริงการตื่นขึ้นในเวลากลางคืนนั้นเป็นเวลาที่ประทับใจยิ่งและเป็นการอ่านที่ชัดเจนยิ่ง (สูเราะฮฺอัล-มุซซัมมิล : 1-6)

ท่านอิบนุอับบาสได้กล่าวว่า
(هو أَجدرُ أن يفقه القرآن)
ความว่า มันคือ (ช่วงเวลาที่) เหมาะสมที่สุดในการทำความเข้าใจอัลกุรอาน

            ท่านอัช-ชันกีฏีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า
(لا يُثبِّتُ القرآنَ في الصّدْرِ، ولا يُسَهِّلُ حِفظَه ويُيَسِّرُ فَهمَه، إلا القيامُ به في جوفِ الليل) ]مقدمة أضواء البيان 1/4. [
ความว่า ไม่สามารถที่จะให้อัลกุรอานฝังอยู่ในหัวใจได้อย่างมั่นคง และไม่สามารถที่จะท่องจำมันได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจในเนื้อหาของมันได้อย่างเรียบง่าย เว้นแต่จะอ่านมันในละหมาดกิยามุลลัยลฺในยามค่ำคืน (มุก็อดดิมะฮฺ อัฎวาอ์ อัล-บะยาน เล่ม 1 หน้า 4)

            โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย โดยสรุปแล้ว อัลกุรอานคือแก่นหลักของการใช้ชีวิตของชาวสะลัฟ และเป็นเสบียงชีวิตของหัวใจพวกเขา ซึ่งพวกเขาได้พยายามทุ่มเทกับมันยิ่งกว่าการทุ่มเทในการได้มาซึ่งอาหาร เครื่องดื่ม และการผ่อนคลายเสียอีก จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาเข้าใจว่าชีวิตที่แท้จริงนั้นคือการมีชีวิตของหัวใจ (ดูในตะหฺกีกฺ อัล-วิศอล บัยนะ อัล-ก็อลบฺ วัลกุรอานหน้า 91)
           
ดังนั้น หากเราปรารถนาที่จะลิ้มรสความหอมหวานของอัลกุรอานเฉกเช่นที่พวกเขาได้ลิ้มรสมาแล้ว ก็จงปฏิบัติตามแนวทางของพวกเขา ตามที่เราได้แนะนำแก่นหลักของมันไปแล้วในก่อนหน้านี้
    
โอ้อัลลอฮฺ ดังที่พระองค์ได้ประทานความโปรดปรานแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ด้วยกับการให้ลิ้มรสความหอมหวานในการเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยการอ่านคัมภีร์ของพระองค์ ดังนั้น ได้โปรดประทานความโปรดปรานแก่เราด้วยกับพระกรุณาธิคุณและเกียรติของพระองค์ด้วยเถิด และได้โปรดให้เราเป็นหมู่ชนแห่งอัลกุรอาน ซึ่งพวกเขาเป็นหมู่ชนของพระองค์โดยเฉพาะ โอ้อัลลอฮฺได้โปรดให้อภัยแก่เรา บิดามารดาของเรา และพี่น้องมุสลิมทั้งหลาย และขอการสดุดีแห่งอัลลอฮฺและความสันติสุขจงมีแด่ท่านนบีมุฮัมมัดของเรา ตลอดจนเครือญาติและบรรดาเศาะหาบะฮฺทุกท่าน

ที่มาของบทความ
http://www.tadabbor.com/Beta/?action=articles_inner&show_id=1452